10 อาการคนท้อง อาการเตือนคนเริ่มท้องระยะแรก ที่คุณแม่สังเกตได้

25 อาการคนท้องแรก ๆ พร้อมอาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์

คุณแม่ตั้งครรภ์
บทความ
ก.ย. 16, 2021

คุณแม่บางคนทราบว่าตัวเองท้องทันทีที่ประจำเดือนขาด แต่สำหรับบางคนอาจไม่รู้เพราะไม่มีสัญญาณชัดเจน อาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์ มักเริ่มแสดงออกหลังการปฏิสนธิไม่นาน หากคุณแม่สังเกตอาการของตัวเองและประจำเดือนขาด อาจรู้ได้ทันทีว่ากำลังตั้งท้อง สำหรับคุณแม่ที่ยังไม่แน่ใจว่าตั้งท้อง อาการคนท้องระยะแรกที่สามารถสังเกตได้มีหลายอย่าง เช่น คลื่นไส้, อ่อนเพลีย, ท้องอืด, ปวดท้องหรือปวดศีรษะ เป็นต้น ลองสังเกตตัวเองเพื่อเข้าใจอาการเตือนเหล่านี้ให้ดีขึ้น

อาการเริ่มต้นของคนที่กำลังตั้งท้องมักแสดงออกหลังการปฏิสนธิได้ไม่นาน หากคุณแม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของตัวเองร่วมกับการขาดประจำเดือน ก็อาจรู้ได้ทันทีว่ากำลังตั้งท้อง สำหรับคุณแม่ที่ยังไม่แน่ใจ

25 อาการคนท้องแรก ๆ พร้อมอาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์

สรุป

  • อาการคนท้อง สัญญาณเตือนคนท้องในเดือนแรกมักเริ่มจากการขาดประจำเดือน คัดเต้านม หน้ามืด อาเจียน หงุดหงิดง่าย เหนื่อยง่าย จมูกไว และอาการอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายของคนท้อง
  • อาการแพ้ท้องต่าง ๆ ทั้งอาเจียน และเวียนหัวจะเริ่มดีขึ้นเมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 หรือเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาการแพ้ท้องของคุณแม่แต่ละคนอาจไม่เหมือนกันบางคนไม่แสดงอาการเลยก็มี
  • คุณแม่บางท่านอาจท้องไม่รู้ตัวได้ เพราะประจำเดือนที่มาไม่ปกติ หรือไม่มีอาการบ่งชี้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ในบางกรณีคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อาจมีประจำเดือนมากระปิดกระปอย ซึ่งมากจากตัวอ่อนที่เข้าไปฝังตัวในมดลูก
  • หลังจากคุณแม่ทราบแน่ชัดแล้วว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์แนะนำให้ไปพบคุณหมอเพื่อฝากครรภ์ เพราะคุณหมอจะให้คำแนะนำในการดูแลตนเองของคุณแม่ และจะคอยเช็กพัฒนาการ การเติบโตของลูกน้อยในท้อง รวมถึงการดูแลครรภ์เพื่อลดความเสี่ยงต่ออันตรายของลูกน้อยในท้อง

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

25 อาการคนท้องเริ่มแรก สัญญาณเริ่มต้นว่ากำลังตั้งครรภ์

อาการคนท้องระยะแรกและอาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์เป็นยังไง อาการแบบไหนที่บอกว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่

1. ประจำเดือนขาด

เป็นสัญญาณอาการเตือนคนเริ่มท้องที่บอกว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ หากคุณแม่เป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงเวลาแต่ประจำเดือนคลาดเคลื่อน หรือขาดไปหลายวันแสดงว่ากำลังจะได้เป็นว่าที่คุณแม่แล้ว

2. เต้านมขยาย หรือมีอาการคัดเต้านม

อาการคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเต้านมได้หลังจากประจำเดือนขาด ทั้งเต้านมขยาย คัดตึงเต้านม หรือรู้สึกเสียว

3. ตกขาวมากกว่าปกติ

เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์หรือเริ่มมีอาการคนท้องเริ่มแรก ฮอร์โมนในร่างกายจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ทำให้มีน้ำขาว ๆ ไหลออกมาทางช่องคลอดจึงเป็นสาเหตุให้มีตกขาวมากขึ้นกว่าปกติ

4. ปัสสาวะบ่อย

อาการปัสสาวะบ่อยของคนท้องเกิดจากการที่มดลูกเกิดการขยายตัวทำให้ไปกดกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้คุณแม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ หนึ่งในอาการคนท้องระยะแรกสำหรับว่าที่คุณแม่

5. อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลง

ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์คุณแม่อาจไม่ทันได้สังเกต คิดว่าตัวเองอาจป่วย ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกายนี้ ทำให้คุณแม่บางคนอาจมีการตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ได้

6. รู้สึกเหนื่อยล้าง่าย

อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย บางครั้งก็รู้สึกง่วงอยู่บ่อย ๆ อาการเตือนคนเริ่มท้องที่มักเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงแรก เนื่องจากฮอร์โมนของร่างกายที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

7. จมูกได้กลิ่นไว

อาการคนท้องเริ่มแรก คนท้องมักมีจมูกที่รับรู้ได้ไวกว่าคนปกติอันเป็นผลมาจากฮอร์โมนเอนโตรเจนที่เพิ่มมากขึ้น จนบางครั้งคุณแม่รู้สึกอยากอาเจียนเลยก็มี

8. เลือดออกทางช่องคลอด

คุณแม่หลายคนอาจคิดว่าเลือดที่ออกมาเป็นประจำเดือน ความจริงแล้วเลือดที่ออกมากะปริดกะปรอย อาจมาจากตัวอ่อนที่เข้าไปฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกของคุณแม่นั่นเอง

9. โมโห หงุดหงิดได้ง่าย

อาการคนท้องเริ่มแรก คุณแม่ตั้งครรภ์จะอารมณ์แปรปรวนไม่ทราบสาเหคุ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณแม่อารมณ์เสียได้ง่าย

10. หน้ามืดบ่อย

อาการคนท้องระยะแรก คุณแม่จะมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม เป็นอาการที่พบได้บ่อยของคนท้อง เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายกำลังปรับตัวและความดันในร่างกายของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไป คุณแม่จึงรู้สึกหน้ามืดหรือเวียนหัวอยู่บ่อยครั้ง

11. เบื่ออาหาร

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนอาจมีความชอบในการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป บางคนอาจอยากลองอาหารแปลกใหม่ที่ไม่เคยกินมาก่อน ขณะที่บางคนกลับรู้สึกเบื่ออาหารที่เคยชอบ นอกจากนี้ ยังมีคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอยากกินอาหารรสเปรี้ยวมากขึ้น

12. คลื่นไส้และอาเจียน

อาการคลื่นไส้และอาเจียนมักปรากฏภายในช่วงเดือนแรกหลังตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณของอาการแพ้ท้องที่พบได้บ่อย โดยเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 50% อย่างไรก็ตาม ในบางคนอาจไม่แสดงอาการนี้เลย หรือเริ่มมีอาการช้ากว่า โดยอาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ 3 ถึง 4 ของการตั้งครรภ์

13. ปวดศีรษะ

ในช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสแรก คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะเล็กน้อย หรือรู้สึกหน้ามืดเป็นลม ซึ่งสาเหตุหนึ่งมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่สะดวก เนื่องจากหลอดเลือดใหญ่ที่นำเลือดกลับไปยังหัวใจถูกกดทับ จึงส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นได้

14. ปวดหลัง

อาการปวดหลังมักเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงใกล้คลอด โดยมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของมดลูก ซึ่งจะขยายตัวและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้หลังต้องรองรับน้ำหนักมากกว่าปกติ จึงทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกปวดหลังในระหว่างตั้งครรภ์

15. ปวดหน่วงท้องน้อย

คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนอาจรู้สึกปวดหรือเกร็งเล็กน้อยบริเวณมดลูกในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักเกิดขึ้นประมาณ 1–2 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ โดยจะรู้สึกเจ็บหรือปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยใกล้กับมดลูก ลักษณะคล้ายกับอาการปวดประจำเดือน อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนมากขึ้นเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน และมดลูกเริ่มขยายตัวเพื่อเตรียมรองรับการเจริญเติบโตของทารก ซึ่งอาการนี้มักจะคงอยู่เพียง 2–3 วันก่อนจะค่อย ๆ ทุเลาลง

16. ท้องผูก

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ส่งผลต่อการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง จนทำให้เกิดท้องผูก

17. ท้องอืด

คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการท้องอืดได้ ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้มีแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารมากขึ้น จนรู้สึกแน่นท้อง มีลมในท้อง หรือท้องอืดคล้ายกับช่วงก่อนมีประจำเดือน และอาจมีการผายลมบ่อยร่วมด้วย

18. เลือดออกกะปริบกะปรอย

อาจเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเรียกว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” เกิดจากไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งมักเกิดประมาณ 10–14 วันหลังการปฏิสนธิ และอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ประจำเดือนจะมา แต่อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคน

19. แสบร้อนกลางอก

อาการแสบร้อนกลางอกในช่วงตั้งครรภ์มักเกิดจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง และกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหารคลายตัว ส่งผลให้น้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นสู่หลอดอาหาร เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุครรภ์มากขึ้น มดลูกที่ขยายใหญ่จะกดทับกระเพาะอาหาร ดันให้กระเพาะอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ ระคายคอ หรือในบางรายอาจเกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบได้

20. หายใจไม่อิ่ม

ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้ปอดรับออกซิเจนได้มากขึ้นเพื่อส่งต่อสู่ทารก พร้อมกับขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น เมื่ออายุครรภ์มากกขึ้นทารกอาจกดเบียดกระบังลม ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกหายใจลำบาก ต้องหายใจถี่หรือหายใจลึกมากกว่าปกติ

21. เป็นสิว

สิวเป็นอาการที่พบบ่อยระหว่างตั้งครรภ์ มักเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นหลังการปฏิสนธิ ซึ่งจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น จนน้ำมันส่วนเกินอุดตันรูขุมขน เกิดเป็นสิวบนใบหน้า หรือบริเวณที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก

22. อาการชาหรือเสียวซ่าที่มือ (Carpal Tunnel Syndrome)

อาการชาหรือเสียวซ่าที่มือระหว่างตั้งครรภ์ หรือที่เรียกว่า Carpal Tunnel Syndrome พบได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ถึงประมาณ 60% สาเหตุเกิดจากของเหลวในร่างกายที่เพิ่มขึ้นไปกดทับเส้นประสาทมีเดียน (Median nerve) บริเวณข้อมือ
อาการอาจเริ่มจากรู้สึกชาหรือปวดเป็นระยะ ๆ ไปจนถึงรู้สึกอ่อนแรงที่นิ้วหัวแม่มือ หรือสูญเสียความรู้สึกบางส่วน โดยส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองหลังคลอด  หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการชาหรือเสียวซ่าที่มือ ควรแจ้งให้สูติแพทย์ทราบ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม

23. ตะคริวที่ขา

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ เกิดจากการสะสมของกรดในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยไม่ตั้งใจ มักเกิดในตอนกลางคืน และพบได้มากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์

24. เส้นเลือดขอดและอาการบวมที่ขา

เส้นเลือดขอดที่ขาในช่วงตั้งครรภ์เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายเพิ่มขึ้น และมดลูกที่ขยายตัวกดทับหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ ทำให้เลือดไหลเวียนกลับได้ยาก จึงเกิดอาการบวมที่ขาตามมา

25. คัดจมูก

ระดับฮอร์โมนและการผลิตเลือดที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้เยื่อบุโพรงจมูกบวม แห้ง และมีเลือดออกได้ง่าย ส่งผลให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกไหลได้
 

 

อาการคนท้อง อาการเตือนคนเริ่มท้องระยะแรก ที่คุณแม่สังเกตได้

 

อาการคนท้องเริ่มแรก มักจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่

อาการเตือนคนเริ่มท้อง คือ การที่ประจำเดือนขาดหรือประจำเดือนไม่มา สำหรับคนที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมออาจจะสังเกตได้ยาก และบ่อยครั้งหลังจากตั้งครรภ์อาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอย รวมถึงมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยล้าง่าย และหงุดหงิดอยู่บ่อย ๆ เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังตั้งครรภ์สามารถซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์หรือที่ตรวจครรภ์คนท้อง มาตรวจเบื้องต้นก่อน

 

คุณแม่เพิ่งรู้ตัวว่าท้อง วางแผนอย่างไรดี

ไปตรวจครรภ์

หลังจากที่คุณแม่ลองตรวจครรภ์ด้วยตัวเองและทราบแน่ชัดแล้วว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณแม่ควรไปตรวจครรภ์กับแพทย์อีกครั้ง เพราะการตรวจครรภ์ในห้องปฏิบัติการณ์จะมีความแม่นยำที่มากกว่า ทั้งยังช่วยให้คุณแม่สามารถวางแผนการบำรุงดูแลครรภ์เพื่อป้องกันการแท้งบุตรด้วย

ไปฝากครรภ์

การฝากครรภ์มีความสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อยในท้องมาก เพราะการฝากครรภ์กับคุณหมอตลอดระยะเวลา 9 เดือนนั้น แพทย์จะคอยให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองและลูกน้อยในท้อง รวมถึงพยายามลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ด้วย โดยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์หากคุณแม่ตั้งครรภ์ปกติ คุณหมอจะนัดตรวจเดือนละครั้ง แต่ถ้ามีอาการผิดปกติคุณหมอจะนัดตรวจถี่ขึ้น ซึ่งในระหว่างที่คุณแม่ฝากครรภ์คุณหมอจะตรวจอัลตร้าซาวน์ดูพัฒนาการของลูกในท้อง คำนวณอายุครรภ์ และสามารถกำหนดวันคลอดได้

 

ลักษณะหน้าท้องของคนท้อง 1 สัปดาห์

อาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่ท้อง 1 สัปดาห์  อาจจะยังไม่รู้สึกถึงขนาดหน้าท้องเท่าไหร่นัก คุณแม่บางคนอาจเห็นหน้าท้องขยายขึ้นเล็กน้อย มีพุงยื่นออกมาด้านหน้า ส่วนสะดือจะนูนออกมา ในทางตรงกันข้ามบางคนอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เนื่องจากว่าทารกในท้องแม่ยังมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่คุณแม่จะรู้สึกได้ถึงอาการอื่น ๆ หรือมีอาการแพ้ท้อง เช่น คลื่นไส้ หน้ามืด อ่อนเพลีย เป็นต้น

อาการเตือนคนเริ่มท้องมักจะเริ่มเมื่อไหร่

 

อาการคนท้องระยะแรก จะดีขึ้นเมื่อไหร่

อาการเตือนคนเริ่มท้อง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือที่เราเรียกว่า  “อาการแพ้ท้อง” อาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนปฏิสนธิได้ประมาณ 1 เดือน ทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อยู่บ่อย ๆ แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 หรือเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งสาเหตุของการแพ้ก็มาจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามอาการแพ้ท้องบางคนอาจเป็นมาก บางคนเป็นน้อย หรือบางคนอาจมาเป็นเอาช่วงเดือนสุดท้ายก่อนคลอดก็ได้

 

อาการท้องไม่รู้ตัวเป็นแบบไหน

อาการท้องไม่รู้ของคุณแม่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมาไม่สม่ำเสมอ เมื่อประจำเดือนขาดทำให้คุณแม่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ รวมถึงคุณแม่ที่ไม่มีอาการของคนท้อง เช่น อาการแพ้ท้อง เหนื่อยล้า คัดเต้านม หงุดหงิดง่าย เป็นต้น หรือในผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินทำให้ไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย พอมารู้ตัวอีกทีก็ตั้งครรภ์ได้หลายสัปดาห์แล้ว

 

อาการคนท้องตั้งครรภ์ เหมือนกันทุกคนไหม

อาการคนท้องของคุณแม่แต่ละคนไม่เหมือนกันแต่ส่วนใหญ่มีอาการที่คล้ายคลึงกันค่ะ คุณแม่บางคนอาจมีอาการคนท้องหลายอาการ ในขณะที่คุณแม่บางคนแทบไม่มีอาการของคนท้องเลย หากคุณแม่มั่นใจว่าตั้งครรภ์แนะนำให้คุณแม่ฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองและทารกน้อยในท้องตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ค่ะ

 

อาการคนเริ่มท้อง จะมาหลังปฏิสนธิกี่วัน

โดยปกติแล้วอาการคนท้องที่สามารถสังเกตได้ จะเกิดขึ้นภายใน 10 วัน หลังจากการปฏิสนธิเริ่มขึ้น เนื่องจากจะเกิดการแบ่งเป็นเซลล์เล็กเซลล์น้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เซลล์เหล่านี้จะเคลื่อนตัวเข้าไปฝังตัวในผนังมดลูก ทำให้คุณแม่มีเลือดออกซึมมาเล็กน้อยคล้ายเลือดประจำเดือน

 

อาการเหมือนคนท้องแต่ไม่ท้อง เป็นเพราะอะไร

อาการนี้อาจเกิดกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนขาด คลื่นไส้ อาเจียน บางคนรู้สึกเหมือนมีลูกดิ้นในท้องด้วย แต่พอไปตรวจกับคุณหมอ กลับคลำมดลูกไม่ได้ อัลตร้าซาวน์ก็ไม่พบการตั้งครรภ์ อาการท้องแต่ไม่ท้องนี้เรียกว่า “ท้องหลอก” สาเหตุมากจากสภาพจิตใจของผู้หญิงที่อาจมีความเครียดที่ต้องการมีลูกนั่นเอง

 

อาการเหมือนคนท้อง แต่มีประจําเดือน

อาการที่ผู้หญิงมีอาการคล้ายคนท้อง แต่มีประจำเดือนด้วย อาจเกิดขึ้นกับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ได้ เพราะว่าในช่วงที่มีการฝังตัวในมดลูกจะทำให้มีเลือดออกเล็กน้อยคล้ายประจำเดือนหรือที่คนสมัยก่อนเรียกว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” ในคนท้องบางรายเลือดที่ไหลออกมาอาจเป็นประจำเดือนจริง ๆ ได้ แต่มีจำนวนแค่กะปริดกะปรอยเพราะความเครียดของคุณแม่

 

ตรวจครรภ์หลังมีอะไรกับแฟน 1 อาทิตย์ มีโอกาสตรวจเจอไหม

การตรวจครรภ์เป็นการตรวจหาฮอร์โมน HCG ในปัสสาวะ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเกิดขึ้นหลังจากมีการปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน หากคุณต้องการตรวจครรภ์สามารถทำได้แต่โอกาสที่ตรวจแล้วเจอผลเป็นลบหรือไม่พบการตั้งครรภ์มีสูง ดังนั้นเพื่อความแม่นยำแนะนำให้คุณตรวจครรภ์ในช่วงที่ประจำเดือนขาดไปแล้วระยะเวลา 10-14 วันจะดีที่สุด

การเตรียมความพร้อมก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ได้หมายถึงแค่การดูแลสุขภาพของคุณแม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวางแผนเพื่อส่งเริมพัฒนาการของลูกน้อยในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาสมอง หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยสมองลูกน้อยเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ คือการได้รับนมแม่อย่างเพียงพอ เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของสมอง โดยเฉพาะแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท สนับสนุนการทำงานของสมองในด้านต่างๆ เช่น การทำงานที่รวดเร็วของสมอง (FAST Processing Brain) , สมองที่คิดพลิกแพลง (FLEXIBLE Brain) และ สมองมีสมาธิ (Brain FOCUS) จึงนับว่าเป็นสารอาหารจำเป็นอย่างยิ่งในขวบปีแรกของชีวิต งานวิจัยยังพบว่า ทารกที่ได้รับนมแม่ มีแนวโน้มจะมี IQ สูงกว่า และมีพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารดีกว่าเมื่อเทียบกับทารกที่ไม่ได้รับนมแม่ 

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

 

 

อ้างอิง: 

  1. อาการคนท้องเดือนแรก สัญญาณเริ่มต้นว่ากำลังตั้งครรภ์, โรงพยาบาลศิครินทร์
  2. Your first trimester guide, unicef
  3. พุงคนท้องระยะแรก มีลักษณะอย่างไร, Hellokhunmor
  4. 4 วิธีตรวจการตั้งครรภ์ ที่ผู้หญิงควรรู้, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
  5. อาการคนท้องไม่รู้ตัว เกิดจากอะไร และวิธีดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าท้อง, Hellokhunmor
  6. สุขใจ ได้เป็นแม่, กรมอนามัย
  7. แบบนี้สิท้องแล้ว, โรงพยาบาลสมิติเวช
  8. ท้องลม ท้องหลอก, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  9. ตั้งครรภ์แน่ๆ หรือแค่จะมีประจำเดือน, โรงพยาบาลสมิติเวช
  10. ผลจากที่ตรวจครรภ์...แม่นยำแค่ไหนกันนะ? โรงพยาบาลเปาโล
  11. Symptoms of pregnancy: What happens first , mayoclinic
  12. 18 อาการคนท้องเริ่มแรก ข้อสังเกต วิธียืนยันการตั้งครรภ์ , โรงพยาบาลเมดพาร์ค
  13. Pregnancy - signs and symptoms , betterhealth
  14. Symptoms of pregnancy: What happens first , mayoclinic

อ้างอิง ณ วันที่ 18 เมษายน 2568