พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ทารก 9 เดือน พร้อมวิธีเสริมพัฒนาการลูก

พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ทารก 9 เดือน พร้อมวิธีเสริมพัฒนาการลูก

เด็ก 9 เดือน เป็นวัยที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบใหม่ ๆ ทุกวัน พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ทำให้ลูกน้อยเริ่มเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น ทั้งการคลาน ยืนเกาะของเล่น หรือหยิบจับสิ่งของเล็ก ๆ เด็กแต่ละคนอาจมีพัฒนาการเร็วหรือช้าต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือคุณแม่ควรคอยสังเกตและส่งเสริมลูกอย่างใกล้ชิด ผ่านการพูดคุย เล่น และสร้างกิจกรรมที่สนุกและปลอดภัย เพื่อให้ลูกได้สำรวจโลกรอบตัวอย่างอิสระ เพราะทุกก้าวเล็ก ๆ ของพัฒนาการทารก 9 – 10 เดือน จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจและแข็งแรง

พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ทารก 9 เดือน พร้อมวิธีเสริมพัฒนาการลูก

บทความที่เกี่ยวข้อง

ลูก 9 เดือนแล้ว แต่ยังไม่คลานเลย ผิดปกติไหม?

ไม่ผิดปกติเสมอไปค่ะ เด็ก 9 เดือนแล้วแต่ยังไม่คลาน เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการและวิธีเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน แม้การคลานจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับการยืนและเดิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะต้องคลานทันทีเมื่ออายุ 9 เดือน

โดยทั่วไปทารกจะเริ่มคลานช่วงอายุ 7 - 10 เดือน บางคนเริ่มเร็วหรือช้ากว่านี้ และบางคนอาจไม่คลานเลย แต่ตราบใดที่ลูกยังขยับร่างกาย สนใจสำรวจสิ่งรอบตัว และเล่นสนุกกับการเคลื่อนไหว ก็ยังถือว่าปกติ หากสังเกตว่าลูกไม่พยายามขยับตัว หรือไม่ใช้ทั้งสองข้างของร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเด็กเพื่อตรวจประเมิน

ควรให้ลูกกินอาหาร Finger Foods อะไรดีที่ปลอดภัย?

Finger Foods หรืออาหารที่สามารถใช้มือหยิบเข้าปากกินได้ด้วยตัวเอง ช่วยให้ลูกฝึกทั้งการเคี้ยวและการใช้กล้ามเนื้อมือเล็กในการหยิบจับอาหาร โดยทั่วไปเมื่ออายุประมาณ 9 เดือน เด็กจะเริ่มพร้อมสำหรับอาหารลักษณะนี้ และค่อย ๆ พัฒนาทักษะได้ดีขึ้นเมื่อได้ลองบ่อย ๆ ค่ะ ควรเริ่มจากอาหารที่ นิ่มและเคี้ยวง่าย เช่น ผักนึ่ง (แครอท ฟักทอง บรอกโคลี) ผลไม้สุก (กล้วย อะโวคาโด) รวมถึงไข่ต้ม และขนมปังนิ่ม ๆ เหล่านี้เหมาะสำหรับให้ลูกลองหยิบกินเองได้ค่ะ

เคล็ดลับคือเลือกอาหารที่ นิ่มและบีบแตกได้ ขนาดใกล้เคียงกับนิ้วผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกหยิบจับง่ายและเคี้ยวได้ปลอดภัย คุณแม่ควรคอยสังเกตว่าลูกพร้อมแค่ไหน เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเร่งค่ะ ค่อย ๆ ให้ลูกลองเรียนรู้ตามจังหวะของเขาเองดีที่สุด

ทำไมเด็ก 9 เดือนถึงติดแม่มาก ไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม?

เมื่อถึงวัย 9 เดือน ลูกมักจะ “ติดแม่” มากขึ้น และไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ปกติของวัยนี้ค่ะ
เริ่มจาก พัฒนาการทางร่างกาย เด็กวัยนี้กำลังหัดคลาน หัดเอื้อมหยิบสิ่งที่อยากได้ จึงมักหงุดหงิดหรือร้องไห้หากทำไม่ได้ตามใจ ต่อมาเป็น พัฒนาการทางด้านความคิดและอารมณ์ เด็กเริ่มจดจำใบหน้าและแยกแยะคนใกล้ชิดได้ จึงเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องห่างแม่ หรืออยู่กับคนแปลกหน้า เราเรียกช่วงนี้ว่า ความกังวลเมื่อถูกแยกจาก (Separation Anxiety) ทำให้ลูกไม่ยอมให้ใครอุ้มและต้องการอยู่กับแม่เป็นหลัก

นอกจากนี้ ลูกยังเริ่ม รับรู้สิ่งรอบตัวได้มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถสื่อสารความต้องการออกมาได้เต็มที่ จึงเกิดความหงุดหงิด ร้องไห้ง่าย และต้องการการปลอบโยนจากแม่มากกว่าเดิม

ทั้งหมดนี้ถือเป็นพัฒนาการตามวัยและจะค่อย ๆ ผ่านไป คุณแม่เพียงให้เวลากอด อุ้ม และมอบความอบอุ่น ก็จะช่วยให้ลูกน้อยมั่นใจ และเรียนรู้ที่จะปรับตัวได้เองค่ะ

สรุป

  • พัฒนาการของเด็ก 9 เดือน เป็นก้าวสำคัญที่ลูกเริ่มสำรวจโลกและแสดงตัวตนได้ชัดเจนขึ้น ทั้งด้านร่างกาย สมอง ภาษา และอารมณ์ ด้านร่างกาย เด็ก 9 เดือน จะคลานได้คล่องมากขึ้น ยืนเกาะเฟอร์นิเจอร์ เดินก้าวเล็ก ๆ ภายในบ้าน และหยิบจับของชิ้นเล็ก ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ด้านภาษา ลูกจะเริ่มอ้อแอ้ เลียนเสียงหรือคำง่าย ๆ และเริ่มเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ด้านอารมณ์และสังคม ลูกจะแสดงความผูกพันกับพ่อแม่ ใช้ภาษากายสื่อสารความรู้สึก และสนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น
  • การเลี้ยงเด็ก 9 เดือนเป็นช่วงเวลาที่สนุกและตื่นเต้น เพราะลูกเริ่มคลาน ยืน และอยากสำรวจสิ่งรอบตัวมากขึ้น ดังนั้นความปลอดภัยจึงสำคัญ คุณแม่ควรติดตั้งประตูกั้นบันไดและมุ้งลวดนิรภัย เก็บของมีคมหรือแตกง่ายให้พ้นมือเด็ก ระวังน้ำร้อน ของร้อน ไฟ เชือก พลาสติก รวมถึงน้ำในอ่างหรือตู้ปลา และเก็บสารเคมีหรือยาให้มิดชิดและพ้นจากมือเด็ก
  • เด็ก 9 เดือน ยังคงได้รับนมแม่เป็นอาหารหลัก พร้อมได้รับอาหารตามวัย วันละ 2 มื้อ ปรุงสุกนิ่มหรือสับละเอียดเพื่อฝึกการเคี้ยวและกลืน เด็กวัยนี้ร่างกายต้องการอาหารที่หลากหลาย และสารอาหารครบถ้วนจาก ผัก ผลไม้ ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ และอาหารทะเลที่ปรุงสุก หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารปรุงแต่ง อาหารชิ้นเล็ก แข็ง หรือกลมที่เสี่ยงต่อการสำลัก เพื่อให้ลูกปลอดภัยและสนุกกับการเรียนรู้โลกใบเล็กของเขาได้อย่างมั่นใจ
  • คุณแม่สามารถส่งเสริม พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ เช่น อ่านหนังสือ ชี้สิ่งรอบตัว ให้ลูกคลาน ยืน เกาะ หรือเดินรอบห้อง เล่นซ่อนของ ฝึกหยิบอาหารเอง และลองรสชาติหรือเนื้อสัมผัสต่าง ๆ วางขอบเขตง่าย ๆ ให้ลูกเข้าใจ สร้างกิจวัตรการนอนและกินที่สม่ำเสมอ สังเกตและตอบสนองความต้องการลูกด้วยความอ่อนโยน พร้อมดูแลตัวเองให้มีพลัง เพื่อให้ทุกวันของลูกเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสนุกสนาน

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ภาพรวมพัฒนาการเด็ก 9 เดือน ก้าวสำคัญสู่การเป็นนักสำรวจตัวน้อย

เมื่อเข้าสู่วัย เด็ก 9 เดือน สมองของลูกจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด บุคลิกและความเป็นตัวตนเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น คุณแม่จะสังเกตได้ว่าลูกจดจำและผูกพันกับคนใกล้ชิดมากขึ้น บางครั้งอาจมีน้ำตาเมื่อต้องห่างแม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของวัยนี้ ขณะเดียวกันเสียงอ้อแอ้ที่เคยได้ยินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นคำง่าย ๆ เช่น “แม่” หรือ “พ่อ” แม้ว่าบางคนยังไม่พูดชัด แต่ก็มักเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ และตอบสนองด้วยท่าทางได้แล้ว

ด้านการเคลื่อนไหว ลูกเริ่มคลานได้คล่อง บางคนอาจยืนเกาะเฟอร์นิเจอร์หรือก้าวเดินไปข้างหน้าได้บ้างแล้ว ลองให้ลูกเริ่มจากเดินเท้าเปล่าภายในบ้านเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการทรงตัวให้ได้ดี เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะปล่อยให้ลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้านนะคะ สำหรับทักษะการหยิบจับ ลูกสามารถหยิบอาหารชิ้นเล็ก ๆ ได้เอง คุณแม่จึงควรจัดเมนูหลากหลายครบ 5 หมู่ และเริ่มให้ลูกกินอาหารก่อนมื้อนม เพื่อค่อย ๆ ปรับสมดุลจากนมไปสู่มื้ออาหารหลักอย่างเหมาะสม

วัย เด็ก 9 เดือน เป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่ลูกน้อยกำลังเรียนรู้และสำรวจโลกด้วยตัวเอง ทุกก้าวคลาน ทุกเสียงอ้อแอ้ และทุกการหยิบจับ ล้วนเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่นำไปสู่พัฒนาการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณแม่อยู่เคียงข้าง มอบความรัก ความมั่นใจ และโอกาสให้ลูกได้ค้นพบศักยภาพของตนเองอย่างปลอดภัยและมีความสุข

1. พัฒนาการทางด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว

เด็ก 9 เดือน มีหลายอย่างที่ลูกเริ่มทำได้ เป็นช่วงที่ลูกเริ่มมีความเป็นอิสระทางร่างกายและอยากสำรวจโลก ทุกการคลาน การนั่ง การหยิบจับ และการยืนเกาะเฟอร์นิเจอร์ ล้วนเป็นก้าวสำคัญของ พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ที่ช่วยปูทางสู่การเดินและการเคลื่อนไหวอย่างมั่นใจ

พัฒนาการที่สำคัญ ได้แก่

1. การคลานและเคลื่อนไหว

  • คลานได้คล่อง สามารถถือของเล่นในมือหนึ่ง ขณะใช้มืออีกข้างและสองเข่าพยุงตัวไปข้างหน้า
  • บางคนเริ่มปีนขึ้นบันได แต่การลงยังยาก ควรอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิด
  • เปลี่ยนท่าทางได้อย่างรวดเร็ว เช่น คลาน นั่งหยิบของ แล้วกลับมานั่งตรงโดยไม่ล้ม

 

2. การยืนและเดิน

  • เริ่มดึงตัวขึ้นยืนเกาะเฟอร์นิเจอร์และเดินทีละก้าวเล็ก ๆ รอบห้อง
  • ยังไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้า การเดินเท้าเปล่าในบ้านช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและเอ็นเท้า เตรียมพร้อมสู่การเดินอย่างมั่นคง
  • หากอากาศเย็น ใช้ถุงเท้าที่มีแถบกันลื่น เพื่อความอบอุ่นและปลอดภัย

 

3. การนั่ง

  • นั่งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพยุง
  • เอียงตัวไปข้างหน้าแล้วกลับมาตั้งตรงได้มั่นคง
  • เริ่มเรียนรู้ งอเข่าเพื่อนั่งลง และสนุกกับการเด้งหรือโยกตัว

 

4. ทักษะมือและการสำรวจ

  • ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้หยิบของชิ้นเล็ก ๆ (pincer grasp)
  • ส่งของจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่ง และสำรวจของเล่นซับซ้อน เช่น หย่อนชิ้นส่วนลงช่อง ซ้อนถ้วย เล่นโทรศัพท์ของเล่น
  • ทักษะมือและการสำรวจนี้ ช่วยฝึกการประสานงานระหว่างตากับมือ และเสริมความสามารถในการสำรวจสิ่งรอบตัว

 

2. พัฒนาการทางด้านภาษาและการสื่อสาร

การสื่อสารของเด็ก 9 เดือนเริ่มชัดเจนขึ้นทั้งทางเสียงและภาษากาย คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นลูกพยายาม “พูดคุย” และตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ภาษาในอนาคต 

พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ที่สำคัญในด้านนี้ ได้แก่

1. การเปล่งเสียงและการเลียนเสียง

  • ลูกส่งเสียงพึมพำไม่หยุด เช่น “บาบาบา” หรือ “มามามา”
  • ส่งเสียงง่าย ๆ ซ้ำ ๆ เช่น “จ๋าจ๊ะ” หรือ “หม่ำๆ”
  • เริ่มเลียนเสียงคำพูดที่คุ้นเคย เช่น “แม่” “ไป” หรือ “หม่ำ”
  • แสดงให้เห็นว่าลูกกำลังเชื่อมโยงเสียงกับความหมายและเริ่มสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่

 

2. การเข้าใจคำพูดง่าย ๆ

  • ลูกเริ่มเข้าใจความหมายของคำ เช่น หากถามว่า “บอลอยู่ไหน” เขาอาจไปหยิบลูกบอลให้
  • ถ้าชี้รูปวัวแล้วถาม “วัวอยู่ไหน” ลูกอาจชี้ไปที่รูป
  • แสดงให้เห็นว่าลูกกำลังเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคำกับสิ่งรอบตัว

 

3. การใช้ภาษากายสื่อสาร

  • ชูแขนเพื่อขออุ้ม
  • ยื่นของเล่นเพื่อชวนเล่น
  • ส่งยิ้มเพื่อเรียกความสนใจและสร้างปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่
  • ภาษากายเหล่านี้ช่วยสร้างความผูกพัน ระหว่างพ่อแม่กับลูกน้อยอย่างอบอุ่น

 

4. การสื่อสารผ่านอารมณ์

  • เป็นสัญญาณของการรับรู้ ความผูกพัน และความไว้ใจต่อพ่อแม่
  • แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน เช่น แสดงอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ หรือ แสดงอารมณ์ร่าเริง เมื่อมีความสุข เป็นต้น
  • ร้องไห้เมื่อถูกแยกจากพ่อแม่หรืออยู่กับคนแปลกหน้า
  • ถึงแม้บางครั้งมีน้ำตา แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการการสื่อสารและอารมณ์

 

3. พัฒนาการทางด้านปัญญา

เด็ก 9 เดือน จะเริ่มสนุกกับการสำรวจและเรียนรู้สิ่งรอบตัวอย่างตั้งใจ นี่คือช่วงเวลาที่สมองของลูกเติบโตอย่างรวดเร็ว การเชื่อมต่อของเซลล์สมองหลายล้านจุดกำลังก่อตัว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

พัฒนาการสำคัญของวัยนี้ ได้แก่

1. การเล่นเพื่อเรียนรู้

  • ลูกมักชอบเล่นเกมให้ของแล้วเอาคืน เป็นการเรียนรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนและเหตุผล
  • สนุกกับการใส่ของลงในภาชนะแล้วหยิบออกมา เรียงแหวน หรือเล่นของเล่นที่มีคันโยก ประตู หรือชิ้นส่วนเคลื่อนที่

 

2. ทักษะการคิดและแก้ปัญหา

  • เริ่มค้นหาสิ่งของที่หายไปจากสายตา เช่น ช้อนหรือของเล่นที่ตกพื้น
  • ทดลองเคาะสิ่งของสองชิ้นเข้าด้วยกัน เช่น บล็อกไม้ เพื่อเรียนรู้ผลลัพธ์และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ

 

3. การเรียนรู้และกระตุ้นสมอง

  • ช่วงปีแรกเป็นเวลาสำคัญของพัฒนาการสมอง
  • การอ่านหนังสือ ร้องเพลง และพูดคุยกับลูกทุกวัน ช่วยเสริมสร้างสมองได้ดีที่สุด
  • ลูกไม่จำเป็นต้องเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ 9 เดือน แค่ได้เรียนรู้และสำรวจสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันก็เพียงพอ

 

4. การพัฒนาประสาทสัมผัส

  • ใช้มือและปากสำรวจสิ่งของรอบตัว
  • พลิกหน้าหนังสือได้หลายหน้าในครั้งเดียว
  • ทดลองแรงที่ใช้ในการหยิบสิ่งของแต่ละชนิด
  • มองและสนใจวัตถุใกล้ไกล
  • สังเกตรูปร่าง ขนาด และพื้นผิวของสิ่งของ
  • สังเกตสิ่งแวดล้อมจากหลายท่าทาง เช่น นั่ง คลาน หรือยืนเกาะ

 

4. พัฒนาการทางด้านอารมณ์และสังคม

ลูกเริ่มแสดงอารมณ์และพฤติกรรมทางสังคมได้ชัดเจนขึ้น คุณแม่จะสังเกตเห็นความผูกพันและความไว้วางใจระหว่างลูกกับผู้ดูแล ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของ พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ในด้านอารมณ์และสังคมที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

พัฒนาการสำคัญของวัยนี้ ได้แก่

1. ความสัมพันธ์และความไว้วางใจ

  • ลูกอาจกลัวคนแปลกหน้า ติดคุณพ่อคุณแม่ หรืออายเมื่อเจอคนไม่คุ้นเคย
  • ลูกอาจร้องไห้หรือแสดงความไม่พอใจเมื่อคุณแม่หรือผู้ดูแลออกไป
  • เมื่อลูกเรียนรู้ว่าคุณจะกลับมา จะเริ่มสร้างความไว้วางใจและสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้มากขึ้น
  • บางครั้งความกังวลเรื่องการแยกจากกับพ่อแม่
  • อาจทำให้ลูกนอนหลับยากขึ้น

 

2. อารมณ์และการแสดงออก

  • ลูกจะสำรวจและเล่นอย่างสนุกเมื่อคุณอยู่ด้วย ลูกรู้สึกสบายใจที่สุดเมื่อคุณอยู่ใกล้ และอาจเครียดหรือกังวลหากคุณไม่อยู่
  • เริ่มแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า เช่น ดีใจ เศร้า โกรธ และประหลาดใจ
  • มองหรือยื่นมือหาเมื่อคุณเรียกชื่อ
  • ยิ้มหรือหัวเราะเมื่อเล่นเกมง่าย ๆ เช่น เล่นซ่อนหา เล่นจ๊ะเอ๋

 

เด็กทารกกำลังเล่นของเล่น

 

สิ่งที่พ่อแม่ควรระมัดระวัง ในการเลี้ยงเด็ก 9 เดือน

การเลี้ยงเด็ก 9 เดือนเต็มไปด้วยความสนุกและความตื่นเต้น ลูกเริ่มคลาน ยืน เกาะเฟอร์นิเจอร์ และสำรวจสิ่งรอบตัวด้วยตัวเอง แต่ความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็ทำให้เกิดความเสี่ยง พ่อแม่จึงควรใส่ใจเรื่องความปลอดภัยในทุกมุมบ้าน เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างปลอดภัยและมั่นใจ

1. การป้องกันการล้ม

  • ติดตั้งประตูกั้นบันไดและประตูห้อง เพื่อป้องกันลูกพลัดตก
  • ติดตั้งมุ้งลวดนิรภัยหรือราวกันตก บนหน้าต่างทุกบานที่สูงจากพื้น เพื่อความปลอดภัย
  • เก็บเฟอร์นิเจอร์ที่มี มุมแหลม แข็ง หรืออันตราย ออกจากพื้นที่ที่ลูกเล่น
  • ไม่ควรใช้รถหัดเดิน เพราะเสี่ยงให้ลูกพลัดตกบันได หรือเข้าถึงสิ่งของที่เป็นอันตราย
  • หากลูกล้มแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ซึม อาเจียน ร้องกวนผิดปกติ หรือมีแผลรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

 

2. การป้องกันการถูกน้ำร้อนหรือไฟไหม้

  • อย่าวางแก้วน้ำร้อนหรืออาหารร้อนตรงขอบโต๊ะ เพราะลูกอาจดึงลงมาได้
  • อย่าอุ้มหรือปล่อยให้ลูกอยู่ใกล้ ๆ เวลาคุณแม่ถือของร้อน
  • ถ้าคุณแม่ต้องทำอาหาร ควรให้ลูกอยู่ในคอกเด็ก เตียงเด็ก หรือเก้าอี้สูง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
  • หากลูกถูกน้ำร้อน ให้รีบราดน้ำเย็นตรงบริเวณที่ถูกลวกประมาณ 5 นาที ปิดด้วยผ้าสะอาด แล้วพาลูกไปพบแพทย์ทันที

 

3. การป้องกันการถูกเชือกรัดหรือพลาสติกคลุม

  • วางเตียงลูกห่างจากหน้าต่าง และม้วนสายม่านหรือสายบังแดดให้สูงพ้นมือลูก เพราะลูกอาจดึงเล่นจนสายพันมือหรือพันคอ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรืออันตรายได้
  • เก็บถุงพลาสติกให้พ้นมือลูก เพราะถ้าลูกนำมาคลุมหน้าเล่น อาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้

 

4. การป้องกันการจมน้ำ

  • เทน้ำออกจากอ่างหรือถังทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อไม่ให้มีน้ำขังที่ลูกอาจพลัดตกลงไป ควรระมัดระวังให้มาก เพราะน้ำเพียงแค่ 2 นิ้ว ก็อาจทำให้ลูกจมน้ำได้
  • ปิดประตูห้องน้ำให้แน่นหนา และอย่าปล่อยให้ลูกอยู่ใกล้น้ำตามลำพัง
  • หากบ้านมีสระว่ายน้ำ ควรติดตั้งรั้วรอบสระทุกด้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกคลานหรือเดินตกลงไป

 

5. การป้องกันการสำลักและอาหารเป็นพิษ

  • หลีกเลี่ยงการวางของชิ้นเล็ก เช่น ของเล่น ลูกโป่ง ใกล้มือเด็ก เพราะลูกอาจหยิบเข้าปากและเสี่ยงต่อการสำลักหรือกลืนติดคอ
  • ไม่ควรให้อาหารแข็งหรือกลม เช่น ลูกเกด เมล็ดถั่ว หากต้องให้ควรหั่นหรือบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อป้องกันการสำลัก
  • คุณพ่อคุณแม่ควรเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตหากลูกเกิดอาการสำลักฉุกเฉิน
  • เก็บสารเคมี ยา และของใช้ทำความสะอาดให้พ้นสายตาและมือเด็ก เพราะอาจเกิดอันตรายหากเผลอกินหรือสัมผัส

 

6. ความปลอดภัยในรถยนต์

  • ลูกควรนั่ง เบาะด้านหลังเสมอ เพราะปลอดภัยที่สุดและช่วยให้ลูกนั่งสบาย ไม่ร้องงอแง
  • ใช้คาร์ซีทแบบหันหลัง (หันหน้าลูกเข้าหาเบาะ) ทุกครั้งที่นั่งรถ จนกว่าจะถึงน้ำหนักหรือความสูงที่กำหนดสูงสุด เพื่อช่วยป้องกันศีรษะและร่างกายลูกจากแรงกระแทก
  • ห้ามให้นั่งเบาะหน้า โดยเฉพาะที่มีถุงลมนิรภัย เพราะอันตรายมากหากเกิดอุบัติเหตุ
  • ห้ามทิ้งลูกไว้ในรถตามลำพัง เพราะความร้อนภายในรถสูงขึ้นเร็วและอันตรายถึงชีวิตภายในไม่กี่นาที

 

7. ภาวะนอนหลับถดถอย

พัฒนาการเด็ก 9 เดือน อยู่ในช่วงที่เริ่มก้าวเข้าสู่พัฒนาการใหม่ ๆ เช่น เริ่มคลาน เกาะยืน หรือพยายามสื่อสารมากขึ้น จึงอาจเกิดภาวะนอนหลับถดถอย (Sleep Regression) ทำให้ลูกนอนหลับยาก ตื่นกลางคืนบ่อย งีบกลางวันสั้น หรืออารมณ์หงุดหงิดง่าย บางครั้งอาจสับสนกับอาการฟันขึ้น

โดยทั่วไปภาวะนี้มักเกิดประมาณ 2 - 6 สัปดาห์ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ

  • รักษาเวลาเข้านอนและตื่นนอนให้สม่ำเสมอ
  • สร้างกิจวัตรก่อนนอน เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านนิทาน เพื่อให้ลูกสงบและพร้อมนอน
  • จัดห้องให้เหมาะสม ทั้งอุณหภูมิ แสง และเสียง เพื่อช่วยให้ลูกหลับสบาย
  • ให้ลูกงีบกลางวันเพียงพอ เพราะหากเหนื่อยเกินไป จะยิ่งหลับยากในตอนกลางคืน
  • เมื่อตื่นกลางดึก ปลอบด้วยความอ่อนโยน เช่น ลูบหลังหรือใช้เสียงเบา ๆ โดยไม่รีบอุ้มทันที เพื่อฝึกให้ลูกกลับไปนอนเอง

สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ควรเข้าใจว่าภาวะนอนหลับถดถอย เป็นเรื่องที่พบได้ใน พัฒนาการเด็ก 9 เดือน ต้องใช้เวลาและความอดทน หากผ่านไป 6 สัปดาห์ แล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลลูกอย่างเหมาะสม

 

โภชนาการสำคัญสำหรับเด็ก 9 เดือน

เด็กวัย 9 เดือน ควรได้รับ อาหารตามวัย วันละ 2 มื้อ โดยเริ่มจากอาหารบดหยาบแล้วปรับเป็นสับละเอียด เพื่อฝึกการเคี้ยวและกลืนให้เหมาะสมกับ พัฒนาการเด็ก 9 เดือน และไม่ปรุงรสให้เค็มหรือหวานเกินไป อาหารควรหลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่มสารอาหาร เช่น

  • ผักและผลไม้สุกนิ่ม เช่น แครอท บรอกโคลี ผักโขม อะโวคาโด หรือผลไม้บดง่าย ๆ อย่าง กล้วย แอปเปิ้ล บลูเบอร์รี่ มะม่วง
  • แป้งและคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ข้าวต้ม ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง มันเทศ ขนมปัง ปรุงสุกนิ่มหรือบดหยาบ
  • โปรตีน เช่น เนื้อไก่ หมู ปลา ไข่ เต้าหู้ ถั่ว และอาหารทะเลปรุงสุก เพื่อเสริมธาตุเหล็กและสังกะสีที่ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน

 

การจัดอาหารแบบนี้ช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนและฝึกทักษะการกินได้อย่างปลอดภัย พร้อมกันนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันอันตรายและส่งเสริมสุขภาพลูกให้ดีขึ้น ได้แก่

  • น้ำผึ้ง เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคโบทูลิซึม (Botulism) ซึ่งเกิดจากอาหารเป็นพิษ
  • เกลือและอาหารแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก แฮม เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
  • อาหารเสี่ยงแพ้ สำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยง เช่น นมวัว ถั่วลิสง
  • อาหารทะเล หรือข้าวสาลี เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
  • ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนและน้ำตาลที่อาจทำให้ปวดศีรษะและฟันผุ
  • อาหารดิบหรือไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ เช่น ปลาดิบ นม ชีส โยเกิร์ต เพราะเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียและทำให้ท้องเสีย
  • ควรหลีกเลี่ยง อาหารปรุงแต่งและเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น สีผสมอาหาร น้ำตาลเทียม วัตถุกันเสีย ควรเน้นอาหารธรรมชาติ ปรุงสุก ปลอดภัย เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนโดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ

 

นอกจากนี้ เด็ก 9 เดือนยังคง กินนมแม่เป็นอาหารหลักตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้ทารกกินนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน และให้นมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยต่อไปจนอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น เพราะในนมแม่มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม และแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ทำหน้าที่พัฒนาสมองของ เด็กเจนใหม่ ช่วยพัฒนาการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาท ทำให้การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการเติบโตของร่างกาย อารมณ์ และสมอง ช่วยให้ลูกมีพื้นฐานการเรียนรู้ที่แข็งแรง คิดไว และพร้อมเปิดรับโลกกว้างด้วยความมั่นใจ

 

เคล็ดลับเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก 9 เดือน

คุณแม่คือ ครูคนแรกของลูก การพูดคุย เล่น และให้ลูกได้สำรวจสิ่งรอบตัวเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและภาษา คุณแม่ไม่จำเป็นต้องใช้ของเล่นราคาแพง เพียงส่งเสริมพัฒนาการของลูกด้วยกิจกรรมง่าย ๆ ที่สนุกและปลอดภัย ได้แก่

ภาษาและการสื่อสาร

  • เลียนเสียงลูกและพูดคำง่าย ๆ ตามลูก เช่น ลูกส่งเสียง “บาบา” คุณแม่พูดตามและต่อด้วยคำง่าย ๆ เช่น “แม่” เพื่อให้ลูกเริ่มเข้าใจความหมายของคำ
  • สอน ภาษามือง่าย ๆ เพื่อให้ลูกสื่อสารสิ่งที่ต้องการก่อนพูดเป็นคำ เช่น โบกมือ “บ๊ายบาย” หรือส่ายหัว “ไม่”

 

การเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อ

  • วางของเล่นให้ลูกคลานหรือเลื่อนตัวไปหยิบ และชมเชยเมื่อลูกทำได้
  • เล่นเกมง่าย ๆ กับลูก เช่น จ๊ะเอ๋ ต่อบล็อกเป็นหอคอย แล้วเก็บกลับด้วยกัน
  • ให้ลูกคลาน ยืนเกาะ ดึงตัวขึ้น หรือเดินเกาะสิ่งของปลอดภัย โดยมีคุณแม่อยู่ดูแลใกล้ ๆ
  • จับมือและเดินรอบห้องกับลูก เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวและการทรงตัว

 

การเล่นและสำรวจ

  • อ่านหนังสือ หรือชี้สิ่งของรอบตัว เช่น ลูกบอลสีแดง
  • เล่นซ่อนของให้ลูกหา เช่น ซ่อนของเล่นใต้ผ้าห่ม
  • ให้ลูกได้สำรวจพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน โดยเก็บของมีคมหรือแตกง่ายให้พ้นมือเด็ก และเก็บยา สารเคมี น้ำยาทำความสะอาดไว้ให้มิดชิด
  • เมื่อลูกทำของตก ให้ถือเป็นเกมสนุก ให้ลูกลองหยิบขึ้นมาเอง และเล่นซ้ำไปด้วยกัน
  • ใช้รถเข็นของเล่นให้ลูกจับยืนขณะฝึกเดิน ควรเลือกแบบมั่นคง ฐานกว้าง และเหมาะสมกับวัย ไม่แนะนำให้ใช้รถหัดเดิน เพราะอาจทำให้เดินช้าลง เดินผิดท่า และเสี่ยงอันตรายหลายอย่าง เช่น ชนสิ่งของ ล้มตกบันได รถพลิกคว่ำ อาจทำให้บาดเจ็บรุนแรงได้

 

อาหารและโภชนาการ

  • ให้ลูกลองหยิบอาหารเองด้วยนิ้ว หรือใช้แก้วน้ำเล็ก เพื่อฝึกการกินอย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงสำลัก
  • ส่งเสริมให้ลูกลองรสชาติและเนื้อสัมผัสต่าง ๆ เช่น อาหารบด นุ่ม หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก
  • นั่งทานอาหารใกล้ลูก เตรียมใจรับการหกเลอะบ้าง เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และสนุกไปกับมื้ออาหาร

 

การวางขอบเขตและวินัย

  • ใช้คำง่าย ๆ เช่น “ไม่” หรือสื่อสารด้วยท่าทางเมื่อเด็กกำลังจะทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ให้เขาเริ่มเรียนรู้ว่าอะไรทำได้และไม่ได้
  • เมื่อต้องแยกตัว เช่น คุณแม่ต้องไปทำงาน ให้พูดว่า “แม่ไปทำงานนะ แล้วเจอกันค่ะ!” ด้วยน้ำเสียงร่าเริงและมั่นใจ การบอกลาแบบชัดเจนช่วยให้ลูกคาดเดาได้ว่าเป็นการแยกตัวชั่วคราว และลดความวิตกกังวล

 

การนอนและกิจวัตร

  • จัดกิจวัตรการนอนและการกินให้เป็นเวลา ลูกจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับตัวได้ง่าย
  • เด็กวัย 4–12 เดือนควรนอนรวม 12–16 ชั่วโมงต่อวัน รวมทั้งงีบระหว่างวัน

 

การสังเกตและตอบสนอง

  • คุณแม่ควรคอยสังเกตว่าลูกตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวหรือคนใหม่ ๆ อย่างไร เพราะจะช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของลูก เช่น กลัว เขิน ดีใจ หรือสนใจสิ่งต่าง ๆ การสังเกตนี้ช่วยให้คุณแม่ตอบสนองได้อย่างถูกต้อง เช่น ปลอบให้ลูกรู้สึกปลอดภัย หรือส่งเสริมให้ลูกลองสำรวจต่ออย่างมั่นใจ
  • ตอบสนองด้วยความอ่อนโยน ใช้คำพูด น้ำเสียง และสีหน้าแสดงความเข้าใจ เช่น ถ้าลูกร้องไห้ คุณแม่อาจพูดว่า “หนูเศร้าใช่ไหม มานี่มา แม่จะช่วยให้หนูสบายใจ” เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและเข้าใจว่าคุณแม่อยู่ใกล้

 

นอกจากการดูแลลูกแล้ว คุณแม่ควรดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน การพักผ่อนให้เพียงพอ และใส่ใจสุขภาพร่างกาย จะช่วยให้คุณแม่มีพลัง พร้อมความสุขในการเลี้ยงลูกได้อย่างเต็มที่

เด็ก 9 เดือนแต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน เด็กบางคนอาจเริ่มยืนเกาะ หรือเริ่มพูดคำง่าย ๆ ได้เร็ว แต่เด็กบางคนอาจทำได้ข้ากว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเร่งหรือเปรียบเทียบ ค่อย ๆ ฝึกและส่งเสริมทีละขั้น เช่น เล่นหยิบจับสิ่งของ หรือให้ลูกสำรวจพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน สนุกไปกับการเรียนรู้ หากสังเกตว่าลูกมีพัฒนาการที่ล่าช้าอย่างชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม พัฒนาการทุกช่วงวัยของลูกมีความสำคัญ การเรียนรู้วิธีส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจและแข็งแรง คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมและแนวทางส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้ที่ https://www.s-momclub.com/member-privilege


บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. 9-Month-Old Baby , whattoexpect.com
  2. Your baby's growth and development — 9 months old , pregnancybirthbaby.org.au
  3. Baby Development: Your 9-Month-Old , webmd.com
  4. Important Milestones: Your Baby By Nine Months , cdc.gov
  5. 9-Month-Old Baby: Developmental Milestones and Guidelines , healthline.com
  6. Your Child's Development: 9 Months , kidshealth.org
  7. พัฒนาการเด็ก แต่ละช่วงวัย (เด็กแรกเกิด - 6 ปี) , โรงพยาบาลสมิติเวช
  8. Safety for Your Child: 6 to 12 Months , 
  9. 9 Month Sleep Regression: What To Expect & How To Cope? , cheerschildcare.com
  10. สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก ฉบับปรับปรุงใหม่ พ.ศ. 2568 , กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 
  11. ที่ควรกิน และควรหลีกเลี่ยง มีอะไรบ้าง , hellokhunmor.com
  12. When do babies start crawling: 6 tips to encourage crawling , huckleberrycare.com
  13. How to Serve Finger Foods to Baby from 6-12 months , srnutrition.co.uk 
  14. Crying at 9 Months , texashealth.org
  15. Finger Food Ideas From 8 To 12 Months , kidshealth.org.nz
  16. The Best Finger Foods for Baby , thebump.com
  17. What are finger foods and why are they important? , gov.nl.ca
  18. Finger foods for your baby , babycenter.com
  19. รับมืออย่างไรเมื่อเด็กมีความกังวลเกี่ยวกับการแยกจาก (Separation Anxiety) , โรงพยาบาลมนารมย์
  20. รถหัดเดิน คืออะไร และจำเป็นสำหรับเด็กหรือไม่ , hellokhunmor
     


อ้างอิง ณ วันที่ 4 กันยายน 2568