7 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด ฝึกลูกพูดช้าให้พูดเร็วตามช่วงวัย
การเรียนรู้ การตอบสนอง และการสื่อสารกับเด็กในช่วงขวบปีแรกมีความสำคัญต่อพัฒนาการเด็กเป็นอย่างมาก หากพ่อแม่พยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อยผ่านการเล่นที่เหมาะสมกับวัย รวมถึงพยายามพูดคุยกับลูกอยู่เป็นประจำจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถเห็นถึงพัฒนาการของลูกรักได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการเฝ้ามองลูกน้อยในทุก ๆ วันจะทำให้พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นของลูกน้อยได้
พัฒนาการด้านการสื่อสารของเด็กอายุ 1 – 12 เดือน ในแต่ละช่วงวัย
ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 1 – 12 เดือน ย่อมมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน เช่น เด็กอายุ 3-6 เดือนจะเริ่มพูด ส่วนเด็กอายุ 6-9 เดือน จะสามารถรับรู้ชื่อของตนเองได้ ซึ่งการแสดงออกถึงพัฒนาการเหล่านี้ของเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน บางคนมีพัฒนาการช้า บางคนมีพัฒนาการไว และพัฒนาการในแต่ละเดือนนี้เองที่พ่อแม่ควรทราบ จะได้รู้ว่าตอนนี้ลูกน้อยมีพัฒนาการอย่างไร

-
เด็กอายุ 1-2 เดือน เริ่มมีการเล่นเสียงในลำคอ เช่น การร้องไห้ ไอ หรือหาว และจะแสดงอาการตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังกะทันหัน
-
เด็กอายุ 3-4 เดือน เริ่มยิ้มเมื่อได้ยินเสียงพ่อแม่หรือคนที่คุ้นเคยใกล้ชิด เริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ หรือเสียงอู/อา จากการพยายามพูดกับพ่อแม่ และจะเงียบเสียงเมื่อต้องการฟังพ่อแม่พูด
-
เด็กอายุ 5-6 เดือน เด็กจะเริ่มเล่นเป่าน้ำลาย เริ่มหันหาเสียงเสียงรบกวนที่ไม่ดังมากนัก เริ่มเล่นเสียงบริเวณริมฝีปาก สามารถเลียนแบบเสียงของผู้อื่นได้ มีการเล่นเสียงทีละพยางค์หรือสองพยางค์ เช่น “บา” “ดา” “มา”รวมถึงมีการตอบสนองเมื่อมีการเรียกชื่อของตัวเอง
-
เด็กอายุ 7-8 เดือน จะสามารถจำชื่อตัวเองได้แล้ว รู้จักการเขินอายหรือกลัวคนแปลกหน้า สามารถฟังคำถามง่าย ๆ มีการตอบสนองออกมาด้วยภาษาท่าทางแทนการพูดได้ เช่น มองดู ชี้ หยิบ และสามารถเล่นเสียงหลายพยางค์ได้ เช่น “ดาดาดา” “บาบาบา” เป็นต้น
-
เด็กอายุ 9-12 เดือน จะมีการโต้ตอบกับพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดแต่ยังไม่เป็นภาษา ยังคงชอบที่จะเลียนแบบเสียงของผู้อื่นอยู่แต่สามารถเลียนเสียงแปลก ๆ ได้ เช่น เสียงเห่าของสุนัข และเสียงจิ้งจกร้อง เริ่มทำเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ เริ่มพูดได้เป็นคำพยางค์เดียวที่มีความหมายได้ 2-3 คำ เช่น “พ่อ” “แม่” “หม่ำ” เป็นต้น และสามารถใช้ท่าทางสื่อความหมายต่อคำพูด เช่น การพยักหน้า และการสั่นหัว ทำตามคำสั่งได้ เช่น การโบกมือบ๊ายบาย การส่งจูบ เป็นต้น เพราะลูกน้อยเข้าใจคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ แล้ว และสามารถทำตามคำสั่งที่มีท่าทางประกอบได้
7 วิธีคุยกับลูกน้อย ทำอย่างไรให้ลูกเข้าใจและสื่อสารได้
การเตรียมพร้อมก่อนที่จะสอนลูกพูดจะช่วยให้พ่อแม่ทราบว่าในขณะนั้นลูกน้อยพร้อมที่จะเรียนรู้หรือไม่ หากลูกอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด หรือร้องไห้โยเย แสดงว่าน้องยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ต้องรอให้เด็กสงบลงก่อน สำหรับวิธีกระตุ้นการพูดกับลูก มีวิธีดังนี้
-
เล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์
การเล่นกับลูกจะช่วยฝึกฝนพัฒนาการทางด้านการพูดและการสื่อสารได้เป็นอย่างดี โดยพ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมของลูกด้วย เช่น เล่นจ๊ะเอ๋กับลูก เล่นซ่อนของ เล่านิทานให้ลูกฟังพร้อมใช้ท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกสนใจและสนุกสนานมากขึ้น หรือจะร้องเพลงสำหรับเด็กให้ลูกฟัง โดยพ่อแม่ต้องพยายามร้องซ้ำ ๆ ร้องบ่อย ๆ เพราะเด็กจะใช้เวลาในการจดจำในสิ่งที่ได้ยิน การเล่นของเด็ก คือ การเรียนรู้ การฝึกทักษะ การแก้ปัญหา และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่จำเป็นต่อพัฒนาการของลูก -
คุยกับลูกบ่อย ๆ
พ่อแม่ควรขยันคุยกับลูกให้มาก ๆ และควรพูดให้กระชับ ใช้น้ำเสียงที่เน้นคำพร้อมกับทำกิจกรรมไปด้วย เช่น ถอดเสื้อ กินข้าว อาบน้ำ สำหรับเด็กเล็กอาจจะใช้วิธีตั้งคำถามกับลูก เช่น คนไหนแม่ หมาอยู่ไหน กล้วยอยู่ไหน หลังจากนั้นควรรอให้ลูกตอบคำถามเพื่อสังเกตว่าลูกเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือไม่ หากลูกไม่แน่ใจพ่อแม่สามารถช่วยลูกได้โดยการจับมือชี้ไปที่คำตอบของคำถามนั้น -
สบตากับลูกน้อย
เมื่อพ่อแม่ต้องการสอนลูกให้รู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ รอบตัว จำเป็นต้องมองที่ใบหน้าของลูก เพราะลูกน้อยจะใช้วิธีการสบตา และอ่านรูปปากของพ่อแม่เช่นเดียวกัน หากพ่อแม่ต้องการสอนคำศัพท์อะไร ให้หยิบสิ่งนั้นมาไว้ใกล้ปากแล้วพูดคำนั้นออกมา เด็กจะทำความเข้าใจต่อสิ่งนั้นพร้อม ๆ สังเกตรูปปาก เพราะการที่จะเริ่มสอนคำศัพท์ใหม่ ๆ นั้น พ่อแม่ต้องให้ลูกเข้าใจต่อสิ่งที่ต้องการสอนก่อน -
สอนพูดเป็นคำ ๆ
การเริ่มต้นสอนพูดพ่อแม่ควรเลือกสอนคำเดี่ยว ๆ ที่ลูกน้อยสามารถมองเห็นรูปปากได้ชัดเจน รวมถึงต้องเลือกคำที่สามารถออกเสียงได้ง่าย เช่น คำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ “ม” ได้แก่ แม่ หมา หรือ คำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ “ป” ได้แก่ ปาก ปลา ปู เป็นต้น รวมถึงควรเลือกคำที่อยู่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวันจะสามารถช่วยให้เด็กสามารถเชื่อมโยงคำนั้นได้ เกิดความเข้าใจต่อคำนั้นได้ดี และสามารถจดจำคำนั้นได้ในที่สุด -
ออกเสียงให้ชัด
จังหวะในการพูด การสื่อสารของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้าลูกพ่อแม่เป็นคนเริ่มพูดคุยกับลูก ต้องรอให้ลูกตอบก่อนแล้วค่อยพูดกับลูกต่อ การพูดสลับกันแบบนี้จะทำให้ลูกน้อยเรียนรู้ว่าเมื่อใดเป็นการสิ้นสุดคำถามได้ เพื่อเป็นการบอกว่าตอนนี้ถามเสร็จแล้วลูกต้องตอบนะ ออกมา เช่น แม่ถามว่า “นี่อะไร” แต่ถ้าถามแล้วลูกไม่แสดงอาการ อาจจะกระตุ้นลูกโดยการจ้องหน้าแล้วถามอีกครั้ง แล้วพยายามเน้นคำ ออกเสียงให้ชัดเจน พร้อมกับพูดช้า ๆ ลูกจะได้พูดตามได้ หากลูกมีการเล่นระดับเสียงพ่อแม่ก็ควรออกเสียงสูงต่ำตามลูกด้วย ถ้าลูกสามารถพูดเป็นคำได้แล้ว พ่อแม่สามารถเริ่มสอนคำที่ยาวขึ้น หรือสอนประโยคสั้น ๆ ได้ -
เน้นให้ลูกพยายามสื่อสาร
กระบวนการเรียนรู้ของลูกพ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมด้วย แต่ควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและเปิดจังหวะให้ลูกพยายามสื่อสารด้วยตัวเองจากภาษาท่าทางต่าง ๆ อย่าบังคับให้ลูกพูด เช่น ให้ลูกชี้ตอบ เดินไปหยิบสิ่งของ เป็นต้น หากลูกมีการโต้ตอบแบบไม่เป็นภาษา หรือเป็นภาษาที่พูดแม่ไม่เข้าใจ พ่อแม่ควรพยายามเดาว่าลูกต้องการพูดอะไร แล้วพูดตอบในเรื่องนั้นออกมา -
ชื่นชมลูก
พ่อแม่ควรชมเชยหรือให้รางวัลแก่ลูก เช่น การปรบมือ หรือยิ้มแย้มให้กับลูกเมื่อลูกทำตามคำสั่งได้สำเร็จแม่จะเป็ความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม เพราะคำชม เป็นกำลังใจที่เป็นแรงผลักดันให้ลูกอยากทำอะไรก็ตามให้สำเร็จ ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกน้อยเอง แม้ว่าสิ่งที่ต้องทำนั้นเป็นสิ่งที่ยากและไม่เคยทำมาก่อน ทำให้เด็กสามารถก้าวผ่านความกลัว ความยากลำบากไปได้ ดังนั้น คำชมเล็ก ๆ อาจเป็นตัวกระตุ้นพัฒนาการที่ดี และความสำเร็จในทุก ๆ ด้านของลูกในอนาคตได้
ลูกมีพัฒนาการช้าหรือไม่ สังเกตจากอะไร
-
ช่วงวัยแรกเกิด ไม่มีการตอบสนองหรือปฏิกิริยาต่อเสียง เช่น ไม่ส่งเสียงร้องเมื่อมีเสียงดัง ลูกไม่ยอมจ้องหน้าพ่อแม่ขณะพูดคุยด้วย
-
อายุ 10 เดือน ไม่มีการเริ่มออกเสียงบริเวณริมฝีปาก เช่น “บา” “กา”
-
อายุ 15-18 เดือน พูดได้ทีละคำ ไม่มีการพูดคำ 2 คำที่ติดกัน
-
พัฒนาการทางด้านภาษาไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตามช่วงวัย เช่น ไม่สบตา ไม่บอกความต้องการของตน ไม่ทำตามคำสั่ง ไม่เรียกพ่อแม่ เป็นต้น
โดยปกติแล้วเด็กทุกรายต้องได้รับการตรวจพัฒนาการตั้งแต่ช่วงวัยแรกเกิด ในเด็กทารกควรได้รับการตรวจคัดกรองการได้ยินตั้งแต่ช่วงแรก เพราะถ้าพบความผิดปกติในการได้ยินตั้งแต่ต้น จะสามารถรักษาได้ทันท่วงที เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการพูดและการได้ยินกลับมาเป็นปกติได้ในอนาคต
สำหรับเด็กเล็กเป็นไปได้คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กกับแพทย์ตามช่วงอายุ 9 เดือน 18 เดือน 24 เดือน หรือ 30 เดือน เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินพัฒนาการของลูกว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หรือมีพัฒนาการช้าหรือเปล่า ถ้าตรวจแล้วพบว่าเด็กมีปัญหาเรื่องพัฒนาการ คุณหมอจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีพร้อมทั้งให้คำแนะนำในการดูแลลูกน้อยในอนาคตด้วย

กิจกรรมที่พ่อแม่ควรทำเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก ในช่วงขวบปีแรก
-
เด็กอายุ 1 เดือน จัดท่าให้ลูกนอนหงาย แล้วใช้เรียกชื่อหรือพูดคุยกับลูกจากทางด้านซ้ายสลับกับทางด้านขวา หากลูกน้อยมีการสะดุ้งตกใจให้ลดเสียงลง พร้อมกับสัมผัสที่ตัวลูก
-
เด็กอายุ 2 เดือน พ่อแม่ยื่นหน้าเข้าหาลูกเว้นระยะห่างประมาณ 60 ซม. สบตาแล้วเริ่มพูดคุยด้วยเสียง “อู” อือ ในลำคอ แล้วหยุดให้ลูกน้อยทำเสียงตาม เมื่อลูกทำเสียงตามให้เปลี่ยนไปฝึกเสียง “อือ”
-
เด็กอายุ 3 - 4 เดือน ให้พ่อแม่พูดคุยและเล่นกับลูกผ่านการสัมผัสจุดต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้นิ้วกดที่บริเวณฝ่าเท้า เอว หน้าท้อง หรือลองใช้จมูกสัมผัสบริเวณหน้าผาก แก้ม ปากและหน้าท้องของหนูน้อย ให้มีน้ำหนักหนักเบาที่แตกต่างกัน
-
เด็กอายุ 5 - 6 เดือน สบตา พูดคุยกับลูก และทำเสียง “จุ๊บจุ๊บ” หรือ “วา..วา..” ให้ลูกน้อยดูหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เด็กจดจำและเกิดการเลียนแบบทำตาม หากลูกน้อยไม่สามารถออกเสียงได้ เพื่ออาจจับมือลูกแล้วให้ลูกทำตาม
-
เด็กอายุ 7 - 9 เดือน ลองสื่อสารกับเด็กโดยให้ลูกน้อยพยายามเลียนเสียงและออกเสียงคำตามพ่อแม่ เช่น “มามา” “ปาปา” หรือ “หม่ำหม่ำ” เป็นต้น
-
เด็กอายุ 10 - 12 เดือน พยายามเล่นกับลูกโดยให้ลูกเลียนแบบท่าทางของพ่อแม่ เช่น โบกมือ ปรบมือ ถ้าลูกทำไม่ได้ให้ค่อย ๆ จับมือให้น้องทำตาม พอลูกพอทำได้แล้วก็ค่อยไม่ต้องให้การช่วยเหลือ และลองนำของเล่นที่ดึงดูดความสนใจแล้วลองยื่นให้ลูกดูแล้วถามประมาณว่า “หนูเอาไหม” ถ้าเด็กต้องการแล้วค่อยยื่นให้
การกระตุ้นการสื่อสารที่ดีของเด็กเล็ก พ่อแม่ควรเน้นให้ลูกฟังอย่างเข้าใจ และตอบสนองด้วยท่าทางเสียก่อน ไม่จำเป็นต้องคาดคั้นให้ลูกพูดออกมา เพราะการสื่อภาษานั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบนอกจากการพูดออกเสียง เช่น ภาษาท่าทาง และภาษากาย โดยเฉพาะหนูน้อยวัย 8 เดือน เป็นช่วงวัยที่สมองกำลังทำงานหนัก คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับกับลูกบ่อย ๆ โดยเน้นการพูดช้า ๆ ชัด ๆ เริ่มจากคำง่าย ๆ ใกล้ตัว พยายามให้ลูกได้มีการโต้ตอบออกมาให้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเปล่งเสียงหรือใช้ภาษาท่าทาง หรืออาจใช้เพลงเด็กเพื่อช่วยให้เกิดการจดจำ เพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย เพราะทุกการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่เริ่มได้ใน 1000 วันแรกของชีวิต
บทความแนะนำ

เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2563 ทำยังไง ใครลงทะเบียนได้บ้าง อยากรู้อ่านเลย!
โครงการที่จะมาช่วยเหลือพ่อแม่เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เงินอุดหนุนทารกแรกเกิดล่าสุด ประจำปี 2563 มาแล้ว ใครที่อยากรู้ว่าใช้เอกสารอะไรประกอบการลงทะเบียนบ้าง ลงทะเบียนเริ่มต้นตั้งแต่วันไหน วันสุดท้ายลงลงทะเบียนได้คือเมื่อไหร่ เรารวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2563 มาให้ คุณแม่ คุณพ่อ เรียบร้อยแล้ว

เมนูเด็กวัย 6 เดือน อาหารมื้อแรกของลูกเริ่มยังไง และแค่ไหนถึงจะพอดี
คุณแม่สงสัยไหมเอ่ยว่าทำไมมื้อแรกของลูกต้องหลัง 6 เดือน ง่ายๆ เลยค่ะก็เพราะว่า ช่วง 6 เดือนแรก ลูกจะได้รับสารอาหารพอเพียงจากนมแม่ หลังจากนั้นเจ้าตัวเล็กจำเป็นต้องได้รับพลังงาน และสารอาหารบางชนิดเพิ่มเติมจากอาหารตามวัยสำหรับ เช่น โปรตีน เหล็ก แคลเซียม สังกะสี ไอโอดีน วิตามินเอ เป็นต้น เพื่อให้การเจริญเติบโตตามปกติ ก่อนจะเริ่ม เมนูเด็กวัย 6 เดือน เราไปดูกันค่ะว่า สารอาหารที่เด็กวัยนี้ต้องได้รับนั้นมีอะไรบ้าง

สีอึของลูกบอกอะไรแม่ได้บ้าง อึแบบนี้ลูกแฮปปี้หรือไม่ อึได้แบบไหนบอกสัญญาณร้ายสุขภาพลูก
อึแบบนี้ลูกแฮปปี้หรือไม่ อึได้แบบไหนบอกสัญญาณร้ายสุขภาพลูก ทุกครั้งที่ลูกขับถ่าย คุณแม่รู้มั๊ยว่าสีและลักษณะอึของลูกนั้น สามารถที่จะบ่งบอกถึงสุขภาพของเค้าได้ สีหรือลักษณะอึทารกจะเปลี่ยนแปลงได้จากการดื่มนมแม่หรือนมผงและการได้เริ่มกินอาหารหรือแม้แต่การเกิดความผิดปกติกับร่างกาย เรามาดูค่ะว่าอึของเจ้าตัวน้อยบอกอะไรคุณแม่ได้บ้าง