น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมวิธีเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง

น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมวิธีเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง

คุณแม่ให้นมบุตร
บทความ
ต.ค. 2, 2025
10นาที

การปั๊มนมสต็อกเป็นทางออกที่ดีสำหรับคุณแม่ยุคใหม่ โดยเฉพาะ Working Mom เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารจากน้ำนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจว่า น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง และมีวิธีเก็บนมแม่อย่างไรให้ถูกต้องและคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วน

น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมวิธีเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง

คำถามที่พบบ่อย

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำนมแม่ที่เก็บไว้เสียแล้ว?

นมแม่ที่เก็บไว้จะเสียหรือไม่ สังเกตได้จาก 3 สัญญาณง่าย ๆ คือ

  • กลิ่น: หากนมแม่มีกลิ่นเปรี้ยวหรือเหม็นหืนที่แตกต่างจากกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ตามปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่านมเริ่มเสียแล้ว แต่อาจไม่ใช่สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำนมที่มีไลเปสสูง เพราะน้ำนมก็อาจยังมีกลิ่นเปรี้ยวและกลิ่นหืนอยู่ดี ดังนั้น อาจต้องสังเกตสัญญาณอื่นร่วมด้วย
  • ลักษณะ: นมแม่ที่เก็บไว้จะมีการแยกชั้นเป็นปกติ (ชั้นไขมันลอยอยู่ด้านบน) แต่เมื่อลองแกว่งขวดเบา ๆ แล้วนมไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน นั่นเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่านมเสีย
  • รสชาติ: ลองชิมดู หากนมมีรสเปรี้ยว นั่นคือสัญญาณสุดท้ายที่ยืนยันว่านมเสียแล้ว

ทำไมน้ำนมแม่ที่ละลายแล้วบางครั้งมีกลิ่นคล้ายสบู่หรือกลิ่นหืน?

น้ำนมแม่ที่ละลายแล้วบางครั้งอาจมีกลิ่นคล้ายสบู่หรือกลิ่นหืนได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดจาก เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ในน้ำนม
เอนไซม์ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันในน้ำนมให้เล็กลงเพื่อช่วยให้ลูกน้อยย่อยและดูดซึมได้ง่ายขึ้น แต่ในคุณแม่บางคนที่มีปริมาณเอนไซม์นี้สูง น้ำนมที่เก็บไว้จึงมีกลิ่นหืนได้ง่าย แม้จะมีกลิ่นเปลี่ยนไป แต่นมแม่ที่มีกลิ่นหืนยังคงปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สามารถให้ลูกกินได้โดยไม่เป็นอันตราย

หากลูกปฏิเสธที่จะกินนมที่มีกลิ่นหืน ลองใช้วิธีต่อไปนี้

  • ผสมนมสต็อกกับนมใหม่ที่เพิ่งปั๊ม โดยค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนของนมสต็อกทีละน้อย เพื่อให้ลูกได้ปรับตัวและคุ้นชินกับกลิ่น
  • ไม่ควรนำนมไปอุ่น เพราะความร้อนจะยิ่งทำให้กลิ่นหืนรุนแรงขึ้น

จำเป็นต้องใช้ถุงเก็บน้ำนมโดยเฉพาะหรือไม่ ใช้ขวดพลาสติกหรือแก้วแทนได้ไหม?

สามารถใช้ภาชนะที่เป็นแก้วหรือขวดพลาสติกแข็งได้ แต่ต้องไม่ใช้ขวดพลาสติกที่มีสารบิสฟีนอล เอ (Bisphenol A หรือ BPA) ซึ่งเป็นสารเคมีประกอบในวัตถุ อย่างไรก็ตาม ถ้าให้เลือกภาชนะที่เหมาะสมที่สุด แนะนำว่าควรใช้ถุงเก็บน้ำนมแม่โดยเฉพาะ เนื่องจากถุงเก็บน้ำนมถูกออกแบบมาให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่า ปลอดเชื้อ และมีแถบสำหรับบันทึกข้อมูลที่สะดวกต่อการใช้งาน

สรุป

  • น้ำนมเหลือง (Colostrum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หัวน้ำนม" ร่างกายคุณแม่จะสร้างขึ้นเพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น และเต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย รวมถึง อิมมูโนโกลบูลินเอ (Immunoglobulin A) สารภูมิคุ้มกัน ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ดักจับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายลูกน้อย และยังมีจุลินทรีย์สุขภาพที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน เปรียบเสมือน "วัคซีนหยดแรก" ที่ลูกได้รับจากคุณแม่โดยตรง
  • น้ำนมแม่ที่เก็บในช่องธรรมดาของตู้เย็นสามารถอยู่ได้นาน 2-5 วัน เพื่อรักษาคุณภาพน้ำนมให้ดีที่สุด ควรวางไว้ในบริเวณที่ลึกและเย็นที่สุดของตู้เย็น เพราะเป็นจุดที่อุณหภูมิคงที่กว่าส่วนอื่น ๆ
  • หากน้ำนมสต็อกมีกลิ่นเหม็นหืนหลังจากละลาย อาจสามารถให้ลูกดื่มได้โดยไม่เป็นอันตรายหรือทำให้ท้องเสีย หาก กลิ่นที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่โดยธรรมชาติ เอนไซม์นี้มีหน้าที่ช่วยย่อยไขมันในน้ำนมเพื่อให้ลูกดูดซึมได้ง่ายขึ้น ซึ่งปริมาณเอนไซม์ไลเปสจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน หากคุณแม่มีปริมาณเอนไซม์นี้มาก ก็จะเกิดกลิ่นหืนได้ง่าย

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง? เคล็ดลับการเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง

คุณแม่หลายท่านอาจกำลังสงสัยว่า นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง และน้ำนมแม่ที่เราปั๊มมาอย่างตั้งใจนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหน? ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะการรู้วิธีเก็บรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้น้ำนมแม่ยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วนสำหรับลูกน้อยของเราได้นานที่สุด โดยระยะเวลาการเก็บรักษาจะแตกต่างกันไปตามอุณหภูมิที่คุณแม่เลือกเก็บ ดังนี้ค่ะ

สถานที่เก็บ

อุณหภูมิโดยประมาณ

ระยะเวลาที่แนะนำ 

นอกห้องแอร์ 

สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส

ไม่เกิน 1 ชั่วโมง

ในห้องแอร์

น้อยกว่า 25 องศาเซลเซียส

เก็บได้ 4 ชั่วโมง

กระติกมีน้ำแข็ง

ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส

เก็บได้สูงสุด 24 ชั่วโมง

ตู้เย็นช่องธรรมดา

ต่ำกว่า 2-4 องศาเซลเซียส

เก็บได้ 2-5 วัน

ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นประตูเดียว)

-10 ถึง -15 องศาเซลเซียส

เก็บได้ 2 สัปดาห์

ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นประตูแยก)

-18 ถึง -20 องศาเซลเซียส

เก็บได้ 3 เดือน

ตู้เแช่แข็งแบบเย็นจัด (Deep Freezer)

-20 องศาเซลเซียส

เก็บได้ 6-12 เดือน

 

วิธีการเก็บนมแม่ที่ถูกต้องให้คงคุณค่าได้ยาวนานที่สุด

 

วิธีการเก็บนมแม่ที่ถูกต้องให้คงคุณค่าได้ยาวนานที่สุด

คุณแม่คะ หลังจากที่เราทราบกันไปแล้วว่า นมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง ทีนี้เรามาดูกันต่อถึงวิธีเก็บนมแม่ให้มีคุณภาพดีและอยู่กับลูกน้อยของเราไปได้นานที่สุดกันนะคะ เพราะคุณแม่หลายคนให้ความสำคัญและใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเลยใช่ไหมคะ? นมแม่คือสุดยอดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย การดูแลรักษาให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ มาดูหลักการง่าย ๆ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจว่านมแม่ทุกหยดจะปลอดภัยและคงคุณค่าไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดกันค่ะ

  1. สะอาดทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย: ก่อนเริ่มปั๊มนมและจัดเก็บน้ำนมทุกครั้ง สิ่งแรกที่คุณแม่ควรทำคือล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่าทุกครั้งค่ะ รวมถึงทำความสะอาดบริเวณหน้าอกและลานนมก่อนปั๊ม เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และน้ำนมจะปราศจากเชื้อโรคใด ๆ ที่อาจปนเปื้อน
  2. อุปกรณ์ปั๊มนมและถุงเก็บต้องพร้อมเสมอ: อุปกรณ์ปั๊มนมทุกชิ้นควรผ่านการทำความสะอาดและนึ่งฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอค่ะ ส่วนถุงเก็บน้ำนมแม่ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นถุงใหม่และสะอาดทุกครั้งที่ใช้ เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อลูกน้อยของเรา
  3. ผ่อนคลายกายและใจ เพื่อน้ำนมไหลดี: คุณแม่ลองหามุมสงบ ๆ นั่งในท่าที่รู้สึกผ่อนคลายและสบายที่สุดดูนะคะ การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายหลั่งน้ำนมออกมาได้ดีขึ้นค่ะ ทั้งกายและใจที่สบายจะช่วยให้น้ำนมมาเต็มที่เลย
  4. วางแผนสต็อกนมแม่สำหรับคุณแม่ Working Mom: สำหรับคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานหรือมีธุระข้างนอก การวางแผนสต็อกนมแม่ล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ คุณแม่ควรคำนวณปริมาณนมให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยในแต่ละช่วงเวลาที่คุณไม่ได้อยู่ด้วย และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็อย่าลืมปั๊มนมกลับคืนสต็อกนะคะ การเตรียมความพร้อมแบบนี้จะช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมให้ลูกน้อยได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
  5. จัดการสต็อกให้เป็นระเบียบตามหลัก "เข้าก่อน ออกก่อน": การจัดเก็บนมแม่ในสต็อกควรมีการจดบันทึกวันและเวลาที่ปั๊มไว้อย่างชัดเจน และจัดเรียงถุงนมตามวันที่ปั๊มค่ะ โดยยึดหลักง่าย ๆ คือ "นมที่ปั๊มก่อน ให้นำออกมาให้ลูกทานก่อน" เสมอ วิธีนี้จะช่วยให้คุณแม่สะดวกในการหยิบใช้และมั่นใจว่านมจะไม่มีการหมดอายุก่อนกำหนดค่ะ
  6. แยกเก็บนมแม่ เพื่อคงคุณภาพและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์: เพื่อให้น้ำนมแม่ยังคงคุณภาพที่ดีและไม่มีกลิ่นเหม็นหืน คุณแม่ควรจัดเก็บน้ำนมแม่แยกจากอาหารหรือสิ่งของอื่น ๆ ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งนะคะ การมีพื้นที่เฉพาะสำหรับนมแม่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ และป้องกันการปนเปื้อนจากกลิ่นอาหารต่าง ๆ ได้ดีกว่าค่ะ
  7. รีดอากาศและแช่แข็งทันที เพื่อคงความสดใหม่: ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนปิดถุง และรีบนำนมเข้าช่องแช่แข็งทันทีค่ะ โดยจัดวางถุงนมในแนวนอนบนถาดที่สะอาดและไม่ปิดฝา เพื่อให้ความเย็นเข้าถึงนมได้เร็วที่สุดและแข็งตัวได้เร็วที่สุด และช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นเหม็นหืนของน้ำนมแม่ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยไม่ยอมกินนมได้ค่ะ

 

วิธีเก็บนมแม่ในตู้เย็น ทำได้ไหม ทำได้อย่างไร?

คุณแม่หลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคุณแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าน้ำนมแม่ที่ปั๊มมาจะสามารถเก็บในตู้เย็นได้ไหม? คำตอบคือ ได้แน่นอนค่ะ! การเก็บน้ำนมในตู้เย็นเป็นวิธีที่ดีในการรักษาคุณภาพน้ำนมให้คงคุณค่าไว้สำหรับลูกน้อยของเรา ขึ้นอยู่กับการวางแผนการสต็อกนมและไลฟ์สไตล์ของคุณแม่แต่ละคนเลยค่ะ แต่เพื่อการเก็บรักษาน้ำนมที่ดีที่สุด คุณแม่ควรนำน้ำนมไปแช่ในช่องแช่แข็งหรือตู้แช่แข็งทันทีหลังจากปั๊มนม เพื่อรักษาสารอาหารให้สมบูรณ์ที่สุดนะคะ

วิธีเก็บนมแม่ในตู้เย็นทำอย่างไร

การจัดเก็บน้ำนมแม่ในตู้เย็นอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อการเสียหรือหมดอายุนั้น คุณแม่สามารถทำตามคำแนะนำง่าย ๆ เหล่านี้ได้เลยค่ะ

  • ตู้เย็นช่องแช่ธรรมดา (อุณหภูมิต่ำกว่า 2-4 องศาเซลเซียส): นมแม่ที่เก็บในช่องธรรมดาจะอยู่ได้นาน 2-5 วัน ค่ะ เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด คุณแม่ควรจัดเก็บน้ำนมไว้ในบริเวณด้านหลังที่ลึกและเย็นที่สุดของตู้เย็น เพราะอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าค่ะ
  • ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นแบบประตูเดียว อุณหภูมิประมาณ -10 ถึง -15 องศาเซลเซียส): สำหรับช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบประตูเดียว นมแม่จะเก็บได้นาน 2 สัปดาห์ ค่ะ คุณแม่ควรเก็บน้ำนมในบริเวณด้านหลังของช่องแช่แข็งเช่นกันนะคะ และระวังเรื่องพื้นที่ในการจัดเก็บด้วยค่ะ เพราะถุงเก็บน้ำนมแม่จะขยายตัวเมื่อเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นไม่ควรเก็บจนแน่นเกินไปค่ะ
  • ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นแบบประตูแยก อุณหภูมิประมาณ -18 ถึง -20 องศาเซลเซียส): หากคุณแม่มีตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก นมแม่จะสามารถเก็บได้นานถึง 3 เดือน เลยทีเดียวค่ะ การเก็บในช่องนี้เหมาะสำหรับสต็อกนมแม่ในระยะยาวค่ะ
  • ตู้แช่แข็งแบบเย็นจัด (Deep Freezer) อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส: สามารถเก็บนมแม่ได้นานถึง 6 เดือนค่ะ

 

วิธีละลายนมแม่ และการนำมาให้ลูกดื่ม

ถึงเวลาที่ต้องนำนมออกมาให้ลูกแล้วใช่ไหมคะ? คุณแม่ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ การละลายนมแม่ที่ถูกต้องทำได้ไม่ยาก และสารอาหารก็ยังอยู่ครบถ้วนแน่นอน

  • ขั้นตอนการละลายนมแม่แช่แข็งที่ถูกต้อง

  1. ย้ายนมแม่จากช่องแช่แข็งสู่ช่องธรรมดา: เมื่อต้องการใช้นมแม่ที่แช่แข็งไว้ ให้คุณแม่นำถุงนมลงมาวางแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาล่วงหน้าประมาณ 12 ชั่วโมง (หรือ 1 คืน) ค่ะ การทำแบบนี้จะช่วยให้นมละลายอย่างช้า ๆ ซึ่งดีต่อการรักษาสารอาหารในนมแม่
  2. ตั้งไว้ด้านนอกในอุณหภูมิห้อง (หากจำเป็น): หลังจากที่นมละลายในตู้เย็นแล้ว หากลูกน้อยยังไม่พร้อมดื่มในทันที สามารถนำนมออกมาวางในอุณหภูมิห้องได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงค่ะ
  3. ไม่ควรนำนมที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งอีก: ข้อนี้สำคัญมากนะคะ คุณแม่ไม่ควรนำนมแม่ที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งซ้ำอีก เพราะอาจทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลงและเสี่ยงต่อการปนเปื้อนได้ค่ะ
  4. ระยะเวลาการใช้นมที่ละลายแล้ว: นมแม่ที่ละลายในตู้เย็นแล้วและพร้อมใช้ ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงนะคะ

 

  • การนำนมแม่ที่ละลายแล้วมาให้ลูกดื่ม

  1. อุ่นนมอย่างถูกวิธี: โดยธรรมชาติแล้วทารกสามารถดื่มนมที่เย็น หรือนมที่อยู่ในอุณหภูมิห้องได้เลยค่ะ แต่หากคุณแม่ต้องการอุ่นนมให้ลูก ควรใช้วิธีแช่ถุงนมในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาสารอาหารและสารประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากนมแม่ไม่ให้ถูกทำลาย
  2. หลีกเลี่ยงการอุ่นนมที่ไม่เหมาะสม: ห้ามนำนมแม่เข้าไมโครเวฟเด็ดขาด รวมถึงการอุ่นบนเตา หรือใช้น้ำร้อนจัด เพราะความร้อนที่สูงเกินไปจะทำลายคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญในนมแม่ได้ค่ะ
  3. นมที่เหลือจากการป้อนลูก: นมแม่ที่ลูกดื่มไม่หมด ไม่ว่าจะจากขวดนมหรือถ้วย คุณแม่ไม่ควรเทกลับไปรวมกับนมส่วนที่เหลือนะคะ และหากไม่ได้นำมาใช้ต่อภายใน 2 ชั่วโมง ก็ควรทิ้งไปค่ะ เนื่องจากน้ำลายของลูกน้อยที่ปนเปื้อนเข้าไปแล้ว อาจทำให้มีเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้

 

การใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การปั๊ม การเก็บ ไปจนถึงการละลายและอุ่นนมแม่ จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากนมแม่ทุกหยดที่คุณแม่มอบให้นะคะ

 

ปัญหาการเก็บนมแม่

คุณแม่หลายคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อย ทั้งการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์และพัฒนาการรอบด้านใช่ไหมคะ? โดยเฉพาะคุณแม่ Working Mom ที่ต้องจัดการเวลา การทำสต็อกน้ำนมจึงเป็นทางออกสำคัญเพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนจากนมแม่ได้ยาวนานที่สุด คุณแม่อาจสงสัยว่าจะเริ่มสต็อกนมเมื่อไหร่ และเก็บรักษาอย่างไรให้มั่นใจว่าปลอดภัยและคงคุณค่าครบถ้วน? เพราะการเก็บรักษานมแม่ที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญ จึงรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเก็บนมแม่และข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาฝากคุณแม่ค่ะ

การเก็บนมแม่สำคัญอย่างไร

การเก็บนมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมอย่างเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเขาค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นการปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่หลังคลอดที่แตกต่างกันด้วย

  • สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านกับลูกตลอดเวลา: การเก็บน้ำนมอาจไม่จำเป็นมากนัก เพราะลูกสามารถดูดนมจากเต้าได้โดยตรงเมื่อต้องการ
  • สำหรับคุณแม่ Working Mom หรือต้องออกไปทำธุระ: การสต็อกน้ำนมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับนมแม่อย่างสม่ำเสมอ แม้คุณแม่จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ตาม

 

เพราะนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย การเก็บรักษาอย่างถูกวิธีจึงช่วยให้ลูกได้รับคุณค่าและประโยชน์จากนมแม่ได้อย่างต่อเนื่องค่ะ

 

ลูกกินนมแม่ไม่หมด เก็บไว้ได้ไหม?

คุณแม่คะ หากลูกน้อยดื่มนมแม่ไม่หมดในแต่ละครั้ง อาจมีคำถามว่านมที่เหลือสามารถเก็บไว้ได้ไหม? คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ควรให้ลูกดื่มนมแม่ให้หมดในครั้งเดียวค่ะ

ในกรณีที่มีน้ำนมเหลือจากการป้อนลูก และคุณแม่ต้องการเก็บไว้ให้ลูกดื่มอีกครั้ง แนะนำให้ใช้ภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังจากที่ลูกกินเหลือในครั้งแรก หากเกิน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ควรทิ้งน้ำนมส่วนนั้นไปเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยนะคะ

นมแม่ที่เหลือจากการป้อนทารก ไม่ว่าจะป้อนด้วยขวดหรือถ้วย ไม่ควรเทกลับไปรวมกับนมที่ยังไม่ได้ป้อน และหากไม่ได้ใช้ภายใน 2 ชั่วโมง ให้ทิ้งไปได้เลยค่ะ เนื่องจากน้ำลายจากปากของทารกที่ปนเปื้อนลงไปอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ค่ะ

 

สารอาหารสำคัญในน้ำนมเหลืองมีอะไรบ้าง?

คุณแม่ทราบไหมคะว่า น้ำนมเหลือง (Colostrum) หรือที่เรียกกันว่า "หัวน้ำนม" คือน้ำนมแม่ในช่วงแรกเริ่มที่ร่างกายคุณแม่จะสร้างขึ้นเพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น ถือเป็นอาหารมื้อแรกที่ล้ำค่าและมีประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกน้อยค่ะ

น้ำนมเหลืองอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย รวมถึงมี อิมมูโนโกลบูลินเอ (Immunoglobulin A) ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ดักจับสารแปลกปลอมต่าง ๆ ในร่างกาย และยังมี จุลินทรีย์สุขภาพ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกน้อย จึงเปรียบได้กับ "วัคซีนหยดแรก" ที่ธรรมชาติมอบให้ลูกเลยทีเดียวค่ะ

โดยทั่วไปแล้ว น้ำนมแม่ที่ร่างกายผลิตออกมาตามธรรมชาติจะแบ่งเป็น 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระยะไหน ก็ล้วนดีต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยทั้งสิ้นค่ะ ได้แก่

  • ระยะน้ำนมเหลือง (Colostrum): เป็นน้ำนมที่เกิดขึ้นในช่วง 24-36 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มีสีเหลืองเข้มและอุดมด้วยสารอาหารเข้มข้น
  • ระยะนมปรับเปลี่ยน (Transitional Milk): จะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังคลอด ซึ่งสีของน้ำนมจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขึ้น
  • ระยะน้ำนมแม่ (Mature Milk): คือน้ำนมแม่ระยะสุดท้ายที่ผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นน้ำนมหลักที่ลูกน้อยจะได้รับสารอาหารครบถ้วนในระยะยาว

 

นมที่สต็อกเหม็นหืนหลังละลาย สามารถให้ลูกได้ไหม?

คุณแม่หลายคนอาจกังวลเมื่อพบนมสต็อกมีกลิ่นเหม็นหืนหลังละลาย สงสัยว่าจะยังให้ลูกดื่มได้ไหม? คำตอบคือ คุณแม่สามารถให้น้ำนมนี้กับทารกได้ในกรณีที่เกิดจากเอนไซม์ไลเปสค่ะ การมีกลิ่นหืนจากเหตุผลนี้จะไม่ทำให้ลูกท้องเสีย

เอนไซม์ไลเปส (Lipase) ในน้ำนมแม่ ทำหน้าที่ย่อยไขมันให้เป็นอนุภาคเล็กลงและผสมเข้ากับโปรตีนได้ดี ปริมาณเอนไซม์ไลเปสในน้ำนมของคุณแม่แต่ละคนจะแตกต่างกัน หากมีปริมาณมากก็จะมีการย่อยไขมันมาก ทำให้เกิดกลิ่นหืนขึ้นมานั่นเองค่ะ สำหรับทารกบางคนที่อาจปฏิเสธนมที่มีกลิ่นเหม็นหืน คุณแม่สามารถลองนำมาผสมกับนมที่ปั๊มใหม่เพื่อลดความเหม็นหืนลงได้ค่ะ ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนของนมสต็อกต่อนมใหม่ทีละน้อย เพื่อให้ทารกค่อย ๆ คุ้นชินกับกลิ่นและรสชาตินะคะ ข้อสำคัญคือไม่ควรนำนมมาอุ่นก่อนให้ทารก เพราะความร้อนจะยิ่งทำให้กลิ่นเหม็นหืนรุนแรงขึ้นค่ะ

การเก็บรักษาน้ำนมแม่มีหลากหลายวิธี คุณแม่ควรเลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเองที่สุด เพื่อให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์นะคะ เพราะสารอาหารในนมแม่มีมากกว่า 200 ชนิด รวมถึง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของสมองเด็กเจนใหม่ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งสัญญาณประสาทค่ะ

ผลวิจัยทางการแพทย์ยังแสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับนมแม่มี IQ ที่สูงกว่า และมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีกว่าทารกที่ไม่ได้รับนมแม่ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเริ่มต้นมอบสารอาหารพัฒนาสมองที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่วันแรกคลอดเลยค่ะ สำหรับคุณแม่ที่กังวลเรื่องน้ำนมน้อย ไม่พอ หรือน้ำนมไม่ไหล ก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ คุณสามารถศึกษาวิธีเพิ่มน้ำนมแม่ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีเก็บนมแม่ น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง หรือมีอาการท่อน้ำนมอุดตัน ก็สามารถที่จะปรึกษากุมารแพทย์และคลินิกนมแม่ที่โรงพยาบาลได้เลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณแม่เสมอค่ะ

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. คำแนะนำวิธีการเก็บนมแม่, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
  2. วิธีเก็บสต็อกนมแม่ ต้องทำอย่างไร, โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์แนชั่นแนล อ้อมน้อย
  3. วิธีรักษาน้ำนมแม่ เก็บแบบไหนถึงอยู่ได้นาน, โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ
  4. How Long Can Breast Milk Sit Out?, Healthline
  5. การเก็บน้ำนมในถุงเก็บนม, มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  6. น้ำนมแม่ ภูมิต้านทานที่ดี ช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยให้กับลูก, โรงพยาบาลบางปะกอก
  7. ผลวิจัยหลายสถาบัน ชี้ “นมแม่” เพิ่มค่าไอคิวสูงกว่า 3 จุด, มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  8. How To Tell If Breast Milk Is Bad: Signs and Storage Tips, Breastfeeding Perspectives
  9. การบีบน้ำนมด้วยมือ (hand expression of breast milk), คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
     

อ้างอิง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568