ไม่จริงเลยค่ะ! นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยมาก ทั้งน้ำนมส่วนหน้าและน้ำนมส่วนหลังมีความสำคัญและมีประโยชน์แตกต่างกันไป:
น้ำนมส่วนหน้า: เปรียบ

โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ ซึ่งอาจจะเทียบเท่ากับการดื่มนมประมาณ 3-4 แก้วต่อวันค่ะ แต่คุณแม่ไม่จำเป็นต้องได้แคลเซียม

ไม่ต้องกังวลเลยค่ะคุณแม่ มีทางเลือกอื่นอีกเยอะเลยค่ะ คุณแม่สามารถเลือกดื่มนมจากพืชที่เสริมแคลเซียม เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมข้าวโอ๊ตสูตรเสริมแคลเซียมได้ค่ะ

ส่วนใหญ่แล้วไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลค่ะ หลังจากทำเสร็จ คุณหมอจะให้พักดูอาการประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็สามารถกลับบ้านได้เลยค่ะ ส่วนการพักฟื้น

เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากสำหรับคุณแม่สายปั๊มค่ะ สาเหตุอาจมาจาก:
ขนาดกรวยปั๊มไม่พอดี: นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งเลยค่ะ! หากกรวยปั๊มเล็กหรือใหญ่เกิน

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะคุณแม่! ถ้าเราทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่น่ากังวลค่ะ แต่ถ้าทานเยอะเกินไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้จริงๆ เพราะในลองกองมีน้ำตาลธรรมชาติค่อนข้างสูงค่ะ

เข้าใจเลยค่ะว่าบางทีก็อยากทานผลไม้ชื่นใจๆ เนาะ แนะนำว่าทานประมาณ 5-8 ลูกต่อครั้งก็พอให้หายอยากแล้วค่ะ และไม่ควรทานทุกวันนะคะ การทานผลไม้หลากหลายชนิดสลับกันไปจะดีที่สุด

ห้ามทำเด็ดขาดเลยค่ะ! แม้จะดูเหมือนเป็นวิธีที่เร็วที่สุด แต่การใช้น้ำที่ร้อนจัด (เกิน 40 องศาเซลเซียส) หรือนำเข้าไมโครเวฟ จะไป "ทำลาย" สารอาหาร

ส่วนใหญ่แล้ว "ไม่ใช่นมเสียค่ะ" แต่น่าจะเป็นผลมาจากเอนไซม์ที่ชื่อว่า "ไลเปส (Lipase)" ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ของแม่บางท่านในปริมาณสูง เอนไซม์

ทานได้ค่ะคุณแม่ สบายใจได้เลย ลองกองมีวิตามินและกากใยที่ดีต่อร่างกายค่ะ แต่เพราะว่ามีรสหวานชื่นใจ ก็เลยมีน้ำตาลอยู่เยอะเหมือนกัน ทานแค่พอหายอยากจะดีที่สุดนะคะ

เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยค่ะ สำหรับนมแม่ที่ผ่านการ "อุ่น" แล้ว แต่ลูกยัง "ไม่ได้แตะปาก" เลย สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้อีก ไม่เกิน

เป็นไปไม่ได้ค่ะ ตามหลักการทางการแพทย์แล้ว ถ้าผู้หญิงตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพื่อหยุดการตกไข่และป้องกันไม่ให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนค่ะ

เป็นอาการยอดฮิตที่คุณแม่หลายคนเจอเลยค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ ส่วนใหญ่เกิดจากร่างกายมีการบวมน้ำขึ้นเล็กน้อยตามปกติของการตั้งครรภ์ เลยอาจจะไปกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือได้ค่ะ

เป็นไปได้ค่ะ ถ้าแผลแยกออกเพียงเล็กน้อยและไม่มีการติดเชื้อ ร่างกายของเราเก่งมากพอที่จะค่อยๆ สร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาซ่อมแซมตัวเองได้ค่ะ แต่กระบวนการนี้อาจจะใช้เวลานานหน่อยค่ะ

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ สาเหตุหลักๆ มาจาก 2 อย่างค่ะ หนึ่งคือฮอร์โมนคนท้องที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเปราะบางขึ้น และสองคือมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปกดทับเส้นเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน

อาการที่ชัดเจนที่สุดคือการมีเลือดสีแดงสดๆ ไหลออกมาจากช่องคลอดโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บท้องค่ะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นมาเองแบบไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าเลือดจะออกมากหรือน้อยแค่หยดเดียว ถ้ามีเลือดออกตอนท้อง

ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่จะทราบภาวะนี้จากการตรวจอัลตราซาวด์ค่ะ แต่ก็มีสัญญาณที่คุณแม่พอจะสังเกตเองได้ เช่น รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงกว่าปกติ, ท้องไม่ค่อยขยายใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์

ไม่ต้องกังวลจนเกินไปนะคะคุณแม่ ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าลูกน้อยของเราอยู่ในสระน้ำส่วนตัว น้ำคร่ำก็คือน้ำในสระนั่นเองค่ะ ภาวะน้ำคร่ำน้อยก็คือระดับน้ำในสระของลูกมีน้อยกว่าเกณฑ์ปกติค่ะ

ไม่อันตรายเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ สบายใจได้เลยนะคะ เส้นนี้เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังชั้นนอกของคุณแม่เท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับสุขภาพหรือพัฒนาการของลูกน้อยในท้องเลยแม้แต่น้อยค่ะ

ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มเห็นชัดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ค่ะ หรือประมาณเดือนที่ 4-5 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนค่ะ แต่ก็ไม่เหมือนกันทุกคนนะคะ

ไม่จำเป็นต้องเป๊ะขนาดนั้นค่ะ เด็กแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน:
บางคนชอบอุ่นๆ: เหมือนนมที่ออกจากเต้าแม่โดยตรง
บางคนชอบอุณหภูมิห้อง: นมที่ละลาย