
น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมวิธีเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อย
จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำนมแม่ที่เก็บไว้เสียแล้ว?
นมแม่ที่เก็บไว้จะเสียหรือไม่ สังเกตได้จาก 3 สัญญาณง่าย ๆ คือ
- กลิ่น: หากนมแม่มีกลิ่นเปรี้ยวหรือเหม็นหืนที่แตกต่างจากกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ตามปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่านมเริ่มเสียแล้ว แต่อาจไม่ใช่สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำนมที่มีไลเปสสูง เพราะน้ำนมก็อาจยังมีกลิ่นเปรี้ยวและกลิ่นหืนอยู่ดี ดังนั้น อาจต้องสังเกตสัญญาณอื่นร่วมด้วย
- ลักษณะ: นมแม่ที่เก็บไว้จะมีการแยกชั้นเป็นปกติ (ชั้นไขมันลอยอยู่ด้านบน) แต่เมื่อลองแกว่งขวดเบา ๆ แล้วนมไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน นั่นเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่านมเสีย
- รสชาติ: ลองชิมดู หากนมมีรสเปรี้ยว นั่นคือสัญญาณสุดท้ายที่ยืนยันว่านมเสียแล้ว
ทำไมน้ำนมแม่ที่ละลายแล้วบางครั้งมีกลิ่นคล้ายสบู่หรือกลิ่นหืน?
น้ำนมแม่ที่ละลายแล้วบางครั้งอาจมีกลิ่นคล้ายสบู่หรือกลิ่นหืนได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดจาก เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ในน้ำนม
เอนไซม์ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันในน้ำนมให้เล็กลงเพื่อช่วยให้ลูกน้อยย่อยและดูดซึมได้ง่ายขึ้น แต่ในคุณแม่บางคนที่มีปริมาณเอนไซม์นี้สูง น้ำนมที่เก็บไว้จึงมีกลิ่นหืนได้ง่าย แม้จะมีกลิ่นเปลี่ยนไป แต่นมแม่ที่มีกลิ่นหืนยังคงปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สามารถให้ลูกกินได้โดยไม่เป็นอันตราย
หากลูกปฏิเสธที่จะกินนมที่มีกลิ่นหืน ลองใช้วิธีต่อไปนี้
- ผสมนมสต็อกกับนมใหม่ที่เพิ่งปั๊ม โดยค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนของนมสต็อกทีละน้อย เพื่อให้ลูกได้ปรับตัวและคุ้นชินกับกลิ่น
- ไม่ควรนำนมไปอุ่น เพราะความร้อนจะยิ่งทำให้กลิ่นหืนรุนแรงขึ้น
จำเป็นต้องใช้ถุงเก็บน้ำนมโดยเฉพาะหรือไม่ ใช้ขวดพลาสติกหรือแก้วแทนได้ไหม?
สามารถใช้ภาชนะที่เป็นแก้วหรือขวดพลาสติกแข็งได้ แต่ต้องไม่ใช้ขวดพลาสติกที่มีสารบิสฟีนอล เอ (Bisphenol A หรือ BPA) ซึ่งเป็นสารเคมีประกอบในวัตถุ อย่างไรก็ตาม ถ้าให้เลือกภาชนะที่เหมาะสมที่สุด แนะนำว่าควรใช้ถุงเก็บน้ำนมแม่โดยเฉพาะ เนื่องจากถุงเก็บน้ำนมถูกออกแบบมาให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่า ปลอดเชื้อ และมีแถบสำหรับบันทึกข้อมูลที่สะดวกต่อการใช้งาน
สรุป
- น้ำนมเหลือง (Colostrum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หัวน้ำนม" ร่างกายคุณแม่จะสร้างขึ้นเพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น และเต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย รวมถึง อิมมูโนโกลบูลินเอ (Immunoglobulin A) สารภูมิคุ้มกัน ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ดักจับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายลูกน้อย และยังมีจุลินทรีย์สุขภาพที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน เปรียบเสมือน "วัคซีนหยดแรก" ที่ลูกได้รับจากคุณแม่โดยตรง
- น้ำนมแม่ที่เก็บในช่องธรรมดาของตู้เย็นสามารถอยู่ได้นาน 2-5 วัน เพื่อรักษาคุณภาพน้ำนมให้ดีที่สุด ควรวางไว้ในบริเวณที่ลึกและเย็นที่สุดของตู้เย็น เพราะเป็นจุดที่อุณหภูมิคงที่กว่าส่วนอื่น ๆ
- หากน้ำนมสต็อกมีกลิ่นเหม็นหืนหลังจากละลาย อาจสามารถให้ลูกดื่มได้โดยไม่เป็นอันตรายหรือทำให้ท้องเสีย หาก กลิ่นที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่โดยธรรมชาติ เอนไซม์นี้มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมันในน้ำนมเพื่อให้ลูกดูดซึมได้ง่ายขึ้น ซึ่งปริมาณเอนไซม์ไลเปสจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน หากคุณแม่มีปริมาณเอนไซม์นี้มาก ก็จะเกิดกลิ่นหืนได้ง่าย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง? เคล็ดลับการเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง
- วิธีการเก็บนมแม่ที่ถูกต้องให้คงคุณค่าได้ยาวนานที่สุด
- วิธีเก็บนมแม่ในตู้เย็น ทำได้ไหม ทำได้อย่างไร?
- วิธีละลายนมแม่ และการนำมาให้ลูกดื่ม
- ปัญหาการเก็บนมแม่
นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง? เคล็ดลับการเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง
คุณแม่หลายท่านอาจกำลังสงสัยว่า นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง และน้ำนมแม่ที่เราปั๊มมาอย่างตั้งใจนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหน? ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะการรู้วิธีเก็บรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้น้ำนมแม่ยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วนสำหรับลูกน้อยของเราได้นานที่สุด โดยระยะเวลาการเก็บรักษาจะแตกต่างกันไปตามอุณหภูมิที่คุณแม่เลือกเก็บ ดังนี้ค่ะ
สถานที่เก็บ | อุณหภูมิโดยประมาณ | ระยะเวลาที่แนะนำ |
นอกห้องแอร์ | สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส | ไม่เกิน 1 ชั่วโมง |
ในห้องแอร์ | น้อยกว่า 25 องศาเซลเซียส | เก็บได้ 4 ชั่วโมง |
กระติกมีน้ำแข็ง | ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส | เก็บได้สูงสุด 24 ชั่วโมง |
ตู้เย็นช่องธรรมดา | ต่ำกว่า 2-4 องศาเซลเซียส | เก็บได้ 2-5 วัน |
ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นประตูเดียว) | -10 ถึง -15 องศาเซลเซียส | เก็บได้ 2 สัปดาห์ |
ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นประตูแยก) | -18 ถึง -20 องศาเซลเซียส | เก็บได้ 3 เดือน |
ตู้เแช่แข็งแบบเย็นจัด (Deep Freezer) | -20 องศาเซลเซียส | เก็บได้ 6-12 เดือน |

วิธีการเก็บนมแม่ที่ถูกต้องให้คงคุณค่าได้ยาวนานที่สุด
คุณแม่คะ หลังจากที่เราทราบกันไปแล้วว่า นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง ทีนี้เรามาดูกันต่อถึงวิธีเก็บนมแม่ให้มีคุณภาพดีและอยู่กับลูกน้อยของเราไปได้นานที่สุดกันนะคะ เพราะคุณแม่หลายคนให้ความสำคัญและใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเลยใช่ไหมคะ? นมแม่คือสุดยอดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย การดูแลรักษาให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ มาดูหลักการง่าย ๆ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจว่านมแม่ทุกหยดจะปลอดภัยและคงคุณค่าไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดกันค่ะ
- สะอาดทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย: ก่อนเริ่มปั๊มนมและจัดเก็บน้ำนมทุกครั้ง สิ่งแรกที่คุณแม่ควรทำคือล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่าทุกครั้งค่ะ รวมถึงทำความสะอาดบริเวณหน้าอกและลานนมก่อนปั๊ม เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และน้ำนมจะปราศจากเชื้อโรคใด ๆ ที่อาจปนเปื้อน
- อุปกรณ์ปั๊มนมและถุงเก็บต้องพร้อมเสมอ: อุปกรณ์ปั๊มนมทุกชิ้นควรผ่านการทำความสะอาดและนึ่งฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอค่ะ ส่วนถุงเก็บน้ำนมแม่ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นถุงใหม่และสะอาดทุกครั้งที่ใช้ เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อลูกน้อยของเรา
- ผ่อนคลายกายและใจ เพื่อน้ำนมไหลดี: คุณแม่ลองหามุมสงบ ๆ นั่งในท่าที่รู้สึกผ่อนคลายและสบายที่สุดดูนะคะ การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายหลั่งน้ำนมออกมาได้ดีขึ้นค่ะ ทั้งกายและใจที่สบายจะช่วยให้น้ำนมมาเต็มที่เลย
- วางแผนสต็อกนมแม่สำหรับคุณแม่ Working Mom: สำหรับคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานหรือมีธุระข้างนอก การวางแผนสต็อกนมแม่ล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ คุณแม่ควรคำนวณปริมาณนมให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยในแต่ละช่วงเวลาที่คุณไม่ได้อยู่ด้วย และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็อย่าลืมปั๊มนมกลับคืนสต็อกนะคะ การเตรียมความพร้อมแบบนี้จะช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมให้ลูกน้อยได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
- จัดการสต็อกให้เป็นระเบียบตามหลัก "เข้าก่อน ออกก่อน": การจัดเก็บนมแม่ในสต็อกควรมีการจดบันทึกวันและเวลาที่ปั๊มไว้อย่างชัดเจน และจัดเรียงถุงนมตามวันที่ปั๊มค่ะ โดยยึดหลักง่าย ๆ คือ "นมที่ปั๊มก่อน ให้นำออกมาให้ลูกทานก่อน" เสมอ วิธีนี้จะช่วยให้คุณแม่สะดวกในการหยิบใช้และมั่นใจว่านมจะไม่มีการหมดอายุก่อนกำหนดค่ะ
- แยกเก็บนมแม่ เพื่อคงคุณภาพและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์: เพื่อให้น้ำนมแม่ยังคงคุณภาพที่ดีและไม่มีกลิ่นเหม็นหืน คุณแม่ควรจัดเก็บน้ำนมแม่แยกจากอาหารหรือสิ่งของอื่น ๆ ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งนะคะ การมีพื้นที่เฉพาะสำหรับนมแม่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ และป้องกันการปนเปื้อนจากกลิ่นอาหารต่าง ๆ ได้ดีกว่าค่ะ
- รีดอากาศและแช่แข็งทันที เพื่อคงความสดใหม่: ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนปิดถุง และรีบนำนมเข้าช่องแช่แข็งทันทีค่ะ โดยจัดวางถุงนมในแนวนอนบนถาดที่สะอาดและไม่ปิดฝา เพื่อให้ความเย็นเข้าถึงนมได้เร็วที่สุดและแข็งตัวได้เร็วที่สุด และช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นเหม็นหืนของน้ำนมแม่ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยไม่ยอมกินนมได้ค่ะ
วิธีเก็บนมแม่ในตู้เย็น ทำได้ไหม ทำได้อย่างไร?
คุณแม่หลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคุณแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าน้ำนมแม่ที่ปั๊มมาจะสามารถเก็บในตู้เย็นได้ไหม? คำตอบคือ ได้แน่นอนค่ะ! การเก็บน้ำนมในตู้เย็นเป็นวิธีที่ดีในการรักษาคุณภาพน้ำนมให้คงคุณค่าไว้สำหรับลูกน้อยของเรา ขึ้นอยู่กับการวางแผนการสต็อกนมและไลฟ์สไตล์ของคุณแม่แต่ละคนเลยค่ะ แต่เพื่อการเก็บรักษาน้ำนมที่ดีที่สุด คุณแม่ควรนำน้ำนมไปแช่ในช่องแช่แข็งหรือตู้แช่แข็งทันทีหลังจากปั๊มนม เพื่อรักษาสารอาหารให้สมบูรณ์ที่สุดนะคะ
วิธีเก็บนมแม่ในตู้เย็นทำอย่างไร
การจัดเก็บน้ำนมแม่ในตู้เย็นอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อการเสียหรือหมดอายุนั้น คุณแม่สามารถทำตามคำแนะนำง่าย ๆ เหล่านี้ได้เลยค่ะ
- ตู้เย็นช่องแช่ธรรมดา (อุณหภูมิต่ำกว่า 2-4 องศาเซลเซียส): นมแม่ที่เก็บในช่องธรรมดาจะอยู่ได้นาน 2-5 วัน ค่ะ เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด คุณแม่ควรจัดเก็บน้ำนมไว้ในบริเวณด้านหลังที่ลึกและเย็นที่สุดของตู้เย็น เพราะอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าค่ะ
- ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นแบบประตูเดียว อุณหภูมิประมาณ -10 ถึง -15 องศาเซลเซียส): สำหรับช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบประตูเดียว นมแม่จะเก็บได้นาน 2 สัปดาห์ ค่ะ คุณแม่ควรเก็บน้ำนมในบริเวณด้านหลังของช่องแช่แข็งเช่นกันนะคะ และระวังเรื่องพื้นที่ในการจัดเก็บด้วยค่ะ เพราะถุงเก็บน้ำนมแม่จะขยายตัวเมื่อเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นไม่ควรเก็บจนแน่นเกินไปค่ะ
- ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นแบบประตูแยก อุณหภูมิประมาณ -18 ถึง -20 องศาเซลเซียส): หากคุณแม่มีตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก นมแม่จะสามารถเก็บได้นานถึง 3 เดือน เลยทีเดียวค่ะ การเก็บในช่องนี้เหมาะสำหรับสต็อกนมแม่ในระยะยาวค่ะ
- ตู้แช่แข็งแบบเย็นจัด (Deep Freezer) อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส: สามารถเก็บนมแม่ได้นานถึง 6 เดือนค่ะ
วิธีละลายนมแม่ และการนำมาให้ลูกดื่ม
ถึงเวลาที่ต้องนำนมออกมาให้ลูกแล้วใช่ไหมคะ? คุณแม่ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ การละลายนมแม่ที่ถูกต้องทำได้ไม่ยาก และสารอาหารก็ยังอยู่ครบถ้วนแน่นอน
ขั้นตอนการละลายนมแม่แช่แข็งที่ถูกต้อง
- ย้ายนมแม่จากช่องแช่แข็งสู่ช่องธรรมดา: เมื่อต้องการใช้นมแม่ที่แช่แข็งไว้ ให้คุณแม่นำถุงนมลงมาวางแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาล่วงหน้าประมาณ 12 ชั่วโมง (หรือ 1 คืน) ค่ะ การทำแบบนี้จะช่วยให้นมละลายอย่างช้า ๆ ซึ่งดีต่อการรักษาสารอาหารในนมแม่
- ตั้งไว้ด้านนอกในอุณหภูมิห้อง (หากจำเป็น): หลังจากที่นมละลายในตู้เย็นแล้ว หากลูกน้อยยังไม่พร้อมดื่มในทันที สามารถนำนมออกมาวางในอุณหภูมิห้องได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงค่ะ
- ไม่ควรนำนมที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งอีก: ข้อนี้สำคัญมากนะคะ คุณแม่ไม่ควรนำนมแม่ที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งซ้ำอีก เพราะอาจทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลงและเสี่ยงต่อการปนเปื้อนได้ค่ะ
- ระยะเวลาการใช้นมที่ละลายแล้ว: นมแม่ที่ละลายในตู้เย็นแล้วและพร้อมใช้ ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงนะคะ
การนำนมแม่ที่ละลายแล้วมาให้ลูกดื่ม
- อุ่นนมอย่างถูกวิธี: โดยธรรมชาติแล้วทารกสามารถดื่มนมที่เย็น หรือนมที่อยู่ในอุณหภูมิห้องได้เลยค่ะ แต่หากคุณแม่ต้องการอุ่นนมให้ลูก ควรใช้วิธีแช่ถุงนมในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาสารอาหารและสารประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากนมแม่ไม่ให้ถูกทำลาย
- หลีกเลี่ยงการอุ่นนมที่ไม่เหมาะสม: ห้ามนำนมแม่เข้าไมโครเวฟเด็ดขาด รวมถึงการอุ่นบนเตา หรือใช้น้ำร้อนจัด เพราะความร้อนที่สูงเกินไปจะทำลายคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญในนมแม่ได้ค่ะ
- นมที่เหลือจากการป้อนลูก: นมแม่ที่ลูกดื่มไม่หมด ไม่ว่าจะจากขวดนมหรือถ้วย คุณแม่ไม่ควรเทกลับไปรวมกับนมส่วนที่เหลือนะคะ และหากไม่ได้นำมาใช้ต่อภายใน 2 ชั่วโมง ก็ควรทิ้งไปค่ะ เนื่องจากน้ำลายของลูกน้อยที่ปนเปื้อนเข้าไปแล้ว อาจทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้
การใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การปั๊ม การเก็บ ไปจนถึงการละลายและอุ่นนมแม่ จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากนมแม่ทุกหยดที่คุณแม่มอบให้นะคะ
ปัญหาการเก็บนมแม่
คุณแม่หลายคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อย ทั้งการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์และพัฒนาการรอบด้านใช่ไหมคะ? โดยเฉพาะคุณแม่ Working Mom ที่ต้องจัดการเวลา การทำสต็อกน้ำนมจึงเป็นทางออกสำคัญเพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนจากนมแม่ได้ยาวนานที่สุด คุณแม่อาจสงสัยว่าจะเริ่มสต็อกนมเมื่อไหร่ และเก็บรักษาอย่างไรให้มั่นใจว่าปลอดภัยและคงคุณค่าครบถ้วน? เพราะการเก็บรักษานมแม่ที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญ จึงรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเก็บนมแม่และข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาฝากคุณแม่ค่ะ
การเก็บนมแม่สำคัญอย่างไร
การเก็บนมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมอย่างเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเขาค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นการปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่หลังคลอดที่แตกต่างกันด้วย
- สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านกับลูกตลอดเวลา: การเก็บน้ำนมอาจไม่จำเป็นมากนัก เพราะลูกสามารถดูดนมจากเต้าได้โดยตรงเมื่อต้องการ
- สำหรับคุณแม่ Working Mom หรือต้องออกไปทำธุระ: การสต็อกน้ำนมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับนมแม่อย่างสม่ำเสมอ แม้คุณแม่จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ตาม
เพราะนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย การเก็บรักษาอย่างถูกวิธีจึงช่วยให้ลูกได้รับคุณค่าและประโยชน์จากนมแม่ได้อย่างต่อเนื่องค่ะ
ลูกกินนมแม่ไม่หมด เก็บไว้ได้ไหม?
คุณแม่คะ หากลูกน้อยดื่มนมแม่ไม่หมดในแต่ละครั้ง อาจมีคำถามว่านมที่เหลือสามารถเก็บไว้ได้ไหม? คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ควรให้ลูกดื่มนมแม่ให้หมดในครั้งเดียวค่ะ
ในกรณีที่มีน้ำนมเหลือจากการป้อนลูก และคุณแม่ต้องการเก็บไว้ให้ลูกดื่มอีกครั้ง แนะนำให้ใช้ภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังจากที่ลูกกินเหลือในครั้งแรก หากเกิน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ควรทิ้งน้ำนมส่วนนั้นไปเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยนะคะ
นมแม่ที่เหลือจากการป้อนทารก ไม่ว่าจะป้อนด้วยขวดหรือถ้วย ไม่ควรเทกลับไปรวมกับนมที่ยังไม่ได้ป้อน และหากไม่ได้ใช้ภายใน 2 ชั่วโมง ให้ทิ้งไปได้เลยค่ะ เนื่องจากน้ำลายจากปากของทารกที่ปนเปื้อนลงไปอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ค่ะ
สารอาหารสำคัญในน้ำนมเหลืองมีอะไรบ้าง?
คุณแม่ทราบไหมคะว่า น้ำนมเหลือง (Colostrum) หรือที่เรียกกันว่า "หัวน้ำนม" คือน้ำนมแม่ในช่วงแรกเริ่มที่ร่างกายคุณแม่จะสร้างขึ้นเพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น ถือเป็นอาหารมื้อแรกที่ล้ำค่าและมีประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกน้อยค่ะ
น้ำนมเหลืองอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย รวมถึงมี อิมมูโนโกลบูลินเอ (Immunoglobulin A) ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ดักจับสารแปลกปลอมต่าง ๆ ในร่างกาย และยังมี จุลินทรีย์สุขภาพ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกน้อย จึงเปรียบได้กับ "วัคซีนหยดแรก" ที่ธรรมชาติมอบให้ลูกเลยทีเดียวค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว น้ำนมแม่ที่ร่างกายผลิตออกมาตามธรรมชาติจะแบ่งเป็น 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระยะไหน ก็ล้วนดีต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยทั้งสิ้นค่ะ ได้แก่
- ระยะน้ำนมเหลือง (Colostrum): เป็นน้ำนมที่เกิดขึ้นในช่วง 24-36 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มีสีเหลืองเข้มและอุดมด้วยสารอาหารเข้มข้น
- ระยะนมปรับเปลี่ยน (Transitional Milk): จะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังคลอด ซึ่งสีของน้ำนมจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขึ้น
- ระยะน้ำนมแม่ (Mature Milk): คือน้ำนมแม่ระยะสุดท้ายที่ผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นน้ำนมหลักที่ลูกน้อยจะได้รับสารอาหารครบถ้วนในระยะยาว
นมที่สต็อกเหม็นหืนหลังละลาย สามารถให้ลูกได้ไหม?
คุณแม่หลายคนอาจกังวลเมื่อพบนมสต็อกมีกลิ่นเหม็นหืนหลังละลาย สงสัยว่าจะยังให้ลูกดื่มได้ไหม? คำตอบคือ คุณแม่สามารถให้น้ำนมนี้กับทารกได้ในกรณีที่เกิดจากเอนไซม์ไลเปสค่ะ การมีกลิ่นหืนจากเหตุผลนี้จะไม่ทำให้ลูกท้องเสีย
เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ในน้ำนมแม่ ทำหน้าที่ย่อยไขมันให้เป็นอนุภาคเล็กลงและผสมเข้ากับโปรตีนได้ดี ปริมาณเอนไซม์ไลเปสในน้ำนมของคุณแม่แต่ละคนจะแตกต่างกัน หากมีปริมาณมากก็จะมีการย่อยไขมันมาก ทำให้เกิดกลิ่นหืนขึ้นมานั่นเองค่ะ สำหรับทารกบางคนที่อาจปฏิเสธนมที่มีกลิ่นเหม็นหืน คุณแม่สามารถลองนำมาผสมกับนมที่ปั๊มใหม่เพื่อลดความเหม็นหืนลงได้ค่ะ ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนของนมสต็อกต่อนมใหม่ทีละน้อย เพื่อให้ทารกค่อย ๆ คุ้นชินกับกลิ่นและรสชาตินะคะ ข้อสำคัญคือไม่ควรนำนมมาอุ่นก่อนให้ทารก เพราะความร้อนจะยิ่งทำให้กลิ่นเหม็นหืนรุนแรงขึ้นค่ะ
การเก็บรักษาน้ำนมแม่มีหลากหลายวิธี คุณแม่ควรเลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเองที่สุด เพื่อให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์นะคะ เพราะสารอาหารในนมแม่มีมากกว่า 200 ชนิด รวมถึง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของสมองเด็กเจนใหม่ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งสัญญาณประสาทค่ะ
ผลวิจัยทางการแพทย์ยังแสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับนมแม่มี IQ ที่สูงกว่า และมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีกว่าทารกที่ไม่ได้รับนมแม่ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเริ่มต้นมอบสารอาหารพัฒนาสมองที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่วันแรกคลอดเลยค่ะ สำหรับคุณแม่ที่กังวลเรื่องน้ำนมน้อย ไม่พอ หรือน้ำนมไม่ไหล ก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ คุณสามารถศึกษาวิธีเพิ่มน้ำนมแม่ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีเก็บนมแม่ น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง หรือมีอาการท่อน้ำนมอุดตัน ก็สามารถที่จะปรึกษากุมารแพทย์และคลินิกนมแม่ที่โรงพยาบาลได้เลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณแม่เสมอค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- โปรแกรม Baby Development เช็คพัฒนาการลูกน้อยแต่ละช่วงวัย
- จุกหลอก ดีกับลูกน้อยจริงไหม จุกนมหลอก ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง
- สายสะดือทารก สะดือใกล้หลุดเป็นแบบไหน พร้อมวิธีทำความสะอาด
- โรคซางในเด็กเล็กมีจริงไหม เกิดจากอะไร ดูแลและป้องกันได้หรือเปล่า
- ลูกหัวแบน ทารกหัวแบน คุณแม่ทำอย่างไรได้บ้าง พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น
อ้างอิง:
- คำแนะนำวิธีการเก็บนมแม่, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- วิธีเก็บสต็อกนมแม่ ต้องทำอย่างไร, โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์แนชั่นแนล อ้อมน้อย
- วิธีรักษาน้ำนมแม่ เก็บแบบไหนถึงอยู่ได้นาน, โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ
- How Long Can Breast Milk Sit Out?, Healthline
- การเก็บน้ำนมในถุงเก็บนม, มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
- น้ำนมแม่ ภูมิต้านทานที่ดี ช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยให้กับลูก, โรงพยาบาลบางปะกอก
- ผลวิจัยหลายสถาบัน ชี้ “นมแม่” เพิ่มค่าไอคิวสูงกว่า 3 จุด, มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
- How To Tell If Breast Milk Is Bad: Signs and Storage Tips, Breastfeeding Perspectives
- การบีบน้ำนมด้วยมือ (hand expression of breast milk), คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
อ้างอิง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568