ทารกหิวนม ลูกดูดเต้าจะรู้ได้ไงว่าลูกอิ่ม สัญญาณที่คุณแม่สังเกตได้

ทารกหิวนม ลูกดูดเต้าจะรู้ได้ไงว่าลูกอิ่ม สัญญาณที่คุณแม่สังเกตได้

คุณแม่ให้นมบุตร
บทความ
ต.ค. 2, 2025

ทารกหิวนมบ่อย หรือ ทารกกินไม่รู้จักอิ่ม เป็นเพราะอะไร และคุณแม่มือใหม่จะสังเกตรู้ได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบเพื่อช่วยให้คุณแม่เข้าใจสาเหตุของอาการดังกล่าว และสามารถให้นมลูกได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

ทารกหิวนม ลูกดูดเต้าจะรู้ได้ไงว่าลูกอิ่ม สัญญาณที่คุณแม่สังเกตได้

คำถามที่พบบ่อย

จะแยกได้อย่างไรว่าลูกหิวบ่อยเพราะอยู่ในช่วง Growth Spurt หรือเป็นภาวะ Overfeeding?

ในระยะทารกอายุ 1-2 เดือน ลูกจะเข้าสู่ระยะการเติบโตแบบเร็ว ๆ (Growth Spurt) จะกินนมบ่อยมาก คุณแม่ก็ควรให้ดูดบ่อย ๆ โดยมักเป็นอยู่แค่ 2-3 วันแล้วกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนภาวะ Overfeeding มักจะมีอาการไม่สบายตัวร่วมด้วย เช่น แหวะนมบ่อย ท้องอืด ร้องกวนหลังกิน และเป็นต่อเนื่องนานกว่าค่ะ

ลูกหิวบ่อยแปลว่าน้ำนมแม่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ทำให้อิ่มใช่ไหม?

การที่ลูกหิวบ่อยเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่ เพราะนมแม่ถูกออกแบบมาให้ย่อยง่ายและดูดซึมได้ดี ร่างกายจึงนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้แปลว่าน้ำนมของคุณแม่ไม่มีคุณภาพแต่อย่างใด

การใช้จุกหลอกช่วยเบี่ยงเบนความสนใจลูกได้หรือไม่ ?

การใช้จุกหลอกช่วยเบี่ยงเบนความสนใจลูกได้ แต่ควรเริ่มใช้เมื่อลูกสามารถเข้าเต้าได้ดีแล้ว คือ หลังอายุ 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันปัญหาลูกติดจุกหลอกจนไม่ยอมกินนมแม่

จุกหลอกเป็นตัวช่วยที่ดีในการเบี่ยงเบนความสนใจของลูกน้อย เช่น เวลาไปฉีดวัคซีนหรือเจาะเลือด หรือช่วยบรรเทาความหิวในระหว่างที่คุณแม่กำลังเตรียมนมให้

สรุป

  • ทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อยเป็นเรื่องปกติในเด็กทารก โดยทั่วไปแล้วทารกจะกินนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากนมแม่ย่อยง่าย ทำให้ลูกรู้สึกหิวบ่อย
  • ภาวะ Overfeeding คือการที่ลูกได้รับนมมากเกินความจำเป็น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนไม่สามารถย่อยนมที่ดื่มเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สัญญาณที่บอกว่าทารกหิวนม คุณแม่สามารถสังเกตได้จากการที่ทารกกำมือแน่น เอาเข้าปาก ทำเสียงดูดปาก หรือหันหน้าหาเข้าหาทันทีเมื่อมีอะไรมาแตะที่แก้ม
  • สัญญาณที่บอกว่าลูกอิ่มนมแล้ว คุณแม่สังเกตได้จากการที่ลูกจะหันหน้าออกจากเต้านมหรือขวดนมเมื่อรู้สึกอิ่มไม่ยอมอ้าปาก คลายมือออก และร่างกายดูผ่อนคลายมากขึ้น

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

สัญญาณทารกหิวนม VS สัญญาณว่าลูกอิ่มแล้ว เป็นอย่างไร

ในฐานะคุณแม่มือใหม่ การทำความเข้าใจ "ภาษากาย" ของลูกเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะจะช่วยให้คุณแม่แยกแยะสัญญาณที่บ่งบอกว่า ลูกกำลังหิวนม และ ลูกอิ่มแล้ว ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้การให้นมลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ลองมาสังเกตสัญญาณที่ลูกน้อยแสดงออกเพื่อให้คุณแม่ได้รับรู้ ความต้องการของลูกกันค่ะ

1. สัญญาณทารกหิวนม

แม่จ๋า ลูกหิวนม! หากคุณแม่มือใหม่สังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ นั่นแสดงว่าลูกกำลังหิวและพร้อมที่จะกินนมแล้วค่ะ

  • เอามือเข้าปาก: ลูกจะพยายามดูดกำปั้นหรือสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว
  • กำมือแน่น: ลูกจะกำมือแน่นขึ้นเป็นสัญญาณของความหิว
  • หันหน้าหา: เมื่อมีอะไรมาแตะที่แก้ม ลูกจะหันหน้าเข้าหาทันที ไม่ว่าจะเป็นเต้านมหรือขวดนม
  • เริ่มขยับแขนขา: ลูกจะเริ่มเตะขาหรือขยับแขนไปมามากขึ้น
  • ทำเสียงดูดปาก: ลูกจะทำเสียงดูดหรือเลียริมฝีปาก
  • ดูตื่นตัวและกระตือรือร้นมากขึ้น: ลูกจะเริ่มตื่นจากที่นอนและแสดงท่าทีอยากกินนมเป็นสัญญาณว่าลูกอิ่มนมแล้ว

 

การตอบสนองต่อสัญญาณเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การให้นมลูกราบรื่นยิ่งขึ้น และลูกจะไม่ต้องร้องไห้หนักจนทำให้ดูดนมได้ยากค่ะ

 

2. สัญญาณที่บอกว่าลูกอิ่มแล้ว

การสังเกตว่าลูกกินอิ่มแล้วก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ เพื่อไม่ให้ลูกกินมากเกินไปจนรู้สึกอึดอัด ลองดูสัญญาณเหล่านี้เพื่อรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดให้นมลูก

  • หันศีรษะหนี: ลูกจะหันหน้าออกจากเต้านมหรือขวดนมเมื่อรู้สึกอิ่ม
  • ปิดปาก: ลูกจะปิดปากแน่นและไม่ยอมอ้าปากรับนมอีก
  • มือคลายออก: จากที่เคยกำมือแน่นขณะดูดนม ลูกจะคลายมือออกและร่างกายดูผ่อนคลายมากขึ้น

 

การสังเกตและทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รู้ความต้องการของลูกได้อย่างแม่นยำ และทำให้ช่วงเวลาการให้นมเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งคุณแม่และลูกน้อยค่ะ

 

ทารกกินนมแม่อิ่ม ได้รับนมเพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร

เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่มือใหม่จะสงสัยว่าลูกได้รับนมเพียงพอหรือไม่ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เมื่อลูกได้รับนมเพียงพอแล้ว คุณแม่สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเหล่านี้ค่ะ

คุณแม่

ทารก

เต้านมจากที่คัดตึงจะกลายเป็นนิ่มลงลูกนอนหลับนาน 2-3 ชั่วโมง
เต้านมที่ไม่ถูกดูดมีน้ำนมหยดน้ำหนักตัวลูกลดลงได้ไม่เกิน 7-10% ของน้ำหนักแรกเกิด และเท่ากับน้ำหนักแรกเกิดที่อายุประมาณ 7-10 วัน
 จำนวนปัสสาวะและอุจจาระเหมาะสมตามอายุของทารก

 

ทารกกินนมแม่ไม่อิ่ม ได้รับนมไม่เพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร

คุณแม่หลายคนอาจกังวลว่าลูกได้รับนมแม่ไม่เพียงพอหรือเปล่า ลองมาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่คุณแม่สามารถสังเกตได้เมื่อลูกยังได้รับนมไม่เพียงพอค่ะ

คุณแม่

ทารก

ลักษณะเต้านมของคุณแม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อลูกเข้าเต้ากินนมน้ำหนักทารกลดลงมากกว่า 7-10% ของน้ำหนักแรกเกิด หรือน้ำหนักยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องหลังอายุ 3-5 วัน หรือน้ำหนักยังไม่กลับมาเท่ากับตอนแรกเกิดเมื่ออายุ 7-10 วัน
 

การปัสสาวะและอุจจาระหลังจากทารกอายุได้ 4 วัน

  • ถ่ายอุจจาระสีเขียวเข้ม (ขี้เทา) ไม่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
  • อุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อวัน
  • ปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวัน หรือปัสสาวะสีเหลืองเข้มหรือเป็นตะกอนสีส้ม
แม่กับทารก

 

ทารกกินไม่รู้จักอิ่มเพราะอะไร

อาการที่ทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อยเป็นเรื่องปกติในเด็กทารกค่ะ โดยทั่วไปแล้วทารกจะกินนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากนมแม่ย่อยง่าย ทำให้ลูกรู้สึกหิวบ่อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณแม่ต้องสังเกตสัญญาณที่ลูกแสดงออกว่า กินอิ่มแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ลูกจะหันศีรษะออกจากเต้านมและมีท่าทางผ่อนคลาย ไม่ร้องงอแง

เมื่อแน่ใจว่าลูกอิ่มแล้ว คุณแม่ไม่ควรป้อนนมต่อ หรือให้นมลูกถี่เกินไป หากลูกร้องไห้อาจมีสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น ผ้าอ้อมเปียก หรือไม่สบายมีไข้ การสังเกตและตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันภาวะ Overfeeding (การป้อนนมมากเกินไป) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกได้ค่ะ

 

ทารกกินไม่รู้จักอิ่ม ภาวะ Overfeeding คืออะไร

คุณแม่หลายคนอาจกังวลใจเมื่อเห็นทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อย แต่รู้ไหมคะว่าการให้ลูกกินนมมากเกินไปอาจส่งผลเสียได้ ภาวะ Overfeeding คือการที่ลูกได้รับนมมากเกินความจำเป็น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนไม่สามารถย่อยนมที่ดื่มเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเหล่านี้เพื่อดูว่าลูกมีภาวะ Overfeeding หรือไม่ เพื่อให้ลูกน้อยสบายตัวและได้รับนมในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ

  • สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกได้รับนมมากเกินไป (Overfeeding)

  1. ลูกแหวะนมบ่อย: ลูกอาจแหวะนมออกมาทั้งทางปากและจมูกมากกว่าปกติ และอาจมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย
  2. ลูกงอแงไม่สบายตัว: ลูกร้องไห้บ่อย ๆ เพราะรู้สึกแน่นท้องและไม่สบายตัว
  3. ลูกบิดตัวและร้องครวญคราง: ลูกบิดตัวไปมาและร้องเหมือนเจ็บปวดจากอาการปวดท้องแน่นท้อง
  4. พุงป่องตลอดเวลา: ท้องของลูกจะดูป่องเหมือนน้ำเต้าอยู่เสมอ
  5. หายใจมีเสียงดัง: ลูกหายใจมีเสียงครืดคราดเหมือนหมี เพราะน้ำนมล้นขึ้นมาถึงลำคอ
  6. น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป: ในช่วง 3 เดือนแรก น้ำหนักลูกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 กรัมต่อเดือน

 

การสังเกตและทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้ จะช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกได้อย่างถูกวิธีและทำให้ลูกน้อยเติบโตอย่างมีความสุขและมีสุขภาพดีค่ะ

 

ผลกระทบจากภาวะ Overfeeding ในทารก

คุณแม่หลายท่านอาจกังวลเมื่อเห็นลูกมีอาการแหวะนม ร้องไห้ หรือไม่สบายตัวหลังกินนมบ่อย ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากภาวะ Overfeeding หรือการได้รับนมมากเกินไป แม้ว่าภาวะนี้จะไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวให้กับลูกน้อย และอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ได้ค่ะ

  • ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะ Overfeeding

  1. ลูกไม่สบายตัว: อาการแหวะนม แน่นท้อง ท้องอืด และร้องไห้งอแงหลังกินนม ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัว
  2. ความเสี่ยงต่อกรดไหลย้อน: การปล่อยให้ลูกแหวะบ่อย ๆ อาจทำให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาทำร้ายหลอดอาหารและเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ ได้
  3. ความเสี่ยงของโรคอ้วนในระยะยาว: หากลูกมีภาวะ Overfeeding บ่อย ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น

 

การทำความเข้าใจสัญญาณและผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกได้อย่างถูกวิธี และป้องกันไม่ให้เกิดความไม่สบายตัวกับลูกน้อย เพื่อให้ช่วงเวลาการกินนมเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งครอบครัวค่ะ

 

ทารกกินนมไม่รู้จักอิ่ม วิธีป้องกันภาวะ Overfeeding ต้องทำอย่างไร

การป้องกันภาวะ Overfeeding ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ คุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยได้รับนมในปริมาณที่พอเหมาะได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ

  • สังเกตสัญญาณว่าลูกอิ่ม: เมื่อลูกเริ่มเบือนหน้าหนีจากเต้าหรือขวดนม, ดูดนมช้าลง, เว้นช่วงการดูดนานขึ้น หรือแสดงท่าทีไม่พอใจ ให้คุณแม่หยุดให้นมทันที
  • ให้ลูกเข้าเต้า: การให้ลูกเข้าเต้าจะช่วยป้องกันภาวะ Overfeeding ได้ดีที่สุด เพราะทารกจะสามารถควบคุมปริมาณนมที่ได้รับได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการดูดนมจากขวด เมื่อลูกอิ่ม ลูกจะปล่อยหัวนมออกไปเองตามธรรมชาติ
  • ให้ลูกกินนมในปริมาณที่เหมาะสม: โดยปกติแล้ว ทารกที่กินนมแม่มักจะหิวนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ส่วนทารกที่กินนมขวดจะต้องการนมประมาณ 2-3 ออนซ์ ทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง
  • ประเมินจากการขับถ่ายของลูก: คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าลูกได้รับนมเพียงพอแล้ว หากลูกอึอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน (ปริมาณเท่าแกนกระดาษทิชชู) และฉี่ครบ 6 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
  • ลองเบี่ยงเบนความสนใจ: หากลูกเพิ่งกินนมไปไม่นานแต่ยังทำท่าทางอยากดูดนมอยู่ ให้ลองปลอบโยนด้วยวิธีอื่นแทน เช่น อุ้มกอด ลูบหลัง หรือชวนคุยเล่น
  • ใช้เทคนิคปั๊มนมออกก่อนให้นม: หากลูกอยากเข้าเต้าตลอดเวลา ให้คุณแม่ลองปั๊มนมออกก่อนเล็กน้อย เพื่อลดปริมาณน้ำนมในเต้า ทำให้ลูกไม่ได้รับนมในปริมาณที่มากเกินไป

 

การทำตามวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกน้อยกินนมได้อย่างพอดี ไม่รู้สึกอึดอัด และเติบโตได้อย่างมีสุขภาพดีค่ะ

 

ทำไมไม่ควรให้อาหารเสริมตามวัยลูกเร็วเกินไป

คุณแม่หลายท่านอาจกำลังคิดว่าจะเริ่มอาหารเสริมตามวัยให้ลูกตอนไหนดี แต่รู้ไหมคะว่าทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ย้ำว่า ไม่ควรให้อาหารบดหรืออาหารแข็งแก่ทารกก่อนอายุ 6 เดือนค่ะ นั่นเป็นเพราะว่าระบบย่อยอาหารของลูกน้อยยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ การให้อาหารเสริมตามวัยเร็วเกินไปอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น

  • ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย
  • อาหารไม่ย่อยและเสี่ยงต่อการแพ้อาหาร
  • อันตรายถึงชีวิตจากภาวะลำไส้อุดตัน

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) จึงแนะนำให้ลูกได้ดื่ม นมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน จากนั้นจึงเริ่มอาหารเสริมตามวัยที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการให้นมแม่ต่อเนื่องจนถึงอายุ 2 ปี

นมแม่นั้นเต็มไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิดและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ของลูกน้อย เช่น

  • แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin): เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองในเด็กเจนใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วยสร้างสารสื่อประสาทและเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท ทำให้การเรียนรู้และการพัฒนาของลูกน้อยเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ช่วยให้ลูกมีสมาธิและเรียนรู้ได้ไวขึ้น
  • B. lactis จุลินทรีย์สุขภาพ: ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เด็กเจนใหม่แข็งแรงและไม่ป่วยง่าย โดยเฉพาะกับเด็กที่คลอดด้วยวิธีผ่าคลอดซึ่งมักมีจุลินทรีย์ชนิดนี้น้อยกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติ การได้รับจุลินทรีย์ชนิดนี้จากนมแม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยสร้างสมดุลและเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมบูรณ์

 

การรอให้ลูกพร้อมเมื่ออายุ 6 เดือนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกได้รับประโยชน์จากนมแม่อย่างเต็มที่และเติบโตได้อย่างแข็งแรงค่ะ การที่ลูกน้อยหิวนมบ่อยหรือดูเหมือนทารกกินไม่รู้จักอิ่มนั้นเป็นเรื่องปกติที่คุณแม่มือใหม่หลายคนต้องเจอ หากคุณแม่ทำความเข้าใจสัญญาณต่าง ๆ ที่ลูกแสดงออก ทั้งสัญญาณที่บอกว่า "ลูกหิว" และ "ลูกอิ่ม" ก็จะช่วยให้การให้นมลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

หากคุณแม่ลองใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันภาวะ Overfeeding แล้ว แต่ลูกยังมีอาการผิดปกติ เช่น แหวะนมบ่อย น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็ว หรือร้องไห้ไม่หยุด ควรรีบปรึกษาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและขอคำแนะนำที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างแข็งแรงและมีความสุขค่ะ

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. What Are Signs That My Baby Is Hungry?, WebMD
  2. ลูกได้รับน้ำนมแม่เพียงพอหรือไม่, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
  3. คู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลสมิติเวช
  4. ลูกร้องไห้แบบไหน ไม่ปกติ, โรงพยาบาลสมิติเวช
  5. การOverfeeding ในทารก, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
  6. ลูกกินนมแบบไหนเรียก Over breastfeeding, โรงพยาบาลสมิติเวช
  7. กรมอนามัย ย้ำ ทารกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ดีที่สุด ก่อนให้อาหารตามวัยควบนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  8. WHO และ UNICEF สนับสนุน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, SDG MOVE
  9. การใช้จุกหลอดให้ปลอดภัย, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
  10. ลูกดูดนมแม่เหมือนไม่อิ่ม ดูดแล้วดูดอีก แต่ลูกก็ดูปกติดี ไม่สบายใจอยากให้นมผสมเสริมดีมั้ย, มูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย

 

อ้างอิง ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568