พัฒนาการเด็ก 1 เดือน พร้อมวิธีเสริมพัฒนาการทารก 1 เดือน
คำถามที่พบบ่อย
ลูก 1 เดือนนอนสะดุ้งผวาบ่อย ๆ ผิดปกติไหม?
ไม่ผิดปกติ เพราะอาการผวาหรือสะดุ้งของทารก 1 เดือน เป็นการตอบสนองต่อการสัมผัสหรือเสียงที่ดังกว่าปกติ ทำให้เด็กแสดงออกด้วยการกางแขน กางขา และแบมือ จากนั้นจะโอบแขนเข้าหากัน ในกรณีที่ลูกมีอาการกระตุกหรือเกร็งผิดปกติ แนะนำให้คุณแม่ปรึกษาแพทย์
จำเป็นต้องให้ลูกใส่ถุงมือตลอดเวลาหรือไม่?
ไม่จำเป็นค่ะ แม้ว่าพ่อแม่หลายคนเลือกที่จะใส่ถุงมือให้ลูกน้อยเพื่อป้องกันเล็บไปข่วนหน้าหรือผิวหนังตามร่างกาย แต่คุณแม่ป้องกันได้ด้วยการตัดเล็บให้สั้นแทนการใส่ถุงมือให้ทารก
ลูกแหวะนมบ่อยมาก ควรทำอย่างไร?
อาการแหวะนมเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารก เนื่องจากหูรูดหลอดอาหารตอนบนของทารกยังทำงานไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ลูกมีอาการแหวะนม คุณแม่สามารถแก้ไขอาการแหวะนมของลูกได้ ด้วยการอุ้มลูกในท่าพาดบ่าหรืออุ้มท่านั่งเพื่อไล่ลม หลังจากให้นมลูก โดยใช้เวลาครั้งละประมาณ 10-15 นาที
สรุป
- พัฒนาการเด็ก 1 เดือน หลัก ๆ มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก ด้านภาษา และด้านบุคลิกภาพและสังคม
- ทารก 1 เดือน เริ่มจ้องหน้าคุณแม่ได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถจ้องมองวัตถุที่ห่างจากใบหน้าของเด็กได้ในระยะ 8 นิ้ว กำมือได้แน่น เหยียดขาออกได้ เมื่อนอนคว่ำสามารถยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย และเริ่มส่งเสียงในลำคอได้แล้ว
- คุณแม่ควรสบตากับลูกน้อยบ่อย ๆ หรืออาจใช้วิธีการร้องเพลง ไปจนถึงการทำปากจู๋ และส่งยิ้มหวาน ๆ ให้ลูกน้อย เพื่อเสริมพัฒนาการให้กับทารก
- หากลูกน้อยร้องไห้กวนไม่ทราบสาเหตุ แนะนำให้อุ้มลูกขึ้นมากล่อมเพื่อให้น้องรู้สึกสบายใจ อย่าปล่อยให้ลูกร้องไห้จนเหนื่อยแล้วหยุดไปเองโดยไม่ตอบสนองอะไรเลย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- รู้จักกับพัฒนาการเด็ก 1 เดือน ทั้ง 4 ด้าน
- วิธีการกระตุ้นและเสริมพัฒนาการเด็ก 1 เดือน
- ข้อควรรู้เมื่อต้องดูแลทารก 1 เดือน
- เคล็ดลับสำหรับคุณแม่
รู้จักกับพัฒนาการเด็ก 1 เดือน ทั้ง 4 ด้าน
ตอนนี้ทารก 1 เดือน จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นวันละ 30 กรัม ลำตัวยาวขึ้น 2.5 ซม. และมีขนาดเส้นรอบศีรษะเพิ่มขึ้น 1.5 ซม. และมีพฤติกรรมตามธรรมชาติของร่างกายไม่ว่าจะเป็นการหิว นอนหลับ หรือขับถ่าย ทั้งยังไม่รู้จักเวลากลางวันกับกลางคืน รวมถึงขับถ่ายหลังจากกินนมแม่แทบทุกครั้ง การร้องไห้เป็นวิธีสื่อสารเดียวของเด็กที่ช่วยบอกความต้องการของตัวเองกับแม่ คุณแม่จึงต้องคอยดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยและคอยติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตได้อย่างสมวัย โดยพัฒนาการเด็กหลัก ๆ มี 4 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการเคลื่อนไหว
- ลูกน้อยสามารถเหยียดขาออกได้ ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเมื่อนอนคว่ำ และหันซ้าย-ขวาได้ดี
2. ด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา
- หนูน้อยวัยนี้สามารถกำมือได้แน่นแล้วค่ะ อีกทั้งน้องยังสามารถจ้องมองวัตถุที่ห่างจากใบหน้าได้ในระยะ 8 นิ้ว และจับจ้องหน้าคุณแม่ได้แล้วแถมยังมองตามได้ถึงกลางลำตัวเลย
3. ด้านการเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา
- ตอนนี้น้องสามารถส่งเสียงในลำคอได้แล้วค่ะ แต่เพื่อพัฒนาการด้านภาษาที่ดีของน้อง คุณแม่ต้องพยายามพูดคุยพร้อมกับสบตาลูกน้อยบ่อย ๆ หรืออาจใช้วิธีการร้องเพลง ไปจนถึงการทำปากจู๋ และส่งยิ้มหวาน ๆ ให้น้องค่ะ เพราะตอนนี้หนูน้อยสนุกกับการทำหน้าตาเลียนแบบพ่อแม่แล้ว
4. ด้านการช่วยเหลือตัวเองและสังคม
- แม้ว่าทารก 1 เดือน จะยังไม่เข้าใจภาษาแต่ยังต้องการรอยยิ้มและคำชมเชยจากพ่อแม่ เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับลูกน้อยตั้งแต่ยังเล็ก
- คุณแม่จะเริ่มเห็นว่าน้องเริ่มยิ้มตอบบ้างแล้ว และยังเคลื่อนตัวไปตามจังหวะเสียงของคุณแม่ได้อีกด้วย ดังนั้น ในระหว่างที่คุณแม่เล่นกับน้องอย่าลืมยิ้มบ่อย ๆ พร้อมกับเรียกชื่อน้องแล้วเอียงหน้าไปมาช้า ๆ เพื่อให้ลูกน้อยได้มองตามเสียงเรียกของแม่ และพยายามให้น้องส่งเสียงอือ ออ ตามนะคะ
ข้อควรรู้: คุณแม่อย่าลืมจดบันทึกพัฒนาการของลูกน้อยในสมุดคู่มือสภาวะสุขภาพของแม่และเด็ก (สมุดสีชมพู) ด้วยนะคะ หากลูกน้อยทำไม่ได้ในบางด้านหรือสงสัยว่าอาจมีพัฒนาการล่าช้าแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่กวนใจของคุณแม่ค่ะ

วิธีการกระตุ้นและเสริมพัฒนาการเด็ก 1 เดือน
การเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยคุณแม่ต้องอาศัยการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตั้งแต่วัยทารก คุณแม่จึงต้องคอยสังเกตพัฒนาการของลูกน้อยในด้านต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้ลูกของเรามีพัฒนาการตามวัยหรือไม่ แล้วค่อยจัดหาวิธีส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยในแต่ละด้าน พร้อมกับจัดบ้านให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อย สำหรับวิธีกระตุ้นพัฒนาการเด็ก 1 เดือน มีดังต่อไปนี้ค่ะ
1. ด้านการเคลื่อนไหว
เริ่มจากให้จัดลูกอยู่ในท่านอนคว่ำ จากนั้นนำของเล่นกรุ๊งกริ๊งมาเขย่าให้เกิดเสียงตรงหน้าน้อง ในระยะห่างประมาณ 30 ซม.แล้วค่อย ๆ เคลื่อนมือไปทางด้านซ้าย จากนั้นเคลื่อนที่มาตรงหน้าที่เดิม แล้วค่อยเคลื่อนออกไปทางด้านขวา ทำแบบนี้สลับกัน เพื่อกระตุ้นให้ลูกน้อยหันศีรษะตามเสียงของเล่น
2. ด้านการเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา
ให้คุณแม่จัดลูกน้อยในท่านอนหงาย จากนั้นเรียกชื่อหรือพูดคุยกับลูกด้านข้างทั้งซ้ายและขวาในโทนเสียงปกติ ถ้าลูกไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรให้พูดเสียงโทนที่ดังขึ้น หากน้องสะดุ้งหรือขยับตัวให้แม่ลดเสียงลงในโทนปกติพร้อมกับเอื้อมมือไปสัมผัสตัวลูกแล้วยิ้มหวาน
3. ด้านการช่วยเหลือตัวเองและสังคม
เริ่มจากจัดลูกน้อยในท่านอนหงาย หรืออุ้มลูกให้ห่างจากหน้าของแม่ประมาณ 30 ซม. จากนั้นให้คุณแม่ลองทำตาโต กระพริบตา หรือส่งเสียงใส่ลูกเพื่อให้เด็กสนใจสลับกับการพูดคุยและยิ้มเมื่อน้องมองตาแม่นะคะ
ข้อควรรู้เมื่อต้องดูแลทารก 1 เดือน
ทารกเป็นวัยที่ต้องการคนดูแลและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถพูดสื่อสารโต้ตอบกับคนรอบข้างได้ ทำให้พ่อแม่มือใหม่หลายคนมีความกังวลใจไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหานี้ เรามีเคล็ดลับในการดูแลทารก 1 เดือน มาแนะนำกันค่ะ
1. การนอนของทารก 1 เดือน
ท่านอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็กทารกช่วงเดือนแรก คือ ท่านอนหงาย เพราะเด็กวัยนี้คอยังไม่แข็งแรง การให้ลูกนอนคว่ำหรือนอนตะแคงอาจเสี่ยงให้เกิดทารกหายใจไม่สะดวกจนก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตเด็กได้ ทั้งนี้ หากคุณแม่อยากให้ลูกนอนตะแคงหรือนอนคว่ำสามารถทำได้ แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ลูกนอนอาจมีอาการผวาหรือสะดุ้งได้ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการสัมผัสและเสียงที่ดังค่ะ ทำให้ร่างกายลูกตอบสนองด้วยการกางแขนขา พร้อมกับแบมือเมื่อผวาหรือสะดุ้ง หลังจากนั้นจะโอบแขนเข้าหากัน
2. การดูแลสุขภาพช่องปาก
สุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่คุณแม่ละเลยไม่ได้ คุณแม่จะต้องทำความสะอาดช่องปากของลูกหลังจากให้ลูกกินนมอยู่เสมอ เพราะคราบนมที่ติดตามเหงือกอาจก่อให้เกิดฝ้าขาวขึ้นมาได้ เนื่องจากถ้าปล่อยไว้นานจนฝ้าขาวเป็นแผ่นหนาและติดแน่นที่บริเวณลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก และริมฝีปาก อาจเป็นสาเหตุให้ลูกน้อยดูดนมแม่น้อยลง และมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
สำหรับวิธีการดูแลสุขภาพช่องปาก คือ ให้คุณแม่นำผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดบริเวณเหงือกและกระพุ้งแก้มอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้า และก่อนนอน
3. การอุ้มลูกเรอหลังกินนมแม่
หลังจากให้นมลูกคุณแม่ควรจับลูกเรอทุกครั้ง โดยใช้เวลาครั้งละประมาณ 10-15 นาทีก่อนปล่อยลูกนอนต่อ นอกจากนี้ ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากให้ลูกกินนมแม่ ต้องไม่จับลูกนอนคว่ำเพราะอาจทำให้นมที่อยู่อัดแน่นในกระเพาะไปรบกวนกระบวนการหายใจของลูกน้อยได้นะคะ
หากคุณแม่ไม่จับลูกเรออาจทำให้ลูกน้อยมีอาการแหวะนมขึ้นมาได้ ซึ่งอาการแหวะนมเกิดจากหูรูดบริเวณหลอดอาหารตอนบนของลูกน้อยยังไม่สมบูรณ์ ทำให้มีอาการแหวะนมออกทางปากและจมูก อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดน้อยลงและหายไปในที่สุดเมื่อลูกน้อยโตขึ้น หากคุณแม่จับลูกขับลมแล้วยังมีอาการแหวะนมอยู่ ควรปรึกษาแพทย์นะคะ
4. ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือให้ทารก
ทารกไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือเลยค่ะ แม้ว่าพ่อแม่หลายคนเลือกที่จะใส่ถุงมือให้ลูกเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเอาเล็บข่วนหน้าตัวเองหรือผิวหนังส่วนอื่น ๆ ตามร่างกายก็ตาม หากคุณแม่กังวลแนะนำให้ป้องกันด้วยการตัดเล็บให้สั้นแทนค่ะ
เคล็ดลับสำหรับคุณแม่
การร้องไห้เป็นวิธีสื่อสารเดียวของเด็กที่ช่วยบอกความต้องการของตัวเองกับแม่ ไม่ว่าจะรู้สึกหิว ไม่สบายตัว เปียกแฉะ และต้องการความใกล้ชิดกับคนรอบข้าง คุณแม่เคยสังเกตไหมว่าเสียงร้องของลูกน้อยมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะร้องเบา ๆ ร้องเสียงดังลั่น ร้องหวีด ร้องไห้โยเย และบางครั้งมีการแสดงท่าทางประกอบด้วย เช่น กำมือแน่น หน้าแดง ถีบที่นอน เสียงร้องที่ไม่เหมือนกันนี้อาจบ่งบอกความหมายที่ต่างกัน คุณแม่ต้องลองพยายามสังเกตและตอบสนองตามความต้องการของน้องนะคะ แน่นอนว่าเด็กอาจร้องไห้กวนไม่ทราบสาเหตุได้ ถ้าคุณแม่เจอเหตุการณ์แบบนี้แนะนำให้อุ้มลูกขึ้นมากล่อมเพื่อให้น้องรู้สึกสบายใจ อย่าปล่อยให้ลูกร้องไห้จนเหนื่อยแล้วหยุดไปเองโดยไม่ตอบสนองอะไรเลย
นอกจากเรื่องของพัฒนาการเด็กและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามวัยแล้ว คุณแม่ควรดูแลเรื่องสุขภาพช่องปาก รวมถึงโภชนาการของลูกน้อยด้วยนมแม่ เพราะนมแม่เป็นโภชนาการที่ดีที่สุดสำหรับทารก ประกอบด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ ดีเอชเอ โคลีน ทั้งยังมีแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) และใยอาหารชนิด 2'-FL ที่ช่วยเรื่องระบบประสาทและสมองของทารก ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีในแต่ละด้านและต่อยอดการเจริญเติบอย่างต่อเนื่อง เพราะสารอาหารในนมแม่ช่วยเด็กเจนใหม่ สร้างสมองไว ได้มากกว่าที่แม่คิด
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ให้นม
อ้างอิง:
- รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 0-3 ปี ตามสมรรถนะของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาตามวัย, สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
- คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด – 5 ปี สำหรับผู้ปกครอง, กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- คู่มือสําหรับพ่อแม่ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการดูแลและพัฒนาเด็ก ตอน วัยเด็กเล็ก 0-3 ปี, ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
- คู่มือนักส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ประจำสถานบริการสาธารณสุข (หลักสูตรเร่งรัด), กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
- การดูแลทารกเมื่อกลับบ้าน, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลรามาธิบดี
- ภาวะปกติ ที่พบบ่อยในทารกแรกเกิด, โรงพยาบาลศิครินทร์
- How long is it appropriate to keep hand mittens on a newborn baby?, American Academy of Pediatrics.
อ้างอิง ณ วันที่ 12 กันยายน 2568