โอเมก้า 3 6 9 คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญต่อพัฒนาการเด็กแต่ละวัย
คำถามที่พบบ่อย
ลูกไม่ยอมทานปลาเลย จะทำอย่างไรให้เขาได้รับโอเมก้า 3 เพียงพอ?
เป็นปัญหาที่คุณแม่หลายท่านเจอ ลองใช้วิธีเหล่านี้:
1. นำเนื้อปลาไปผสมกับอาหารที่ลูกชอบ เช่น ทำเป็นไส้ในไข่เจียว หรือบดผสมในซอสพาสต้า
2. เลือกใช้ไข่ไก่หรือนมที่ระบุว่ามีการเสริมโอเมก้า 3
3. โรยเมล็ดเจียหรือเมล็ดแฟลกซ์บดละเอียดในโยเกิร์ตหรือซีเรียลของลูก และหากยังกังวล สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาอาหารเสริมน้ำมันปลาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
สำหรับเด็กที่ทานมังสวิรัติ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะได้รับ DHA และ EPA เพียงพอ?
เด็กที่ทานมังสวิรัติจะได้รับโอเมก้า 3 ชนิด ALA จากพืชเป็นหลัก เช่น เมล็ดแฟลกซ์และวอลนัท แต่ร่างกายสามารถเปลี่ยน ALA เป็น DHA และ EPA ได้ในปริมาณที่จำกัด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกได้รับ DHA เพียงพอ คุณแม่สามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับ DHA ที่สกัดมาจาก 'สาหร่ายทะเล' (Algae Oil) ซึ่งเป็นแหล่งของ DHA จากพืชโดยตรง
การนำปลาไปปรุงอาหารด้วยความร้อน ทำให้โอเมก้า 3 หายไปหรือไม่?
ใช่ ความร้อนสามารถลดปริมาณโอเมก้า 3 ลงได้บ้าง แต่ปลายังคงเป็นแหล่งที่ดีที่สุดอยู่ดี เคล็ดลับคือการใช้วิธีปรุงที่ไม่รุนแรงและใช้เวลาน้อย เช่น การนึ่ง, การอบ, หรือการต้ม จะช่วยรักษาโอเมก้า 3 ไว้ได้ดีกว่าการทอดในน้ำมันท่วมหรือการย่างด้วยไฟแรงสูงเป็นเวลานาน
สรุป
- โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) เป็นกรดไขมันดีที่จำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อย โดยเฉพาะสมอง สายตา ระบบประสาท และภูมิคุ้มกัน โดยโอเมก้า 3 (Omega 3) ช่วยสร้างสมอง เสริมการมองเห็น ลดการอักเสบ และส่งผลดีต่อสมาธิ ขณะที่โอเมก้า 6 (Omega 6) ช่วยสร้างเซลล์ประสาท เสริมภูมิคุ้มกัน และทำงานร่วมกับโอเมก้า 3 (Omega 3) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนโอเมก้า 9 (Omega 9) ซึ่งร่างกายสามารถสร้างเองได้ มีบทบาทในการบำรุงหัวใจและสมอง และยังช่วยต้านการอักเสบอีกด้วย
- เด็กแต่ละช่วงวัยควรได้รับโอเมก้า 3 (Omega 3) ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะ เอแอลเอ (ALA) ส่วนโอเมก้า 6 (Omega 6) มักได้รับเพียงพอจากอาหารทั่วไป และโอเมก้า 9 (Omega 9) ไม่จำเป็นต้องเสริมเพราะร่างกายสร้างได้เอง
- โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) หาได้จากอาหารธรรมชาติ เช่น ปลา ไข่ เมล็ดพืช ถั่ว และน้ำมันพืช โดยควรกินให้หลากหลายเพื่อเสริมพัฒนาการลูกและดูแลสุขภาพแม่ระหว่างตั้งครรภ์และให้นม
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) สำคัญกับลูกอย่างไร
- ความแตกต่างระหว่างโอเมก้า 3, 6 และ 9 (Omega 3 6 9)
- ปริมาณโอเมก้า (Omega) ที่เหมาะกับเด็กแต่ละวัย
- โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) ในนม สารอาหารสำคัญสำหรับทารกและเด็กวัย 1 ขวบ
- แหล่งรวมโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) สำหรับแม่และลูก
- ข้อควรระวังในการได้รับโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9)
- สัญญาณเตือน เมื่อลูกน้อยขาดโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9)
- โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) กับการดูแลโภชนาการลูกรัก
โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) สำคัญกับลูกอย่างไร
ในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต ลูกน้อยกำลังอยู่ในช่วงที่สมอง ระบบประสาท และร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็ว โภชนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะ กรดไขมันจำเป็นอย่างโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูก เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น มาดูหน้าที่ของโอเมก้าแต่ละชนิดกันค่ะ ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้างต่อการเติบโตของลูก
โอเมก้า 3 (Omega 3)
กรดไขมันหลัก: กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ ดีเอชเอ (DHA) , กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ อีพีเอ (EPA), กรด อัลฟา ไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid) หรือ เอแอลเอ (ALA)
บทบาทต่อการเจริญเติบโต
- สมองและสติปัญญา: ดีเอชเอ (DHA) เป็นส่วนประกอบหลักของสมองและเซลล์ประสาท ช่วยพัฒนาโครงสร้างและการสื่อสารของเซลล์สมอง เสริมความสามารถด้านการเรียนรู้ ความจำ และสมาธิ
- สายตา: ดีเอชเอ (DHA) ช่วยในการพัฒนาและการทำงานของสมอง รวมถึงการมองเห็น เป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างสมองและเซลล์ประสาท ช่วยพัฒนาการมองเห็น โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก
- ภูมิคุ้มกัน: อีพีเอ (EPA) ช่วยลดการอักเสบและเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- อารมณ์และพฤติกรรม: มีงานวิจัยเชื่อมโยงโอเมก้า 3 (Omega 3) กับการลดอาการซน สมาธิสั้น (ADHD) และพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็ก
โอเมก้า 6 (Omega 6)
กรดไขมันหลัก: กรดแกมมา ไลโนเลนิก (Gamma-Linolenic Acid) หรือ จีแอลเอ (GLA) และ กรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) หรือ เอเอ (AA)
บทบาทต่อการเจริญเติบโต:
- สมองและระบบประสาท: กรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) หรือ เอเอ (AA) เป็นองค์ประกอบสำคัญของ เยื่อหุ้มเซลล์สมองและเซลล์ประสาท
- ระบบภูมิคุ้มกัน: กรดแกมมา ไลโนเลนิก (Gamma-Linolenic Acid) หรือ จีแอลเอ (GLA) ช่วยควบคุมการอักเสบ และการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
- อารมณ์และพฤติกรรม: กรดแกมมา ไลโนเลนิก (Gamma-Linolenic Acid) หรือ จีแอลเอ (GLA) ใน โอเมก้า 6 (Omega 6) มาใช้ร่วมกับ โอเมก้า 3 (Omega 3) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับสมดุลการทำงานของสมอง ทำงานร่วมกับโอเมก้า 3 (Omega 3) ได้ดี ช่วยลดอาการสมาธิสั้นได้ดีกว่าการเสริมโอเมก้า 3 (Omega 3) อย่างเดียว
โอเมก้า 9 (Omega 9)
กรดไขมันหลัก: กรดโอเลอิก (Oleic acid) หรือ โอเอ (OA)
บทบาทต่อการเจริญเติบโต:
- พลังงานและสุขภาพหัวใจ: ช่วยปกป้องหัวใจ โดยจะช่วยลดการสะสมคอเลสเตอรอล
- เสริมการทำงานของสมอง: สนับสนุนการทำงานของระบบประสาทและการสื่อสารของเซลล์ประสาท
- ต้านการอักเสบ: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยเสริมสุขภาพโดยรวม
ความแตกต่างระหว่างโอเมก้า 3, 6 และ 9 (Omega 3 6 9)
โอเมก้า 3 (Omega 3) และโอเมก้า 6 (Omega 6) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ค่ะ จึงต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เช่น ปลาทะเล เมล็ดพืช น้ำมันถั่วเหลือง และถั่ว ซึ่งแตกต่างจากโอเมก้า 9 (Omega 9) ที่เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ พบได้ในอาหารอย่างน้ำมันมะกอกและอะโวคาโด หนึ่งในสารอาหารสำคัญ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสริมจากอาหารเสริมค่ะ
โอเมก้า 3 (Omega 3) บำรุงสมองและสายตา
โอเมก้า 3 (Omega 3) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายลูกน้อยไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องได้รับจากอาหารเท่านั้นค่ะ
โอเมก้า 3 (Omega 3) มีสารอาหารหลักสำคัญอยู่ 3 ชนิด คือ
- กรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid) หรือ เอแอลเอ (ALA)
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ ดีเอชเอ (DHA)
- กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ อีพีเอ (EPA)
กรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid) หรือ เอแอลเอ (ALA) เป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายใช้สร้างกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ที่สำคัญอย่าง กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ ดีเอชเอ (DHA) และ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ อีพีเอ (EPA)
โดย ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) นั้นมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมองและสายตาของลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพหัวใจและระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับโอเมก้า 3 (Omega 3) อย่างเพียงพอในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต จึงเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง และวางพื้นฐานสุขภาพที่ดีให้กับลูกได้ตั้งแต่เล็กเลยค่ะ
บทบาทของ ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) ต่อสมอง
สมองของลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงวัยเด็ก และหนึ่งในสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญคือกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) โดยเฉพาะดีเอชเอ (DHA) และอีพีเอ (EPA) ซึ่งต่างก็มีหน้าที่เฉพาะในการส่งเสริมพัฒนาการและการทำงานของสมอง ดังนี้ค่ะ
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ ดีเอชเอ (DHA) เป็นกรดไขมัน 22 คาร์บอน และมีส่วนช่วยในการพัฒนาและการทำงานของสมอง
- กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ อีพีเอ (EPA) เป็นกรดไขมัน 20 คาร์บอน มีหน้าที่หลักในการผลิตสารไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) ซึ่งช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยลดอาการซึมเศร้าได้
รู้ไหมคะว่า ยังมีอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งพบมากในนมแม่ โดยมีบทบาทในการสร้าง สารสื่อประสาท และเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทในสมอง ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสริมศักยภาพสมองของลูกในด้าน ความจำ สมาธิ และการคิดวิเคราะห์ โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกที่สมองกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานที่แข็งแรงของสมองในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่มั่นคงในวันข้างหน้า
ดีเอชเอ (DHA) กับพัฒนาการของทารก
โอเมก้า 3 (Omega 3) โดยเฉพาะ ดีเอชเอ (DHA) ช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการสร้างระบบประสาท
ปริมาณและประเภทของโอเมก้า 3 (Omega 3) ในอาหาร ได้แก่
| ปลาแซลมอน: | ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) 4.0 กรัม |
| ปลาทู: | ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) 3.0 กรัม |
| ปลาซาร์ดีน: | ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) 2.2 กรัม |
| ปลาไส้ตัน: | ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) 1.0 กรัม |
| เมล็ดเจีย: | เอแอลเอ (ALA) 4.9 กรัม |
| วอลนัท: | เอแอลเอ (ALA) 2.5 กรัม |
| เมล็ดแฟลกซ์: | เอแอลเอ (ALA) 02.3 กรัม |
การให้ลูกน้อยได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) อย่างพอเหมาะและปลอดภัย ควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากคุณหมอหรือนักโภชนาการ
โอเมก้า 6 (Omega 6) เสริมการเติบโตและภูมิคุ้มกัน
โอเมก้า 6 (Omega 6) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ร่างกายลูกน้อยไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงต้องได้รับจากอาหารที่กินเข้าไปค่ะ โอเมก้า 6 (Omega 6)ที่พบมากที่สุด คือ กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) หรือ แอลเอ (LA) ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นกรดโอเมก้า 6 (Omega 6) ที่มีโครงสร้างยาวขึ้น เช่น กรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) หรือ เออาร์เอ (ARA)
กรดนี้มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยสร้างสารที่เรียกว่า “ไอโคซานอยด์” (Eicosanoids) ซึ่งแม้จะมีฤทธิ์กระตุ้นการอักเสบ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นในการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถปกป้องตัวเองจากการติดเชื้อและฟื้นฟูสุขภาพได้ดีขึ้น การได้รับโอเมก้า 6 (Omega 6) เหมาะสม จึงช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยเติบโตแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในทุกช่วงวัยค่ะ
นอกจากนี้ โอเมก้า 6 (Omega 6) ยังช่วยเป็นแหล่งพลังงานสำคัญให้กับร่างกายลูกน้อยด้วยนะคะ และยังมีบทบาทที่น่าสนใจในการช่วยดูแลสุขภาพบางอย่าง เช่น กรดแกมมาไลโนเลนิก (Gamma-Linolenic Acid) หรือ จีแอลเอ (GLA) ที่พบในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสและน้ำมันโบราจ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไป จะเปลี่ยนเป็นกรดไดโฮโมแกมมาไลโนเลนิก (Dihomo-Gamma-Linolenic Acid) หรือ ดีจีแอลเอ (DGLA) ซึ่งอาจช่วยลดอาการอักเสบในร่างกายได้ ดังนั้น โอเมก้า 6 (Omega 6) จึงไม่ใช่แค่ช่วยให้ลูกเติบโตและมีภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ยังอาจมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพในระยะยาวอีกด้วยค่ะ
แม้ว่าโอเมก้า 6 (Omega 6) จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์และช่วยระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย แต่คุณแม่ก็ต้องระวังเรื่องความสมดุลระหว่างโอเมก้า 6 (Omega 6) กับโอเมก้า 3 (Omega 3) ด้วยนะคะ ถ้าได้รับโอเมก้า 6 (Omega 6) มากเกินไปเมื่อเทียบกับโอเมก้า 3 (Omega 3) อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะอักเสบมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในระยะยาวได้ ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าอย่างเหมาะสม จึงควรทำภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากคุณหมอหรือนักโภชนาการ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างสมดุลและปลอดภัยค่ะ
ตัวอย่างอาหารที่มีโอเมก้า 6 (Omega 6) สูง
โอเมก้า 6 (Omega 6) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่เราพบได้ในอาหารประจำวันที่คุณแม่และลูกทานกันอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะในอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันพืชต่าง ๆ รวมถึงถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด
มาดูกันค่ะว่าในอาหาร 100 กรัม มีปริมาณโอเมก้า 6 (Omega 6) อยู่เท่าไหร่บ้าง
- น้ำมันถั่วเหลือง 50 กรัม
- น้ำมันข้าวโพด 49 กรัม
- มายองเนส: 39 กรัม
- วอลนัท: 37 กรัม
- เมล็ดทานตะวัน : 34 กรัม
- อัลมอนด์: 12 กรัม
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 8 กรัม
การเสริมกรดไขมันโอเมก้า 6 (Omega 6) ควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากคุณหมอหรือนักโภชนาการ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างสมดุลและปลอดภัยค่ะ
โอเมก้า 9 (Omega 9) ไขมันดีที่ร่างกายต้องการ
โอเมก้า 9 (Omega 9) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว กรดไขมันโอเมก้า 9 (Omega 9) ที่พบมากที่สุดคือ กรดโอเลอิก (Oleic acid) หรือ โอเอ (OA) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีอยู่มากในอาหารหลายชนิด แม้โอเมก้า 9 (Omega 9) จะไม่จัดเป็นไขมันจำเป็น เพราะร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 9 (Omega 9) แทนไขมันชนิดอื่น โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว อาจส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว จากการศึกษาวิจัยในปี 2015 พบว่า ผู้ที่รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณสูง มีการอักเสบน้อยกว่า และ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า คนที่กินไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง
ปริมาณโอเมก้า 9 (Omega 9) ในอาหาร 100 กรัม ได้แก่
- น้ำมันมะกอก : 83 กรัม
- น้ำมันถั่วลิสง 73 กรัม
- น้ำมันอัลมอนด์: 70 กรัม
- น้ำมันอาโวคาโด 60 กรัม
- น้ำมันถั่วลิสง 47 กรัม
- อัลมอนด์: 30 กรัม
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์ : 24 กรัม
- วอลนัท: 9 กรัม
การเสริมกรดไขมันโอเมก้า 9 (Omega 9) ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีความปลอดภัยในทุกช่วงวัยค่ะ
ปริมาณโอเมก้า (Omega) ที่เหมาะกับเด็กแต่ละวัย
โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) เป็นกรดไขมันดีที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูก ไม่ว่าจะเป็นด้านสมอง สายตา ระบบประสาท หรือภูมิคุ้มกัน การได้รับโอเมก้าในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความใส่ใจ
โอเมก้า 3 (Omega 3)
ปัจจุบัน มีแนวทางเบื้องต้นจาก คณะกรรมการอาหารและโภชนาการของสหรัฐอเมริกาว่า เด็กควรได้รับ กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) โดยเฉพาะ ดีเอชเอ (DHA) + อีพีเอ (EPA) ในปริมาณที่เหมาะสมตามวัย
แนวทางนี้ระบุว่า ไม่ควรเกิน 10% ของปริมาณโอเมก้า 3 (Omega 3) ชนิด เอแอลเอ (ALA) ที่ควรได้รับในแต่ละวัน ซึ่งสามารถเป็นในรูปแบบของดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) รวมกัน โดยมีรายละเอียดปริมาณโอเมก้า 3 (Omega 3) ชนิด เอแอลเอ (ALA) ที่เด็กในแต่ละวัยสมควรได้รับต่อวัน ดังนี้
ปริมาณโอเมก้า 3 (Omega 3) ชนิด เอแอลเอ (ALA) ที่เด็กควรได้รับในแต่ละช่วงวัย
ช่วงวัย | ปริมาณเอแอลเอ (ALA) ที่ควรได้รับต่อวัน |
| ทารกแรกเกิด–1 ขวบ | 0.5 กรัม |
| เด็กวัย 1–3 ปี | 0.7 กรัม |
| เด็กวัย 4–8 ปี | 0.9 กรัม |
| เด็กชาย 9–13 ปี | 1.2 กรัม |
| เด็กหญิง 9–13 ปี | 1.0 กรัม |
| วัยรุ่นชาย 14–18 ปี | 1.6 กรัม |
| วัยรุ่นหญิง 14–18 ปี | 1.1 กรัม |
การให้ลูกรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า (Omega) ในชนิดต่างๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากคุณหมอหรือนักโภชนาการ เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วน และปลอดภัยค่ะ
หมายเหตุ:
กรดอัลฟา-ไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอแอลเอ (ALA) เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ชนิดหนึ่งที่พบมากในพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันคาโนลา และถั่ววอลนัท โดยร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
ปริมาณโอเมก้า 3 (Omega 3) ชนิด ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) ที่เด็กควรได้รับในแต่ละช่วงวัย
| ช่วงวัย | ปริมาณดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) ที่ควรได้รับในแต่ละวัน |
| เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี | ดีเอชเอ (DHA) ประมาณ 20 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน |
| เด็กอายุ 1 - 3 ปี | 70 มิลลิกรัม |
| เด็กอายุ 4 – 6 ปี | 90 มิลลิกรัม |
| เด็กอายุ 6 – 10 ปี | 120 มิลลิกรัม |
หมายเหตุ:
ตัวเลขนี้เป็นแนวทางโดยประมาณจากเอกสารของคณะกรรมการอาหารและโภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกอาหารที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยได้ค่ะ แต่หากคุณแม่มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณหรือแหล่งอาหารที่เหมาะสม แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการ เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ
โอเมก้า 6 (Omega 6)
เด็กส่วนใหญ่ที่อายุมากกว่า 1 ปีมักได้รับกรดไขมันโอเมก้า 6 (Omega 6) เพียงพอจากอาหารทั่วไป เช่น น้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด โดยปริมาณโอเมก้า 6 (Omega 6) ที่ได้รับคิดเป็นประมาณ 5–10% ของพลังงานที่บริโภคในแต่ละวัน
ในขณะเดียวกัน ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอที่จะยืนยันว่า ว่าสามารถใช้โอเมก้า 6 (Omega 6) ในรูปแบบอาหารเสริมหรือยารักษาโรคได้อย่างปลอดภัย หากมีความจำเป็นหรือมีความต้องการเสริมโอเมก้า 6 (Omega 6) ควรปรึกษาหรืออยู่ภายใต้การดูแลของนักโภชนาการหรือแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพของเด็กแต่ละคน
โอเมก้า 9 (Omega 9)
โอเมก้า 9 (Omega 9) เช่น กรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นกรดไขมันไม่จำเป็น เนื่องจากร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง จึง ไม่มีการกำหนดปริมาณแนะนำเฉพาะ อย่างไรก็ตาม โอเมก้า 9 (Omega 9) สามารถพบได้ในอาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อาโวคาโด น้ำมันคาโนล่า ถั่วลิสง และถั่วเปลือกแข็งชนิดต่าง ๆ ซึ่งควรรับประทานให้หลากหลาย เพื่อเสริมสุขภาพโดยรวม
โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) ในนม สารอาหารสำคัญสำหรับทารกและเด็กวัย 1 ขวบ
น้ำนมแม่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยวางรากฐานการเจริญเติบโตของลูกน้อย โดยมีกรดไขมันหลัก 2 ชนิดที่สำคัญได้แก่ โดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ ดีเอชเอ (DHA) จากกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega 3) และกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) หรือ เออาร์เอ (ARA) จากกลุ่มโอเมก้า 6 (Omega 6)
กรดไขมันทั้งสองชนิดอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามธรรมชาติ และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมอง การมองเห็น ระบบประสาท และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
บทบาทของ ดีเอชเอ (DHA) และ เออาร์เอ (ARA) ในนมแม่
- ดีเอชเอ (DHA) : ช่วยสร้างโครงสร้างสมองและจอประสาทตา สนับสนุนการทำงานของระบบประสาทตั้งแต่ช่วงแรกเกิด
- เออาร์เอ (ARA) : มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
สัดส่วนในนมแม่: งานวิจัยพบว่า น้ำนมแม่มีสัดส่วน ดีเอชเอ (DHA) เฉลี่ยประมาณ 0.32% และ เออาร์เอ (ARA) ประมาณ 0.47% ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทารกตามธรรมชาติ
จากข้อมูลทางโภชนาการ ดีเอชเอ (DHA) และเออาร์เอ (ARA) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมอง การมองเห็น และการเจริญเติบโตของลูกน้อย ด้วยเหตุนี้ นมผงสำหรับเด็กและนมกล่องยูเอชทีสำหรับเด็ก จึงมีการเติม ดีเอชเอ (DHA) และ เออาร์เอ (ARA) เข้าไป เพื่อช่วยสนับสนุนพัฒนาการได้อย่างเหมาะสม

แหล่งรวมโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) สำหรับแม่และลูก
การได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9 ) อย่างสมดุลช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูก และช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โอเมก้าเหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารหลากหลายชนิดที่เข้าถึงได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
อาหารที่มีโอเมก้า 3 (Omega 3) สูง
โอเมก้า 3 (Omega 3) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อย โดยเฉพาะในด้านสมอง สายตา และระบบประสาท ซึ่งดีเอชเอ (DHA) และอีพีเอ (EPA)
คุณแม่สามารถเติมเต็มโอเมก้า 3 (Omega 3) ให้กับตัวเองและลูกได้จากอาหารที่พบได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น
- ปลาทะเลน้ำลึก: ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน
- เมล็ดพืช: เมล็ดแฟลกซ์ , เมล็ดเจีย
- ถั่ววอลนัท
- น้ำมันคาโนล่า
- ไข่ (โดยเฉพาะไข่ที่เสริมโอเมก้า 3)
อาหารที่มีโอเมก้า 6 (Omega 6) สูง
โอเมก้า 6 (Omega 6) เป็นกรดไขมันจำเป็นอีกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 6 (Omega 6) ได้แก่
- น้ำมันพืช: น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด
- ถั่ววอลนัท
- เมล็ดพืชต่าง ๆ เมล็ดดอกทานตะวัน
อาหารที่มีโอเมก้า 9 (Omega 9) สูง
โอเมก้า 9 (Omega 9) เป็นกรดไขมันที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย แม้ว่าร่างกายของเราจะสามารถสร้างโอเมก้า 9 (Omega 9) ได้เอง แต่การได้รับจากอาหารก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างอาหารที่เป็นแหล่งของโอเมก้า 9 (Omega 9) ได้แก่
- น้ำมันพืช: น้ำมันเมล็ดพืช น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง
- อาโวคาโด
- น้ำมันคาโนล่า
- อัลมอนด์ ถั่ววอลนัท
- เมล็ดทานตะวัน
แหล่งโอเมก้า (Omega) สำหรับคุณแม่ให้นมบุตร
หลังคลอด ระดับดีเอชเอ (DHA) ในร่างกายของคุณแม่มักลดลง เนื่องจากร่างกายจะส่งผ่านดีเอชเอ (DHA) ไปยังน้ำนมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารสำคัญนี้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
เพื่อช่วยเติมเต็มดีเอชเอ (DHA) ให้กับร่างกาย คุณแม่สามารถเลือกทานอาหารที่เป็นแหล่งของ โอเมก้า 3 (Omega 3) ได้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอาหารที่มีดีเอชเอ (DHA) สูง เช่น
- ปลาแซลมอน
- ปลากะพง
- ปลาทูน่า
- ปลาทู
- ปลาซาร์ดีน
ข้อควรระวังในการได้รับโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9)
แม้กรดไขมันโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) จะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูกและสุขภาพของคุณแม่ แต่การรับในปริมาณที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลเสียได้ การดูแลโภชนาการในแต่ละมื้ออย่างสมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของลูกน้อยให้เต็มศักยภาพ แต่ยังช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพดีในทุกช่วงวัยของการดูแลลูก ควรปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งคุณแม่และลูกได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและปลอดภัยค่ะ
สัญญาณเตือน เมื่อลูกน้อยขาดโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9)
โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) คือไขมันดีที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสมอง ผิวหนัง หรือระบบภูมิคุ้มกัน หากลูกได้รับไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และแสดงออกผ่านสัญญาณบางอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม
อาการที่ควรสังเกต
- เด็กสมาธิสั้น ง่วงง่าย หรือมีปัญหาด้านความจำ
- ผิวแห้ง ระคายเคือง
- ผมร่วง ผมบาง หรือผมแห้งเสีย
- ตาแห้ง
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย
- พฤติกรรมก้าวร้าว หรืออารมณ์แปรปรวนบ่อย
- พัฒนาการสมองและระบบประสาทล่าช้า
- มีปัญหาการมองเห็นและการเรียนรู้
- เสี่ยงโรคเรื้อรังในอนาคต เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด

โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) กับการดูแลโภชนาการลูกรัก
น้ำนมแม่เป็นแหล่งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ตามธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับทารก ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้คุณแม่ให้นมแม่เพียงอย่างเดียวถึง 6 เดือน และให้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี เพราะนมแม่มีกรดไขมันสำคัญ เช่น ดีเอชเอ (DHA) และเออาร์เอ (ARA) ที่ช่วยพัฒนาสมอง สายตา และเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนโอเมก้า 9 แม้ร่างกายสามารถสร้างเองได้ แต่ก็พบในอาหารตามธรรมชาติหลายชนิด มีบทบาทช่วยปรับสมดุลไขมันดีในร่างกาย
สำหรับเด็กที่อายุครบ 1 ขวบขึ้นไป นอกจากการให้นมแม่ต่อเนื่องแล้ว คุณแม่สามารถเสริมโภชนาการที่เหมาะสมให้ลูกได้ เช่น การให้ลูกดื่มนมกล่องสูตร 3 หรือ นม UHT สำหรับเด็กที่มีโอเมก้า 3 6 9 ร่วมกับสารอาหารสำคัญอื่น ๆ เช่น DHA (ดีเอชเอ) วิตามินบี 12 (Vitamin B12) ลูทีน (Lutein) และแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งช่วยสนับสนุนพัฒนาการด้านสมองและร่างกาย พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ลูกเติบโตแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การจัดโภชนาการให้หลากหลายและสมดุล รวมถึงการรับประทานอาหารที่มี โอเมก้า 3 6 9 จากแหล่งธรรมชาติ เช่น ปลา ไข่ ถั่ว และน้ำมันพืช จะช่วยให้ลูกได้รับประโยชน์สูงสุดต่อพัฒนาการและสุขภาพอย่างปลอดภัย
ข้อควรระวังสำหรับการเสริมโอเมก้า 3 (Omega 3)
เพื่อให้ลูกได้รับโอเมก้า 3 (Omega 3) เพียงพอ ควรเสริมจากอาหารที่มีโอเมก้า 3 (Omega 3) หรือ นมเด็กที่มีโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) รวมถึงอาหารเสริมตามวัยที่เหมาะสม พร้อมกับลดการกินน้ำมันพืชที่มีโอเมก้า 6 (Omega 6) สูงไปด้วย เพื่อช่วยรักษาสมดุลของโอเมก้า 3 (Omega 3) และ โอเมก้า 6 (Omega 6) ในร่างกายให้เหมาะสม
แม้โอเมก้า 3 (Omega 3) จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าได้รับมากเกินไปอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกง่าย
สำหรับผู้ที่กำลังจะผ่าตัด ควรหยุดอาหารเสริมโอเมก้าล่วงหน้า 1-2 สัปดาห์ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การความปลอดภัยอาหารแห่งยุโรป (EFSA) แนะนำว่าไม่ควรทานโอเมก้า 3 (Omega 3) ที่มีดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) รวมกันเกิน 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ข้อควรระวังสำหรับการเสริมโอเมก้า 6 (Omega 6)
การเสริมโอเมก้า 3 (Omega 3) และโอเมก้า 6 (Omega 6) ควรให้มีความสมดุลกัน เพราะทั้งสองชนิดใช้เอนไซม์ตัวเดียวกันในการเปลี่ยนเป็นสารที่ร่างกายต้องการ หากได้รับโอเมก้า 6 (Omega 6) มากเกินไป เช่น จากน้ำมันพืชในอาหารแปรรูป จะทำให้โอเมก้า 3 (Omega 3) ทำงานได้ลดลง
ดังนั้นควรเสริมโอเมก้า 3 (Omega 3)ให้เพียงพอ พร้อมกับลดการบริโภคน้ำมันพืชที่มีโอเมก้า 6 (Omega 6) สูง เพื่อรักษาสมดุลอย่างปลอดภัยสำหรับลูกน้อยค่ะ
ส่วนโอเมก้า 9 (Omega 9) นั้น ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ และยังได้รับจากอาหารทั่วไปได้ง่าย จึงไม่จำเป็นต้องเสริมเพิ่ม หากคุณพ่อคุณแม่นั้นมีความกังวลว่าลูกอาจได้รับโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) ไม่เพียงพอ ควรปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก เพราะการเสริมสารอาหารควรทำด้วยความระมัดระวังและเหมาะสมกับแต่ละบุคคลค่ะ
โอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) ล้วนมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ลูกเติบโตอย่างสมบูรณ์ ทั้งด้านสมอง สายตา ระบบประสาท และภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ของโอเมก้า 3 6 9 (Omega 3 6 9) คือการช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างกายหลายระบบอย่างสมดุล การได้รับโอเมก้า (Omega) เหล่านี้ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยรักษาความสมดุลในร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพและส่งเสริมพัฒนาการที่สำคัญ ทั้งด้านการมองเห็นที่ชัดเจน การสื่อสารของเซลล์ประสาท การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อลดการเจ็บป่วย การเลือกกินอาหารที่หลากหลายและสมดุลในแต่ละวัน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพลูกให้แข็งแรงจากภายใน การเข้าใจและใส่ใจในโภชนาการของลูก คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีในระยะยาว พร้อมสร้างรากฐานสุขภาพที่ดีให้กับลูกในอนาคต
บทความที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง:
- Omega-3-6-9 Fatty Acids: A Complete Overview , healthline
- โอเมก้า 3 (OMEGA 3) สารอาหารสำคัญ อุดมคุณประโยชน์ , โรงพยาบาลเมดพาร์ค
- โอเมก้า 3 เพื่อหัวใจและสมอง อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ , rattinan
- Omega-3 and Omega-6 Fatty Acids for Pediatric ADHD , psychiatryredefined
- Should Kids Take Omega-3 Supplements? , healthline
- Infant formula must contain DHA omega-3 and AA omega-6, say international experts , eurekalert
- Omega-9 fatty acids: potential roles in inflammation and cancer management , pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Omega 3, 6 and 9 – Do children need them? , dietitianwithadifference
- Omega-3 Fatty Acids , ods.od.nih.gov
- Omega-6 Fatty Acids - Uses, Side Effects, and More , webmd
- Are Omega-3 Supplements Good for My Baby? , americanpregnancy
- อาหารสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- How Much Omega-3 Should You Take per Day? , healthline
- 5 Signs and Symptoms of Omega-3 Deficiency , healthline
- Impact of Arachidonic and Docosahexaenoic Acid Supplementation on Neural and Immune Development in the Young Pig , pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- The 3 Most Important Types of Omega-3 Fatty Acids , healthline
- DHA & EPA During Childhood , dhaomega3
- Dietary intake of eicosapentaenoic acid (EPA) and docosahexaenoic acid (DHA) in children – a workshop report , cambridge
อ้างอิง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2568