
ทารกหิวนม ลูกดูดเต้าจะรู้ได้ไงว่าลูกอิ่ม สัญญาณที่คุณแม่สังเกตได้
คำถามที่พบบ่อย
จะแยกได้อย่างไรว่าลูกหิวบ่อยเพราะอยู่ในช่วง Growth Spurt หรือเป็นภาวะ Overfeeding?
ในระยะทารกอายุ 1-2 เดือน ลูกจะเข้าสู่ระยะการเติบโตแบบเร็ว ๆ (Growth Spurt) จะกินนมบ่อยมาก คุณแม่ก็ควรให้ดูดบ่อย ๆ โดยมักเป็นอยู่แค่ 2-3 วันแล้วกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนภาวะ Overfeeding มักจะมีอาการไม่สบายตัวร่วมด้วย เช่น แหวะนมบ่อย ท้องอืด ร้องกวนหลังกิน และเป็นต่อเนื่องนานกว่าค่ะ
ลูกหิวบ่อยแปลว่าน้ำนมแม่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ทำให้อิ่มใช่ไหม?
การที่ลูกหิวบ่อยเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่ เพราะนมแม่ถูกออกแบบมาให้ย่อยง่ายและดูดซึมได้ดี ร่างกายจึงนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้แปลว่าน้ำนมของคุณแม่ไม่มีคุณภาพแต่อย่างใด
การใช้จุกหลอกช่วยเบี่ยงเบนความสนใจลูกได้หรือไม่ ?
การใช้จุกหลอกช่วยเบี่ยงเบนความสนใจลูกได้ แต่ควรเริ่มใช้เมื่อลูกสามารถเข้าเต้าได้ดีแล้ว คือ หลังอายุ 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันปัญหาลูกติดจุกหลอกจนไม่ยอมกินนมแม่
จุกหลอกเป็นตัวช่วยที่ดีในการเบี่ยงเบนความสนใจของลูกน้อย เช่น เวลาไปฉีดวัคซีนหรือเจาะเลือด หรือช่วยบรรเทาความหิวในระหว่างที่คุณแม่กำลังเตรียมนมให้
สรุป
- ทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อยเป็นเรื่องปกติในเด็กทารก โดยทั่วไปแล้วทารกจะกินนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากนมแม่ย่อยง่าย ทำให้ลูกรู้สึกหิวบ่อย
- ภาวะ Overfeeding คือการที่ลูกได้รับนมมากเกินความจำเป็น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนไม่สามารถย่อยนมที่ดื่มเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สัญญาณที่บอกว่าทารกหิวนม คุณแม่สามารถสังเกตได้จากการที่ทารกกำมือแน่น เอาเข้าปาก ทำเสียงดูดปาก หรือหันหน้าหาเข้าหาทันทีเมื่อมีอะไรมาแตะที่แก้ม
- สัญญาณที่บอกว่าลูกอิ่มนมแล้ว คุณแม่สังเกตได้จากการที่ลูกจะหันหน้าออกจากเต้านมหรือขวดนมเมื่อรู้สึกอิ่มไม่ยอมอ้าปาก คลายมือออก และร่างกายดูผ่อนคลายมากขึ้น
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- สัญญาณทารกหิวนม VS สัญญาณว่าลูกอิ่มแล้ว เป็นอย่างไร
- ทารกกินนมแม่อิ่ม ได้รับนมเพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร
- ทารกกินนมแม่ไม่อิ่ม ได้รับนมไม่เพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร
- ทารกกินไม่รู้จักอิ่มเพราะอะไร
- ทารกกินไม่รู้จักอิ่ม ภาวะ Overfeeding คืออะไร
- ผลกระทบจากภาวะ Overfeeding ในทารก
- ทารกกินนมไม่รู้จักอิ่ม วิธีป้องกันภาวะ Overfeeding ต้องทำอย่างไร
- ทำไมไม่ควรให้อาหารเสริมตามวัยลูกเร็วเกินไป
สัญญาณทารกหิวนม VS สัญญาณว่าลูกอิ่มแล้ว เป็นอย่างไร
ในฐานะคุณแม่มือใหม่ การทำความเข้าใจ "ภาษากาย" ของลูกเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะจะช่วยให้คุณแม่แยกแยะสัญญาณที่บ่งบอกว่า ลูกกำลังหิวนม และ ลูกอิ่มแล้ว ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้การให้นมลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ลองมาสังเกตสัญญาณที่ลูกน้อยแสดงออกเพื่อให้คุณแม่ได้รับรู้ ความต้องการของลูกกันค่ะ
1. สัญญาณทารกหิวนม
แม่จ๋า ลูกหิวนม! หากคุณแม่มือใหม่สังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ นั่นแสดงว่าลูกกำลังหิวและพร้อมที่จะกินนมแล้วค่ะ
- เอามือเข้าปาก: ลูกจะพยายามดูดกำปั้นหรือสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว
- กำมือแน่น: ลูกจะกำมือแน่นขึ้นเป็นสัญญาณของความหิว
- หันหน้าหา: เมื่อมีอะไรมาแตะที่แก้ม ลูกจะหันหน้าเข้าหาทันที ไม่ว่าจะเป็นเต้านมหรือขวดนม
- เริ่มขยับแขนขา: ลูกจะเริ่มเตะขาหรือขยับแขนไปมามากขึ้น
- ทำเสียงดูดปาก: ลูกจะทำเสียงดูดหรือเลียริมฝีปาก
- ดูตื่นตัวและกระตือรือร้นมากขึ้น: ลูกจะเริ่มตื่นจากที่นอนและแสดงท่าทีอยากกินนมเป็นสัญญาณว่าลูกอิ่มนมแล้ว
การตอบสนองต่อสัญญาณเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การให้นมลูกราบรื่นยิ่งขึ้น และลูกจะไม่ต้องร้องไห้หนักจนทำให้ดูดนมได้ยากค่ะ
2. สัญญาณที่บอกว่าลูกอิ่มแล้ว
การสังเกตว่าลูกกินอิ่มแล้วก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ เพื่อไม่ให้ลูกกินมากเกินไปจนรู้สึกอึดอัด ลองดูสัญญาณเหล่านี้เพื่อรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดให้นมลูก
- หันศีรษะหนี: ลูกจะหันหน้าออกจากเต้านมหรือขวดนมเมื่อรู้สึกอิ่ม
- ปิดปาก: ลูกจะปิดปากแน่นและไม่ยอมอ้าปากรับนมอีก
- มือคลายออก: จากที่เคยกำมือแน่นขณะดูดนม ลูกจะคลายมือออกและร่างกายดูผ่อนคลายมากขึ้น
การสังเกตและทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รู้ความต้องการของลูกได้อย่างแม่นยำ และทำให้ช่วงเวลาการให้นมเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
ทารกกินนมแม่อิ่ม ได้รับนมเพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร
เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่มือใหม่จะสงสัยว่าลูกได้รับนมเพียงพอหรือไม่ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เมื่อลูกได้รับนมเพียงพอแล้ว คุณแม่สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเหล่านี้ค่ะ
คุณแม่ | ทารก |
เต้านมจากที่คัดตึงจะกลายเป็นนิ่มลง | ลูกนอนหลับนาน 2-3 ชั่วโมง |
เต้านมที่ไม่ถูกดูดมีน้ำนมหยด | น้ำหนักตัวลูกลดลงได้ไม่เกิน 7-10% ของน้ำหนักแรกเกิด และเท่ากับน้ำหนักแรกเกิดที่อายุประมาณ 7-10 วัน |
จำนวนปัสสาวะและอุจจาระเหมาะสมตามอายุของทารก |
ทารกกินนมแม่ไม่อิ่ม ได้รับนมไม่เพียงพอ จะรู้ได้อย่างไร
คุณแม่หลายคนอาจกังวลว่าลูกได้รับนมแม่ไม่เพียงพอหรือเปล่า ลองมาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่คุณแม่สามารถสังเกตได้เมื่อลูกยังได้รับนมไม่เพียงพอค่ะ
คุณแม่ | ทารก |
ลักษณะเต้านมของคุณแม่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อลูกเข้าเต้ากินนม | น้ำหนักทารกลดลงมากกว่า 7-10% ของน้ำหนักแรกเกิด หรือน้ำหนักยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องหลังอายุ 3-5 วัน หรือน้ำหนักยังไม่กลับมาเท่ากับตอนแรกเกิดเมื่ออายุ 7-10 วัน |
การปัสสาวะและอุจจาระหลังจากทารกอายุได้ 4 วัน
|

ทารกกินไม่รู้จักอิ่มเพราะอะไร
อาการที่ทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อยเป็นเรื่องปกติในเด็กทารกค่ะ โดยทั่วไปแล้วทารกจะกินนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากนมแม่ย่อยง่าย ทำให้ลูกรู้สึกหิวบ่อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณแม่ต้องสังเกตสัญญาณที่ลูกแสดงออกว่า กินอิ่มแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ลูกจะหันศีรษะออกจากเต้านมและมีท่าทางผ่อนคลาย ไม่ร้องงอแง
เมื่อแน่ใจว่าลูกอิ่มแล้ว คุณแม่ไม่ควรป้อนนมต่อ หรือให้นมลูกถี่เกินไป หากลูกร้องไห้อาจมีสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น ผ้าอ้อมเปียก หรือไม่สบายมีไข้ การสังเกตและตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันภาวะ Overfeeding (การป้อนนมมากเกินไป) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกได้ค่ะ
ทารกกินไม่รู้จักอิ่ม ภาวะ Overfeeding คืออะไร
คุณแม่หลายคนอาจกังวลใจเมื่อเห็นทารกกินไม่รู้จักอิ่มหรือหิวนมบ่อย แต่รู้ไหมคะว่าการให้ลูกกินนมมากเกินไปอาจส่งผลเสียได้ ภาวะ Overfeeding คือการที่ลูกได้รับนมมากเกินความจำเป็น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนไม่สามารถย่อยนมที่ดื่มเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเหล่านี้เพื่อดูว่าลูกมีภาวะ Overfeeding หรือไม่ เพื่อให้ลูกน้อยสบายตัวและได้รับนมในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกได้รับนมมากเกินไป (Overfeeding)
- ลูกแหวะนมบ่อย: ลูกอาจแหวะนมออกมาทั้งทางปากและจมูกมากกว่าปกติ และอาจมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย
- ลูกงอแงไม่สบายตัว: ลูกร้องไห้บ่อย ๆ เพราะรู้สึกแน่นท้องและไม่สบายตัว
- ลูกบิดตัวและร้องครวญคราง: ลูกบิดตัวไปมาและร้องเหมือนเจ็บปวดจากอาการปวดท้องแน่นท้อง
- พุงป่องตลอดเวลา: ท้องของลูกจะดูป่องเหมือนน้ำเต้าอยู่เสมอ
- หายใจมีเสียงดัง: ลูกหายใจมีเสียงครืดคราดเหมือนหมี เพราะน้ำนมล้นขึ้นมาถึงลำคอ
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป: ในช่วง 3 เดือนแรก น้ำหนักลูกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 กรัมต่อเดือน
การสังเกตและทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้ จะช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกได้อย่างถูกวิธีและทำให้ลูกน้อยเติบโตอย่างมีความสุขและมีสุขภาพดีค่ะ
ผลกระทบจากภาวะ Overfeeding ในทารก
คุณแม่หลายท่านอาจกังวลเมื่อเห็นลูกมีอาการแหวะนม ร้องไห้ หรือไม่สบายตัวหลังกินนมบ่อย ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากภาวะ Overfeeding หรือการได้รับนมมากเกินไป แม้ว่าภาวะนี้จะไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวให้กับลูกน้อย และอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ได้ค่ะ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะ Overfeeding
- ลูกไม่สบายตัว: อาการแหวะนม แน่นท้อง ท้องอืด และร้องไห้งอแงหลังกินนม ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัว
- ความเสี่ยงต่อกรดไหลย้อน: การปล่อยให้ลูกแหวะบ่อย ๆ อาจทำให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาทำร้ายหลอดอาหารและเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ ได้
- ความเสี่ยงของโรคอ้วนในระยะยาว: หากลูกมีภาวะ Overfeeding บ่อย ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น
การทำความเข้าใจสัญญาณและผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกได้อย่างถูกวิธี และป้องกันไม่ให้เกิดความไม่สบายตัวกับลูกน้อย เพื่อให้ช่วงเวลาการกินนมเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทั้งครอบครัวค่ะ
ทารกกินนมไม่รู้จักอิ่ม วิธีป้องกันภาวะ Overfeeding ต้องทำอย่างไร
การป้องกันภาวะ Overfeeding ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ คุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยได้รับนมในปริมาณที่พอเหมาะได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ
- สังเกตสัญญาณว่าลูกอิ่ม: เมื่อลูกเริ่มเบือนหน้าหนีจากเต้าหรือขวดนม, ดูดนมช้าลง, เว้นช่วงการดูดนานขึ้น หรือแสดงท่าทีไม่พอใจ ให้คุณแม่หยุดให้นมทันที
- ให้ลูกเข้าเต้า: การให้ลูกเข้าเต้าจะช่วยป้องกันภาวะ Overfeeding ได้ดีที่สุด เพราะทารกจะสามารถควบคุมปริมาณนมที่ได้รับได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการดูดนมจากขวด เมื่อลูกอิ่ม ลูกจะปล่อยหัวนมออกไปเองตามธรรมชาติ
- ให้ลูกกินนมในปริมาณที่เหมาะสม: โดยปกติแล้ว ทารกที่กินนมแม่มักจะหิวนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ส่วนทารกที่กินนมขวดจะต้องการนมประมาณ 2-3 ออนซ์ ทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง
- ประเมินจากการขับถ่ายของลูก: คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าลูกได้รับนมเพียงพอแล้ว หากลูกอึอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน (ปริมาณเท่าแกนกระดาษทิชชู) และฉี่ครบ 6 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
- ลองเบี่ยงเบนความสนใจ: หากลูกเพิ่งกินนมไปไม่นานแต่ยังทำท่าทางอยากดูดนมอยู่ ให้ลองปลอบโยนด้วยวิธีอื่นแทน เช่น อุ้มกอด ลูบหลัง หรือชวนคุยเล่น
- ใช้เทคนิคปั๊มนมออกก่อนให้นม: หากลูกอยากเข้าเต้าตลอดเวลา ให้คุณแม่ลองปั๊มนมออกก่อนเล็กน้อย เพื่อลดปริมาณน้ำนมในเต้า ทำให้ลูกไม่ได้รับนมในปริมาณที่มากเกินไป
การทำตามวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกน้อยกินนมได้อย่างพอดี ไม่รู้สึกอึดอัด และเติบโตได้อย่างมีสุขภาพดีค่ะ
ทำไมไม่ควรให้อาหารเสริมตามวัยลูกเร็วเกินไป
คุณแม่หลายท่านอาจกำลังคิดว่าจะเริ่มอาหารเสริมตามวัยให้ลูกตอนไหนดี แต่รู้ไหมคะว่าทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ย้ำว่า ไม่ควรให้อาหารบดหรืออาหารแข็งแก่ทารกก่อนอายุ 6 เดือนค่ะ นั่นเป็นเพราะว่าระบบย่อยอาหารของลูกน้อยยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ การให้อาหารเสริมตามวัยเร็วเกินไปอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น
- ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย
- อาหารไม่ย่อยและเสี่ยงต่อการแพ้อาหาร
- อันตรายถึงชีวิตจากภาวะลำไส้อุดตัน
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) จึงแนะนำให้ลูกได้ดื่ม นมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน จากนั้นจึงเริ่มอาหารเสริมตามวัยที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการให้นมแม่ต่อเนื่องจนถึงอายุ 2 ปี
นมแม่นั้นเต็มไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิดและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ของลูกน้อย เช่น
- แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin): เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองในเด็กเจนใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วยสร้างสารสื่อประสาทและเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท ทำให้การเรียนรู้และการพัฒนาของลูกน้อยเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ช่วยให้ลูกมีสมาธิและเรียนรู้ได้ไวขึ้น
- B. lactis จุลินทรีย์สุขภาพ: ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เด็กเจนใหม่แข็งแรงและไม่ป่วยง่าย โดยเฉพาะกับเด็กที่คลอดด้วยวิธีผ่าคลอดซึ่งมักมีจุลินทรีย์ชนิดนี้น้อยกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติ การได้รับจุลินทรีย์ชนิดนี้จากนมแม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยสร้างสมดุลและเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมบูรณ์
การรอให้ลูกพร้อมเมื่ออายุ 6 เดือนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกได้รับประโยชน์จากนมแม่อย่างเต็มที่และเติบโตได้อย่างแข็งแรงค่ะ การที่ลูกน้อยหิวนมบ่อยหรือดูเหมือนทารกกินไม่รู้จักอิ่มนั้นเป็นเรื่องปกติที่คุณแม่มือใหม่หลายคนต้องเจอ หากคุณแม่ทำความเข้าใจสัญญาณต่าง ๆ ที่ลูกแสดงออก ทั้งสัญญาณที่บอกว่า "ลูกหิว" และ "ลูกอิ่ม" ก็จะช่วยให้การให้นมลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
หากคุณแม่ลองใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันภาวะ Overfeeding แล้ว แต่ลูกยังมีอาการผิดปกติ เช่น แหวะนมบ่อย น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็ว หรือร้องไห้ไม่หยุด ควรรีบปรึกษาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและขอคำแนะนำที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างแข็งแรงและมีความสุขค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
อ้างอิง:
- What Are Signs That My Baby Is Hungry?, WebMD
- ลูกได้รับน้ำนมแม่เพียงพอหรือไม่, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- คู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลสมิติเวช
- ลูกร้องไห้แบบไหน ไม่ปกติ, โรงพยาบาลสมิติเวช
- การOverfeeding ในทารก, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
- ลูกกินนมแบบไหนเรียก Over breastfeeding, โรงพยาบาลสมิติเวช
- กรมอนามัย ย้ำ ทารกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ดีที่สุด ก่อนให้อาหารตามวัยควบนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
- WHO และ UNICEF สนับสนุน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, SDG MOVE
- การใช้จุกหลอดให้ปลอดภัย, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
- ลูกดูดนมแม่เหมือนไม่อิ่ม ดูดแล้วดูดอีก แต่ลูกก็ดูปกติดี ไม่สบายใจอยากให้นมผสมเสริมดีมั้ย, มูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย
อ้างอิง ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568