เด็กปวดท้อง ลูกปวดท้องบิดตอนกลางคืน? ทำไงดี? พร้อมวิธีดูแลลูกน้อย
คำถามที่พบบ่อย
ลูกบอกว่าปวดท้อง แต่พอถามก็ชี้มั่ว ๆ ไปทั่วท้อง จะรู้ได้อย่างไรว่าปวดตรงไหน?
เป็นเรื่องปกติของเด็กเล็กที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจนค่ะ พ่อแม่ควรสังเกตจากอาการร่วมอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน ควรปรึกษาแพทย์หากไม่แน่ใจในอาการ
ลูกปวดท้องบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะความเครียดจากโรงเรียนได้จริงหรือ?
เป็นไปได้อย่างยิ่งค่ะ ความเครียดและความวิตกกังวลในเด็กโตสามารถแสดงออกเป็นอาการทางกายได้ โดยเฉพาะอาการปวดท้องและปวดศีรษะ พ่อแม่ควรลองพูดคุยกับลูกอย่างเปิดอกเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนและเพื่อน ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินทั้งสาเหตุทางกายและทางใจร่วมกัน
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกร้องไห้เพราะ 'โคลิค' ไม่ใช่ปวดท้องจากสาเหตุอื่น?
โคลิคมักมีรูปแบบที่ชัดเจนคือ เด็กจะร้องในช่วงเวลาเดิม ๆ ส่วนใหญ่เป็นช่วงเย็นไปจนถึงค่ำ (6 โมงเย็น จนถึง 4 ทุ่ม) เด็กมักจะร้องไห้โยเย ร้องจนหน้าแดง ตัวเกร็ง ขางอ สาเหตุเกิดภาวะโคลิค เช่น กลืนอากาศขณะกินนมแม่หรือร้องไห้ เด็กแพ้โปรตีนในนม ป้อนอาหารทารกมากหรือน้อยเกินไป และอาการกรดไหลย้อน เป็นต้น หากสังเกตพบความผิดปกติอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์
สรุป
- เด็กเล็กเมื่อปวดท้องอาจไม่สามารถบอกพ่อแม่ได้ คุณแม่จะรู้ได้จากการร้องกวน งอแง ไม่ยอมกินนมแม่ รวมถึงมีอาการอื่นร่วมด้วยอย่างอาเจียน ถ่ายเหลว หรือถ่ายแข็ง เป็นต้น ในขณะที่เด็กโตแม้ว่าจะเริ่มบอกได้แล้วว่าปวดท้องแต่อาจไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดได้ คุณแม่จึงต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย
- อาการเด็กปวดท้อง สามารถแยกออกได้เป็น 2 ชนิด คือ อาการปวดท้องเฉียบพลันและอาการปวดท้องชนิดเรื้อรัง โดยที่อาการปวดท้องเฉียบพลันส่วนใหญ่มีสาเหตุที่ไม่รุนแรงและไม่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนแต่อาจเป็นอันตรายได้หากมีอาการที่รุนแรง และควรพบแพทย์ทันที ส่วนอาการปวดท้องเรื้อรังไม่ได้เกิดจากโรงทางกาย แต่เกิดจากทางเดินอาหารที่รับความรู้สึกได้ไวกว่าปกติ เช่น ความเครียด เป็นต้น
- สาเหตุที่ทำให้เด็กปวดท้อง ได้แก่ โคลิค ท้องอืด กรดไหลย้อน ท้องร่วงเฉียบพลัน การย่อยแลคโตสบกพร่อง ท้องผูก โรคลำไส้กลืนกัน ไส้ติ่งอักเสบ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร หรือแม้แต่ความเครียดค่ะ
- เมื่อเด็กปวดท้องไม่รุนแรงมาก คุณแม่สามารถใช้ยาบรรเทาอาการตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ พร้อมทั้งควรสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิด
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- ลูกปวดท้องแบบไหน? ทำความเข้าใจลักษณะอาการปวดที่แตกต่างกัน
- สาเหตุที่ทำให้เด็กปวดท้อง เกิดจากอะไรได้บ้าง?
- วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อลูกปวดท้อง
- อาการปวดท้องแบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอทันที
ลูกปวดท้องแบบไหน? ทำความเข้าใจลักษณะอาการปวดที่แตกต่างกัน
อาการเด็กปวดท้อง คือ สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพของลูกน้อย โดยอาการปวดท้องในเด็กเล็กและเด็กโตอาจมีความแตกต่างกัน เนื่องจากเด็กเล็กยังไม่สามารถบอกพ่อแม่ได้ว่าปวดท้องแต่มักจะแสดงอาการร้องกวน งอแง หงุดหงิด ไม่ยอมกินนมแม่หรืออาหาร รวมถึงมีอาการอื่นร่วมด้วยอย่างอาเจียน ถ่ายเหลว หรือถ่ายแข็ง เป็นต้น
ในขณะที่เด็กโตสามารถบอกพ่อแม่ได้แล้วว่าปวดท้องแต่อาจไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ที่แน่ชัดซึ่งคุณแม่จะรู้ได้ว่าลูกปวดท้องแบบไหนต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว กินน้อย เรอ แสบหน้าอก เพราะอาการเหล่านี้อาจบอกได้ว่าลูกน้อยปวดท้องแบบไหนค่ะ เช่น อาการท้องเสียจะทำให้เด็กจะมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย หากมีลมในช่องท้องมาก ลูกน้อยจะมีอาการท้องอืด จุกเสียดร่วมด้วย เป็นต้น และถ้าลูกเป็นไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการปวดท้องรุนแรงบริเวณท้องน้อยด้านขวา อาเจียน มีไข้สูงค่ะ ถ้าลูกมาอาการแบบนี้ควรพบแพทย์ทันทีนะคะ
นอกจากนี้ อาการปวดท้องของเด็ก สามารถแยกออกได้เป็น 2 ชนิด คือ อาการปวดท้องเฉียบพลันและอาการปวดท้องชนิดเรื้อรัง โดยมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

อาการปวดท้องเฉียบพลันในเด็ก
อาการปวดท้องเฉียบพลันในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่มีสาเหตุที่ไม่รุนแรงและไม่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ท้องผูก และการติดเชื้อต่าง ๆ แต่ในบางสาเหตุจำเป็นต้องพบแพทย์โดยด่วนเมื่อเด็กปวดท้องเฉียบพลัน ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบพบมากในเด็กโต ลำไส้กลืนกันส่วนใหญ่พบในเด็กเล็ก และตับอ่อนอักเสบค่ะ รวมถึงโรคที่ทำให้ลูกปวดบิดมาก ๆ คือ เส้นเลือดในลำไส้อักเสบ หรือที่เรียกว่า “Henoch” ค่ะ
อาการปวดท้องเรื้อรังในเด็ก
สาเหตุของอาการปวดท้องเรื้อรังในเด็กไม่ได้เกิดจากโรงทางกาย แต่เกิดจากทางเดินอาหารที่รับความรู้สึกได้ไวกว่าปกติทั้งความเครียด อารมณ์ผิดปกติ หรือจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุลกัน เช่น โรคลำไส้แปรปรวน โรคปวดท้องไมเกรน เป็นต้น แม้ว่าอาการเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อาจส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ ทั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคระบบทางเดินอาหารที่รุนแรง เช่น โรคลำไส้อักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้นค่ะ
เด็กปวดท้องแบบเรื้อรังคุณแม่สามารถสังเกตได้จากอาการของลูกที่มักปวดท้องติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 7-14 วัน ปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง แน่นลิ้นปี่ ทานอาหารได้น้อย หากพ่อแม่พบปัญหาเหล่านี้ควรพาลูกไปพบแพทย์นะคะ
สาเหตุที่ทำให้เด็กปวดท้อง เกิดจากอะไรได้บ้าง?
สาเหตุที่ทำให้เด็กปวดท้องเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ และอาการปวดท้องในเด็กอาจมีระดับความรุนแงที่แตกต่างกัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กปวดท้อง ลูกปวดท้องบิดที่พบได้บ่อย ๆ ในเด็กเล็กและเด็กโต ได้แก่
1. ภาวะโคลิค
อาการที่พบบ่อยในทารก คุณแม่สามารถสังเกตอาการโคลิคของลูกน้อยได้ง่าย ๆ ได้จากอาการเหล่านี้ ได้แก่ ลูกปวดท้องแบบเจ็บแปลบ ท้องอืดเหมือนมีลม ร้องไห้ไม่หยุดชั่วโมงเวลาเดิมทุกวันโดยเฉพาะเวลา 6 โมง ถึง 4 ทุ่ม ลูกร้องหน้าจนหน้าแดง ขางอขึ้นและหดเกร็งค่ะ
2. ท้องอืด
เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการที่เด็กกินนมมากเกินไปหรืออาจเรอได้ไม่เต็มที่ค่ะ ลักษณะอาการของเด็กท้องอืด คือ ท้องจะป่อง ลูกน้อยไม่สบายตัว ร้องไห้โยเย มีการผายลม แหวะนมหรืออาเจียน ถ่ายเหลว บางครั้งมีน้ำมูกร่วมด้วย เมื่อลูกท้องอืดคุณแม่อาจลดปริมาณนมเล็กน้อยพออาการลูกท้องอืดดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาให้นมในปริมาณเท่าเดิมนะคะ
3. โรคกรดไหลย้อนในเด็ก
เป็นการที่กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหาร สังเกตได้จากลูกน้อยมีอาการแหวะนม อาเจียน น้ำหนักตัวขึ้นดี แต่ถ้าลูกน้อยมีอาการอื่นแทรกซ้อนอาจทำให้น้ำหนึกขึ้นช้า อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ผิวซีด กลืนลำบาก หอบหืด ส่วนในเด็กโตจะมีอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ คลื่นไส้ และอาจมีการอาเจียนขึ้นได้
4. โรคท้องร่วงเฉียบพลันในเด็ก
สังเกตได้จากการที่ลูกน้อยถ่ายเหลวกว่าปกติ 3 ครั้งต่อวันขึ้นไป ในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน และอาจมีมูกเลือดปนร่วมกับอาการอื่น เช่น มีไข้ อาเจียน เบื่ออาการ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากลูกน้อยท้องร่วงจนขาดน้ำจะมีอาการปากแห้ง หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา และซึมลงได้ค่ะ
5. การย่อยแลคโตสบกพร่อง
แลคโตส คือ น้ำตาลที่มีมากในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเด็กที่มีภาวะย่อยแลคโตสบกพร่องเกิดจากเซลล์เยื่อบุในลำไส้เล็กสร้างเอนไซม์แลคเตสน้อยลงหรือไม่สร้างเลย เมื่อเด็กกินนมเข้าไปทำให้เกิดอาการแน่นท้องจากแก๊ส ลูกน้อยจึงผายลมบ่อย มีอาการปวดท้องบริเวณสะดือ หรือท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำและมีฟองค่ะ อาการนี้ไม่ใช่การแพ้โปรตีนในนมวัวนะคะ แต่เป็นการแพ้น้ำตาลในนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมค่ะ เช่น น้ำนมแม่ น้ำนมวัว น้ำนมแพะ เป็นต้น หากพ่อแม่สงสัยว่าลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ควรงดให้ลูกน้อยดื่มนมและรีบพบแพทย์นะคะ
6. โรคท้องผูกในเด็ก
เป็นอาการที่ลูกถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และมีอุจจาระแข็งต้องใช้แรงเบ่งมาก สาเหตุมักมาจากพฤติกรรมการกินของลูกน้อยค่ะ เด็กอาจกินนมมากเกินไป ไม่กินอาหารที่มีกากใย และกลั้นอุจจาระจนเคยชิน อาการของเด็กท้องผูก คือ ปวดท้อง แน่นท้อง เด็กปวดท้องเกร็ง หนีบขาหนีบก้น ถ่ายก้อนใหญ่ หรือถ่ายเป็นเม็ดกระสุน รวมถึงเบื่ออาหารเพราะมีอุจจาระมากในลำไส้ใหญ่จนอุจจาระล้นติดกางเกง
7. โรคลำไส้กลืนกัน
เป็นอาการที่พบได้ในเด็กเล็กช่วงอายุระหว่าง 4-12 เดือน ที่มีร่างกายแข็งแรงแต่มีลำไส้เล็กเคลื่อนตัวเข้าไปสู่ลำไส้ใหญ่หรือที่เรียกว่า “ลำไส้กลืนกัน” อาการของเด็กที่เป็นโรคนี้ คือ เด็กปวดท้องรุนแรง ร้องไห้นานผิดปกติถึง 20-30 นาที แล้วหยุด จากนั้นกลับมาร้องไห้ใหม่เป็นพัก ๆ อาเจียนเป็นสีเขียว มีไข้ต่ำ มีอาการซึม ทารกถ่ายเป็นมูกเลือดคล้ายเยลลี่ และอาจมีไข้และน้ำมูกมาก่อนค่ะ
8. โรคไส้ติ่งอักเสบ
เป็นโรคที่อันตรายสำหรับเด็กเป็นอย่างมากเพราะถ้าปล่อยให้เด็กไส้ติ่งแตกจะส่งผลให้หนองแพร่กระจายในช่องท้องจนเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดได้ค่ะ อาการของโรค คือ เด็กจะรู้สึกปวดท้องมากบริเวณตรงกลางรอบ ๆ สะดือ จากนั้นจะปวดบริเวณช่องท้องด้านขวาส่วนล่างเมื่อมีการเคลื่อนไหว ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ต่ำและสูงขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
9. โรคกระเพาะอาหารลำไส้อักเสบในเด็ก
เกิดจากภาวะที่ร่างกายได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) โรต้าไวรัส (Rotavirus) อะดีโนไวรัส (Adenovirus) หรือเชื้อแบคทีเรีย เช่น อีโคไล (E. Coli) ซาลโมเนลลา (Salmonella) เป็นต้น เด็กที่เป็นโรคนี้จะป่วยตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึงสัปดาห์เลยค่ะ ลักษณะอาการคือ เด็กปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว มีไข้ เด็กบางคนอาจมีภาวะขาดน้ำ เกลือแร่และค่ากรดด่างในเลือดผิดปกติร่วมด้วย และในเด็กที่มีอาการรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกได้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที
10. แผลในกระเพาะอาหาร
โรคนี้จะมีอาการคล้ายกับกระเพาะอาหารอักเสบเลยค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ติดเชื้อคนละชนิด ซึ่งก็คือเชื้อ H.pylori เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เด็กปวดท้องรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน ทำให้ลูกปวดท้องตอนกลางคืนจนนอนไม่ได้ ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน แสบร้อนกลางอก เบื่ออาหาร และน้ำหนักตัวลดเลยค่ะ
11. ความเครียด
ภาวะเครียดพบได้ในเด็กโต สาเหตุอาจมาจากครอบครัว เพราะลูกเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน หรือถูกตำหนิบ่อย ๆ หรือมาจากการเลี้ยงดูและความคาดหวังที่มากเกินไป หรือมาจากโรงเรียน เช่น ถูกคุณครูดุ ลงโทษรุนแรง การบ้านเยอะ ถูกเพื่อนแกล้ง ล้อเลียน เป็นต้น เมื่อเด็กมีความเครียดอาจส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยทางกายที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ขาดสมาธิ กินอาหารได้น้อยลง เป็นต้น หากพ่อแม่พบว่าลูกน้อยมีภาวะเครียดควรพาเด็กไปพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจส่งกระทบผลต่อคนรอบข้างและลูกน้อยในอนาคตนะคะ
จากประสบการณ์ของคุณหมอคลินิกเวชศาสตร์ครอบครัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะปวดท้องเมื่อรู้สึกกังวล ซึมเศร้า ถูกกลั่นแกล้ง หรือเข้ากับครูไม่ได้ และมักจะบอกพ่อแม่ว่า “หนูปวดท้อง” ไม่เพียงแค่นั้นเด็กบางคนอาจมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ ปัสสาวะรดกางเกงหรืออุจจาระรดกางเกง และมีอาการท้องผูกเมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกอาย เช่น เด็กรู้สึกไม่สบายใจที่จะใช้ห้องน้ำที่โรงเรียน เพราะห้องน้ำอาจไม่สะอาด หรือถูกเพื่อล้อเลียนเมื่อถ่ายอุจจาระที่โรงเรียน ถูกเพื่อนรบกวนขณะใช้ห้องน้ำ เช่น การแอบดู เป็นต้น

วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อลูกปวดท้อง
เมื่อเด็กปวดท้องพ่อแม่คงกังวลใจไม่รู้ว่าลูกป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่โดยเฉพาะเด็กเล็ก และถ้าลูกน้อยปวดท้องตอนกลางคืนยิ่งทำให้พ่อแม่อดเป็นห่วงไม่ได้ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือการสังเกตอาการของลูกน้อยค่ะ
ลูกปวดท้อง พ่อแม่ดูแลยังไงดี
เมื่อเด็กปวดท้องไม่รุนแรงมาก คุณแม่สามารถใช้ยาบรรเทาอาการเบื้องต้นตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ ควบคู่การปรับพฤติกรรมการกินเพื่อไม่ใช้ลูกน้อยมีอาการปวดท้องกำเริบและอาการรุนแรงขึ้น พร้อมทั้งควรสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิดและให้ลูกกินนมแม่ต่อได้ตามปกติ หากพบว่าลูกยังรู้สึกปวดท้องรุนแรงกดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านขวาและมีไข้สูงร่วมด้วย ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันไม่ให้ลูกปวดท้อง
เมื่อลูกปวดท้องบิด ปวดท้องมาก ๆ มีอาการอาการปวดท้องเฉียบพลันคุณแม่ควรสังเกตอาการของลูกน้อยก่อนไปพบแพทย์ หลังจากนั้นให้ดูแลลูกน้อยตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ลูกหายจากอาการปวดท้อง พร้อมหาวิธีป้องกันไม่ให้ลูกกลับไปป่วยซ้ำอีก คือ
- หากเด็กปวดท้องที่มีสาเหตุจากท้องผูก คุณแม่สามารถป้องกันได้ด้วยการให้ลูกกินผักผลไม้มากขึ้น ดื่มนมให้น้อยลง ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และขับถ่ายเมื่อปวดอุจจาระไม่ควรอั้นการขับถ่าย
- ในเด็กที่มีการปวดท้องเรื้อรังมาก่อน คุณแม่ต้องพยายามปรับพฤติกรรมของลูกน้อยไม่ให้เกิดความเครียดหรือเจอสิ่งกระตุ้น และส่งเสริมให้ทำกิจกรรมอื่นตามปกติ ทานอาหารให้เหมาะสม และควรพบแพทย์เมื่อลูกเด็กปวดท้องนะคะ
อาการปวดท้องแบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอทันที
เมื่อเด็กปวดท้อง ลูกปวดท้องบิด คุณแม่ต้องคอยสังเกตว่าอาการปวดท้องของลูกน้อยมีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น อาการอาเจียน ถ่ายเหลว มีไข้หรือไม่ เป็นต้น เด็กปวดท้องแบบไหน ลูกบวดบิดรุนแรง ปวดเป็นพัก ๆ เป็น ๆ หาย ๆ หรือว่าปวดไม่รุนแรง ปวดนานแค่ไหน ลูกน้อยปวดท้องตอนกลางคืนหรือเปล่า และปวดท้องจากการประสบอุบัติเหตุหรือไม่ เช่น การกระทบกระแทก เป็นต้น หากพ่อแม่พบว่าลูกมีอาการปวดท้องดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์ด่วน
อาการเด็กปวดท้องเฉียบพลันที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่
- เด็กปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณท้องด้านล่าง
- ไข้สูงร่วมกับอาเจียนหลายครั้งจนร่างกายอ่อนเพลีย
- อาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีเขียว
- ขับถ่ายเป็นเลือด
- ไม่ยอมกินอาหารหรือกินน้ำ
- ปัสสาวะน้อยผิดปกติ
- เด็กซึมหรือการรับรู้ลดน้อยลง
ส่วนอาการเด็กปวดท้องชนิดเรื้อรังที่ควรพาลูกไปหาหมอ คือ
- เด็กปวดท้องด้านขวา
- กลืนลำบาก
- คลื่นไส้อาเจียนต่อเนื่อง
- ถ่ายอุจจาระเหลวตอนกลางคืนทำให้ลูกน้อยปวดท้องตอนกลางคืน
- ถ่ายมีมูกเลือดปน มีแผลที่ทวารหนัก
- น้ำหนักตัวลด
- มีไข้เรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ
- ลูกน้อยเติบโตได้ช้า
แม้อาการเด็กปวดท้อง ลูกปวดท้องบิดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่การดูแลลูกรักด้วยโภชนาการที่เหมาะสมก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงลูกป่วยคุณแม่ควรให้ลูกกินนมแม่อย่างต่อเนื่องเพราะในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยคุณค่ามากมายกว่า 200 ชนิด เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ ไขมัน และโอเมก้า 3,6,9 (Omega 3,6,9) และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทรวดเร็วยิ่งขึ้น ลูกจึงเรียนรู้ไว และจดจำได้ดี เพราะเด็กเจนใหม่ สร้างสมองไว ได้มากกว่าที่แม่คิด
บทความที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง:
- อาการปวดท้องในเด็ก ปวดแบบไหนบอกโรคอะไร ?, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- ปวดท้องในเด็กเกิดจากสาเหตุอะไรบ้างนะ?, โรงพยาบาลพญาไท
- อาการปวดท้องในเด็กที่ควรพามาพบแพทย์ทันที, โรงพยาบาลสินแพทย์
- โรคทางเดินอาหารและปัญหาโภชนาการ, ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
- ลูกปวดท้อง เรื่องธรรมดา.. ที่บางครั้งก็ร้ายแรงถึงชีวิต, โรงพยาบาลเปาโล
- โรคระบบทางเดินอาหารและโภชนาการในเด็ก, โรงพยาบาลยันฮี
- มารู้จักกับโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบกันเถอะ, โรงพยาบาลปิยะเวท
- ใครว่าเด็กเครียดไม่เป็น ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด, โรงพยาบาลมนารมย์
- ภาวะโคลิก (Colic), โรงพยาบาลเมดพาร์ค
- Stress and Stomachaches: A Doctor's Insight Into Your Child’s Tummy Troubles, valleyhealth
อ้างอิง ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2568