เช็กน้ำหนักทารกในครรภ์ ลูกน้ำหนักตัวเท่าไหร่ คุณแม่ควรรู้อะไรบ้าง

ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ น้ำหนักลูกในครรภ์ที่แม่ควรรู้

24.05.2024

น้ำหนักทารกในครรภ์จะมากหรือน้อย เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ของแม่ท้อง กิจกรรมที่แม่ท้องทำตอนตั้งครรภ์ หรือโรคที่เกิดขึ้นกับแม่ตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ ครรภ์เป็นพิษ ส่งผลต่อน้ำหนักของทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปหรือมากเกินไป และส่งผลต่อความเสี่ยงในช่วงคลอดอีกด้วย

headphones

PLAYING: ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ น้ำหนักลูกในครรภ์ที่แม่ควรรู้

อ่าน 7 นาที

 

สรุป

  • น้ำหนักตัวของแม่ตั้งครรภ์มีผลต่อน้ำหนักตัวของทารกในครรภ์ด้วย หากแม่ท้องมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะคลอดออกมาตัวเล็กเกินไป มีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ และอาจเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ง่าย
  • ทารกในครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีความเสี่ยงการคลอดไหล่ติด ทารกบาดเจ็บที่กระดูก บาดเจ็บที่เส้นประสาทบริเวณคอ หรือขณะคลอดทำให้เกิดภาวะขาดอากาศหายใจ ความเสี่ยงสำหรับแม่ท้อง คือ ช่องคลอดบาดเจ็บ หรือตกเลือดหลังคลอดได้
  • การประเมินน้ำหนักด้วยคลื่นความถี่สูง (Ultrasonography) เป็นการตรวจวัดที่แม่นยำมากกว่าการคลำหน้าท้อง

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ทารกในครรภ์น้ำหนักตัวน้อยอันตรายหรือไม่

ทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินเกณฑ์ อันตรายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น

  • ทารกขนาดเล็กตามธรรมชาติ หากเกิดจากลักษณะทางพันธุกรรม เช่น แม่ท้องมีรูปร่างเล็ก เป็นต้น แต่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ หรือคลอดก่อนกำหนด ถือว่าไม่อันตราย ทั้งนี้ควรให้แพทย์เป็นผู้ดูแลและวินิจฉัย
  • ทารกขาดอาหารหรือเจริญเติบโตช้า ที่เกิดจากการขาดสารอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการ สัมพันธ์เกี่ยวกับการทำงานของรกผิดปกติ หรือเกิดจากโรคทางหลอดเลือดของแม่ท้อง ภาวะโลหิตจาง ความดันโลหิตสูง โรคไตบางชนิดของแม่ตั้งครรภ์ สาเหตุเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ อาจทำให้สุขภาพของทารกในครรภ์ไม่แข็งแรง
  • ทารกมีโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ ซึ่งอาจมีอันตรายได้

 

ชั่งน้ำหนักทารกในครรภ์ ทำได้โดยวิธีไหนบ้าง

การชั่งน้ำหนักตัวทารกในครรภ์ ทำได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

  1. คาดคะเนขนาดตัวทารก (Tactile assessment of fetal size) ในครรภ์ด้วยมือของสูติแพทย์ จากการตรวจร่างกายแม่ท้อง แต่วิธีการนี้อาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้สูง
  2. ประเมินน้ำหนักตัวทารกด้วยการประเมินน้ำหนักของแม่ตั้งครรภ์ (Maternal Self-Estimation) วิธีนี้ใช้ในการประเมินน้ำหนักในครรภ์หลัง ๆ และใช้ประเมินน้ำหนักทารกในครรภ์เมื่อครบกำหนดคลอด
  3. ใช้คลื่นความถี่สูง หรืออัลตราซาวด์ (Ultrasonography) ใช้วัดสัดส่วนของทารกด้วยวิธีการวัดความยาว การวัดความกว้างของศีรษะทารก การวัดรอบวงศีรษะ การวัดเส้นรอบท้อง และวัดความยาวกระดูกต้นขา

 

คุณแม่สามารถชั่งน้ำหนักทารกในครรภ์ได้ด้วยการอัลตราซาวด์

 

น้ำหนักลูกในครรภ์น้อยเกินไป เสี่ยงเป็นอะไรบ้าง

ทารกในครรภ์น้ำหนักตัวน้อย มีแนวโน้มเป็นทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม รวมถึงเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนด คือ แม่ท้องอาจคลอดบุตรในระหว่างที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์อีกด้วย ทารกในครรภ์ น้ำหนักน้อยเกินไป มีความเสี่ยง ดังนี้

  • ทารกมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ เพราะปอดอาจจะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เกิดภาวะหายใจลำบากตั้งแต่แรกคลอดได้
  • ผิวหนังทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อย ทำให้มีผิวหนังบาง ไขมันใต้ผิวหนังน้อย ทำให้สูญเสียความร้อนง่ายทำให้เกิดภาวะตัวเย็นได้ง่าย
  • ทารกมีปัญหาระบบทางเดินอาหารที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่งผลให้การย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดี เป็นสาเหตุทำให้ทารกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
  • ระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทารกน้อยเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
  • ทารกมีระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันเลือดต่ำ จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการหัวใจล้มเหลวได้

 

น้ำหนักลูกในครรภ์มากเกินไป เสี่ยงเป็นอะไรบ้าง

ทารกในครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีแนวโน้มจะเป็นทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 4,000 กรัม ทารกที่มีน้ำหนักมาก มีความเสี่ยงดังนี้

  • การบาดเจ็บจากการคลอด ทำให้มีโอกาสต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหลังคลอด
  • ทารกที่คลอดออกมาน้ำหนักตัวมากกว่า 5,000 กรัม มีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น ปัจจุบันแบ่งอัตราความเสี่ยงน้ำหนักทารกตัวโตเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 4,000-4,499 กรัม 4,500-4,999 กรัม และ มากกว่า 5,000 กรัม
  • ทารกอาจเกิดความพิการทางสมอง เนื่องจากการคลอดลำบากมีภาวะคลอดติดไหล่ทำให้สมองของทารกขาดออกซิเจน ซึ่งความรุนแรงทางสมองของทารกขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ขาดออกซิเจนยาวนานเพียงใด
  • ทารกมีความเสี่ยงเสียชีวิตจากภาวะคลอดยาก

 

ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ตามเกณฑ์

น้ำหนักทารกในครรภ์ตามเกณฑ์ แต่ละเดือน มีดังนี้

  • เดือนแรก - ปฏิสนธิ เป็นช่วงแรกของไข่ผสมกับอสุจิ และฝังตัวในผนังมดลูก เริ่มต้นการแบ่งเซลล์
  • เดือนที่ 2 - พัฒนาการเริ่มต้น เมื่อตัวอ่อนแบ่งเซลล์ที่ผนังมดลูกแล้ว เริ่มมีพัฒนาการ ขนาดศีรษะทารกที่ใหญ่ขึ้น หัวใจเต้นตุบ ๆ ทารกจะมีรูปร่างกลม ๆ มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร
  • เดือนที่ 3 - สมองและกล้ามเนื้อทำงานประสานกัน ในช่วงนี้อวัยวะบนใบหน้าของทารกเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แต่ดวงตายังปิดอยู่ ตอนนี้ทารกในครรภ์มีขนาดยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร
  • เดือนที่ 4 - หญิงหรือชาย ร่างกายเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น และอัลตราซาวด์มองเห็นเพศทารกได้ ตอนนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 16-18 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 200 กรัม
  • เดือนที่ 5 - รับรู้โลกภายนอกครรภ์แม่ ทารกช่วงนี้จะเติบโตรวดเร็วมาก เริ่มมีพัฒนาการด้านสัมผัสรับรู้รสชาติ กลิ่น เสียง แม้ดวงตาของทารกจะยังปิดอยู่ ทารกได้ยินเสียงของแม่ และรับรู้สัมผัสได้เมื่อแม่ลูบท้อง ตอนนี้ทารกจะมี ความยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 400 กรัม
  • เดือนที่ 6 - ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทารกสามารถบิดตัวไปมา ระบบอวัยวะในร่างกายพัฒนาขึ้นมาก สามารถรับรู้เสียงจากภายนอก เสียงแม่ เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ตอนนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม
  • เดือนที่ 7 - เริ่มลืมตาแล้ว หนังตาของทารกเริ่มเปิด ตาจะมองเห็นแสงผ่านทางหน้าท้องของแม่ได้ จะขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงดัง ตอนนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 35 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 1,000-1,200 กรัม
  • เดือนที่ 8 - เตรียมคลอด ร่างกายของทารกสมบูรณ์เหมือนทารกแรกเกิด ร่างกายแข็งแรง ศีรษะของทารกเริ่มหันมาทางปากมดลูก เพื่อเตรียมความพร้อมคลอดในเวลาไม่นาน ตอนนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 40-45 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2,000-2,500 กรัม
  • เดือนที่ 9 - ทารกคลอดแล้ว ในเดือนสุดท้ายนี้ทารกอยู่ในท่าพร้อมคลอดได้ตลอด ทารกกลับตัวศีรษะอยู่ใกล้ปากมดลูก คุณแม่ต้องสังเกตอาการที่จะคลอดอยู่เสมอ ตอนนี้ทารกจะมีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2,800-3,000 กรัม

 

หากแม่ท้องดูแลตนเองอย่างดี และดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องโภชนาการคนท้อง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักตอน ตั้งครรภ์น้อยเกินไปหรือมากเกินไป เพราะน้ำหนักของแม่ท้องมีผลต่อน้ำหนักทารกในครรภ์ หากแม่ท้องดูแลตนเองดี การตั้งครรภ์เป็นไปโดยปกติ เพิ่มโอกาสคลอดเองตามธรรมชาติให้สูงขึ้น เพราะการคลอดแบบธรรมชาติทำให้ทารกได้รับจุลินทรีย์สุขภาพหลายสายพันธุ์จากแม่ตั้งแต่แรกคลอด อาทิ B. lactis ที่เป็นจุลินทรีย์ในกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียมที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ทารกหลังคลอด เพราะการคลอดธรรมชาติส่งผลดีต่อแม่ท้องและทารกแรกเกิด

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

 

อ้างอิง:

  1. การคาดคะเนน้ำหนักทารกในครรภ์ (Estimate fetal weight), คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  2. น้ำหนัก ครรภ์ น้อยกว่าเกณฑ์ ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์อย่างไร, hellokhunmor
  3. ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (IUGR), pobpad
  4. เด็กแรกเกิดน้ำหนักตัวเกินผิดปกติหรือไม่?, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  5. ทารกน้ำหนักตัวน้อย, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3
  6. ภาวะทารกตัวโต (macrosomia), คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  7. ทารกในครรภ์ตัวโต, haamor
  8. 9 เดือน มหัศจรรย์พัฒนาการทารกในครรภ์, โรงพยาบาลสมิติเวช
  9. น้ำหนักทารกในครรภ์ พัฒนาการและการดูแลอย่างถูกวิธี, hellokhunmor
  10. ความหมายของเอ็ดเวิร์ดซินโดรม, pobpad

อ้างอิง ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567
 

บทความแนะนำ

คุณแม่ปวดท้องข้างขวา บอกอะไรบ้าง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ

คุณแม่ปวดท้องข้างขวา บอกอะไรบ้าง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ

ว่าที่คุณแม่ปวดท้องข้างขวา มีอาการปวดท้องน้อยหน่วง ๆ เกิดจากอะไร อาการแบบนี้เกิดกับคุณแม่ท้องทุกคนหรือไม่ คุณแม่มีอาการปวดท้องข้างขวา ควรดูแลตัวเองยังไง ไปดูกัน

คนท้องกินยาพาราได้ไหม ทำไมก่อนกินยาคนท้องต้องปรึกษาหมอทุกครั้ง

คนท้องกินยาพาราได้ไหม ทำไมก่อนกินยาคนท้องต้องปรึกษาหมอทุกครั้ง

คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการปวดหัว ปวดตัวและปวดหลังขณะตั้งครรภ์ อาการแบบนี้คนท้องกินยาพาราได้ไหม ทำไมก่อนกินยาแต่ละครั้งคนท้องต้องปรึกษาหมอทุกครั้งก่อนรับประทานยา

คุณแม่ปวดท้องข้างซ้าย บอกอะไรได้บ้าง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ

คุณแม่ปวดท้องข้างซ้าย บอกอะไรได้บ้าง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ

คุณแม่ปวดท้องข้างซ้าย มีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย อาการแบบนี้เกิดกับคุณแม่ท้องทุกคนหรือไม่ คุณแม่มีอาการปวดท้องข้างซ้าย ควรดูแลตัวเองยังไง ไปดูกัน

พาหะธาลัสซีเมีย อันตรายไหม ทำไมควรตรวจธาลัสซีเมียก่อนแต่งงาน

พาหะธาลัสซีเมีย อันตรายไหม ทำไมควรตรวจธาลัสซีเมียก่อนแต่งงาน

พาหะธาลัสซีเมีย คืออะไร โรคธาลัสซีเมีย อันตรายไหม ทำไมควรตรวจหาธาลัสซีเมียก่อนแต่งงานและก่อนวางแผนตั้งครรภ์ ไปดูอาการโรคธาลัสซีเมียและวิธีการตรวจเบื้องต้น

คนท้องกินกาแฟได้ไหม ตั้งครรภ์แต่ติดกาแฟอันตรายหรือไม่ ทำอย่างไรดี

คนท้องกินกาแฟได้ไหม ท้องอยู่แต่ติดกาแฟอันตรายกับลูกหรือเปล่า

คนท้องกินกาแฟได้ไหม คุณแม่ท้องติดกาแฟมาก กินกาแฟช่วงตั้งครรภ์ได้ไหม จะเป็นอันตรายกับลูกในครรภ์หรือเปล่า ควรกินเท่าไหร่ถึงไม่อันตรายกับลูกน้อย

ปากมดลูกเปิดมีอาการยังไง กระตุ้นปากมดลูกนานแค่ไหน กว่าจะคลอด

กระตุ้นปากมดลูก ปากมดลูกเปิดมีอาการยังไง นานแค่ไหนกว่าจะคลอด

เมื่อคุณแม่ใกล้คลอด ปากมดลูกจะเริ่มเปิดมากขึ้น อาการปากมดลูกเปิดเป็นยังไง คุณแม่ใกล้คลอดต้องกระตุ้นปากมดลูกไหม พร้อมอาการใกล้คลอดที่คุณแม่ควรรู้

คนท้องกินชาเขียวได้ไหม ชาเขียวมีคาเฟอีน อันตรายกับคนท้องหรือเปล่า

คนท้องกินชาเขียวได้ไหม ชาเขียวมีคาเฟอีน อันตรายกับลูกหรือเปล่า

คนท้องกินชาเขียวได้ไหม ชาเขียวมีคาเฟอีน อันตรายกับคนท้องหรือเปล่า คุณแม่ชอบกินชาเขียว ควรกินในปริมาณเท่าไหร่ถึงเหมาะสมและไม่เป็นอันตรายกับลูก

เลือกระยะการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็ก