ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย วิธีดูแลเมื่อลูกถ่ายเหลว มีไข้
ลูกท้องเสียมา 2 วันแล้วค่ะ แต่ไม่มีไข้ ไม่ซึม ยังเล่นได้ปกติ แบบนี้ต้องไปหาหมอไหมคะ?
สามารถสังเกตอาการที่บ้านได้ค่ะ โดยทั่วไป อาการท้องเสียมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากลูกยังถ่ายเหลวต่อเนื่องเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรังค่ะ
นอกจากเชื้อโรคแล้ว มีสาเหตุอื่นที่คาดไม่ถึงที่ทำให้ลูกท้องเสียได้อีกไหมคะ?
มีแน่นอนค่ะ บางครั้งเราอาจมองข้ามปัจจัยเหล่านี้ไป เช่น รับประทานอาหารรสจัด หรืออาหารที่ระคายเคืองทางเดินอาหาร แพ้อาหารบางชนิด โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ความผิดปกติในการดูดซึมอาหาร หรือการดื่มน้ำผลไม้มากเกินไป เป็นต้น
ฟันขึ้นทำให้ลูกท้องเสียจริงหรือไม่?
องค์กร American Academy of Pediatrics ระบุว่า ฟันขึ้นไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของอาการท้องเสียค่ะ อาการท้องเสียในช่วงฟันขึ้น มักจะเกิดจากสาเหตุอื่นที่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงวัยนั้น เช่น เมื่อลูกฟันขึ้นมักจะหยิบของเข้าปากเพื่อกัดหรือดูดบรรเทาอาการคันเหงือก จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้นั่นเอง
สรุป
- อาการที่บอกว่า ทารกท้องเสีย ได้แก่ ถ่ายเหลวใส 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน มีน้ำมากกว่ากากอุจจาระ หรือถ่ายเป็นมูกเลือด มีอาการ ปวดท้อง งอแง ซึม ไม่ร่าเริง กินอาหารได้น้อยลง อาจมีไข้และอาเจียนร่วมด้วย
- อาการทารกท้องเสีย เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อไวรัสโรต้า ติดเชื้อโนโรไวรัส ติดเชื้อแบคทีเรีย แพ้อาหาร แพ้แลคโตส และผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เป็นต้น
- หากลูกท้องเสีย ควรให้ลูกดื่มนมแม่บ่อย ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและพลังงาน หากลูกเริ่มกินอาหารตามวัยแล้ว ให้เน้นอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ห้ามซื้อน้ำเกลือแร่ หรือยาบรรเทาอาการท้องเสีย มาให้ลูกกินเองโดยเด็ดขาด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- ทารกท้องเสียอาการที่ต้องรีบไปพบแพทย์ ได้แก่ ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 10 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง ลูกดูซึม อ่อนเพลีย กระวนกระวาย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ริมฝีปากแห้งมาก ตาโหล ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งแสดงถึงภาวะขาดน้ำ และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน เป็นต้น
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย สังเกตอย่างไรว่าลูกกำลังท้องเสีย?
- ลูกท้องเสียเกิดจากอะไร? รวมสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กทารก
- วิธีดูแลลูกท้องเสียเบื้องต้นที่บ้าน สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
- ลูกท้องเสียให้กินอะไรดี? การดูแลเรื่องอาหารและนมสำหรับทารก
- สัญญาณอันตราย! ลูกท้องเสียแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
- วิธีป้องกันทารกท้องเสีย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อในอนาคต
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการทารกท้องเสียของลูกน้อย
ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย สังเกตอย่างไรว่าลูกกำลังท้องเสีย?
คุณแม่หลายท่านอาจสับสนระหว่าง ลูกถ่ายเหลว กับ ลูกท้องเสีย ซึ่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันค่ะ เรามาสังเกตลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย อาการแบบไหนที่เรียกว่า "ท้องเสีย" เพื่อให้คุณแม่สามารถรับมือได้อย่างถูกต้องค่ะ
ลูกท้องเสีย VS ลูกถ่ายเหลว เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
ความแตกต่างระหว่าง ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย กับทารกถ่ายเหลวนั้น อาจดูเหมือนว่าแยกกันได้ยาก แต่จริง ๆ มีความแตกต่างที่สามารถแยกได้ เช่น อุจจาระทารกที่ถ่ายเหลวแต่ไม่ท้องเสียจะมีกากใยปนมามากกว่า ในขณะที่ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย จะมีน้ำมากกว่ากากใย และในบางกรณีก็อาจจะมีมูกเลือดปนมาในอุจจาระทารกท้องเสียด้วย
อาการแบบไหนที่เรียกว่า "ท้องเสีย”
ทารกท้องเสียอาการเป็นแบบไหน ที่คุณแม่ควรเริ่มสังเกตเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการท้องเสีย ได้แก่
- ถ่ายเหลวและถ่ายบ่อยกว่าปกติ ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสีย สังเกตได้จาก ลูกถ่ายเหลวใส 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน มีน้ำมากกว่ากากใย หรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งหรือมากกว่า
- พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ปวดท้อง งอแง มีอาการซึม ไม่ร่าเริง กินอาหารได้น้อยลง
- อาการอื่น ๆ ที่พบร่วม อาจมีไข้และอาเจียนร่วมด้วย หากเกิดจากไวรัสโรต้า อาจมีอาการอาเจียนอย่างหนักร่วมด้วย
หากลูกมีอาการเหล่านี้ร่วมกัน คุณแม่ควรเฝ้าระวังและดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ

ลูกท้องเสียเกิดจากอะไร? รวมสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กทารก
อาการทารกท้องเสีย สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งการได้รับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่
1. ติดเชื้อไวรัสโรต้า
เด็กทารกท้องเสีย จากการติดเชื้อไวรัสโรต้า (Rota virus) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงในเด็กทารกและเด็กเล็ก โดยพบได้มากสุดในเด็กช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 ปีค่ะ ไวรัสโรต้า อาจเข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารที่มีเชื้อไวรัสโรต้าปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร หรือจากการจับสิ่งของ เช่น ของเล่นเด็ก หรือเอามือสกปรกเข้าปาก ซึ่งหลังจากได้รับเชื้อ 1-3 วัน จะมีอาการคลื่นไส้ มีไข้ ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำ ท้องเสียรุนแรงจนอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
2. ติดเชื้อโนโรไวรัส
เด็กทารกท้องเสีย จากการติดเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus) เชื้อที่ก่อให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีความสามารถในการระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อ หรือผ่านการสัมผัสสิ่งของปนเปื้อนแล้วนำนิ้วเข้าปากค่ะ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายภายใน 24-48 ชั่วโมง ลูกจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดท้อง ปวดศีรษะ และอาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย
3. ติดเชื้อแบคทีเรีย
การติดเชื้อแบคทีเรียก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ โดยเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) และ เชื้ออีโคไล (E. coli) ซึ่งมักปนเปื้อนมากับอาหารที่ไม่สุก เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ และไข่ เมื่อเด็กได้รับเชื้อจะทำให้มีอาการท้องเสียรุนแรงได้ค่ะ
4. แพ้อาหาร
ในเด็กที่กินนมผง อาจเกิดอาการแพ้โปรตีนนมวัว ทำให้เด็กท้องเสียเรื้อรัง และถ่ายมีมูกปนเลือดได้ นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ใบหน้าและปากบวมแดง มีผื่นลมพิษ หรืออาเจียนมาก การแพ้โปรตีนนมวัวอาจไม่ได้แสดงอาการทันทีที่ดื่ม แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการหลังจากดื่มนมไปแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในขณะที่เด็กกินนมแม่อาจแพ้โปรตีนนมวัวผ่านน้ำนมแม่จากอาหารที่แม่ทานได้เช่นกัน
หากไม่แน่ใจกับอาการที่เกิดขึ้น ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลพบคุณหมอเพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสมนะคะ
5. แพ้แลคโตส
แลคโตส (Lactose) คือ น้ำตาลในนม ซึ่งร่างกายเด็กบางคนอาจไม่สามารถดูดซึมแลคโตสได้ แบคทีเรียในลำไส้จะเปลี่ยนแลคโตสให้เป็นแก๊ส ทำให้เด็กที่แพ้แลคโตสมีอาการ ท้องอืด มีแก๊สมาก และถ่ายเหลว อาการแพ้แลคโตสโดยส่วนใหญ่มักถ่ายทอดทางพันธุกรรมในครอบครัว
6. ผลข้างเคียงของยาบางชนิด
ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องเสียเล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่อาการแพ้ยา ผลข้างเคียงเหล่านี้พบได้ในยาปฏิชีวนะ ยาต้านมะเร็ง และยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
วิธีดูแลลูกท้องเสียเบื้องต้นที่บ้าน สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
เมื่อลูกน้อยมีอาการท้องเสีย เบื้องต้นสามารถดูแลและสังเกตอาการที่บ้านได้ ซึ่งคุณแม่ควรรู้วิธีดูแลที่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อลูกท้องเสีย ดังนี้
สิ่งที่ควรทำ
- หมั่นสังเกตอาการ หากไม่ดีขึ้น เช่น ลูกยังถ่ายเหลวต่อเนื่องเกิน 3 วัน หรือถ่ายเหลวเป็นน้ำมากกว่ากากอุจจาระเกิน 10 ครั้งต่อวัน ควรพาลูกไปพบแพทย์นะคะ
- สำหรับเด็กที่ยังดื่มนมแม่อยู่ สามารถดื่มนมแม่ได้ตามปกติ เพราะในน้ำนมแม่ มีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรงต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งยังมีจุลินทรีย์สุขภาพที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสุขภาพทางเดินอาหารอีกด้วย
- หากลูกดื่มนมผง ให้ชงนมในสัดส่วนเท่าเดิม โดยให้ดื่มแต่ละมื้อน้อยลง แต่ถี่ขึ้น หากอาหารไม่ดีขึ้นใน 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการสำหรับเด็กท้องเสีย
- หากลูกอยู่ในวัยที่เริ่มทานอาหารตามวัย ควรให้ลูกรับประทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย เพื่อให้ลำไส้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ง่าย ควรงดน้ำผลไม้ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงด้วยค่ะ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ขาดการดูแลความสะอาดมือของลูก ทั้งหลังเข้าห้องน้ำ ก่อนกินข้าว และความสะอาดของสภาพแวดล้อม อุปกรณ์ เช่น ขวดนม จุกนม และของใช้ต่าง ๆ ของลูก
- ทานอาหารที่กระตุ้นให้อาการท้องเสียแย่ลง เช่น อาหารไขมันสูง กากใยสูง ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
ลูกท้องเสียให้กินอะไรดี? การดูแลเรื่องอาหารและนมสำหรับทารก
เนื่องจากทารกมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ง่ายเมื่อท้องเสีย คุณแม่จึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นพิเศษ ควรให้ลูกดื่มนมแม่บ่อย ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและพลังงาน ห้ามซื้อน้ำเกลือแร่ หรือยาบรรเทาอาการท้องเสียใด ๆ มาให้ทารกกินเองโดยเด็ดขาด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ นอกจากนี้ ให้คอยสังเกตอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ลิ้นแห้ง ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้ม ง่วงซึม ตาโหล แก้มตอบ เป็นต้น หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันทีค่ะ

ลูกท้องเสีย ควรกินอะไรดีที่ปลอดภัย?
การดูแลเรื่องอาหารและน้ำอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ลำไส้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และป้องกันภาวะขาดน้ำได้ค่ะ ลูกท้องเสียให้กินอะไรดีที่ปลอดภัย คุณแม่สามารถดูแลลูกได้ดังนี้
- เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย: หากลูกเริ่มกินอาหารตามวัยแล้ว ให้เลือกอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุป ควรป้อนทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และที่สำคัญ ควรงดน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะยิ่งทำให้ลูกท้องเสียมากขึ้นค่ะ
- จิบน้ำเกลือแร่ (ORS): ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เกี่ยวกับการให้ลูกจิบน้ำเกลือแร่สำหรับเด็ก (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป ในปริมาณที่เหมาะสมโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- หลีกเลี่ยงยาหยุดถ่าย: ไม่ควรให้ลูกกินยาหยุดถ่ายเด็ดขาด เพราะยาจะไปกักเก็บเชื้อโรคไว้ในลำไส้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายและทำให้เชื้อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ค่ะ
สัญญาณอันตราย! ลูกท้องเสียแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
ลูกท้องเสีย คุณพ่อคุณแม่ย่อมกังวลใจ มาเช็กอาการท้องเสียของลูกน้อยเบื้องต้นว่า แบบไหนบ่งบอกถึงภาวะที่ต้องรีบไปพบแพทย์ อาการท้องเสียแบบไหนที่ไม่ควรรอช้า เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีกันค่ะ
1. กลุ่มเด็กเล็กและเด็กมีภาวะเสี่ยงสูง
คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจเป็นพิเศษหากอาการทารกท้องเสียเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กที่มีภาวะเสี่ยงสูง
- ทารกแรกเกิดถึง 1 เดือน: หากมีอาการท้องเสีย 3 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชั่วโมง ควรรีบพบแพทย์
- เด็กที่มีโรคประจำตัว: รวมถึงผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หรือ โรคไต
- เด็กที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดรูปเคียว, HIV, มะเร็ง, ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ, หรือผู้ที่กำลังรับประทานยาสเตียรอยด์
2. อาการที่แสดงถึงภาวะขาดน้ำรุนแรง
เมื่อลูกท้องเสียและเริ่มมีอาการขาดน้ำรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา โดยสัญญาณที่สังเกตได้มีดังนี้
- กระหายน้ำมาก และ/หรือ อาเจียนมาก
- อาการขาดน้ำที่ชัดเจน: ลูกดูซึม อ่อนเพลีย กระวนกระวาย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ริมฝีปากแห้งมาก ตาโหล
- การขับถ่ายปัสสาวะ: ไม่ปัสสาวะนานเกิน 8 ชั่วโมง หรือปัสสาวะที่ออกมามีสีเข้มมาก
3. ลักษณะอุจจาระที่ผิดปกติ
ลักษณะอุจจาระทารกท้องเสียที่เปลี่ยนแปลงไปและมีความรุนแรงถือเป็นสัญญาณที่ต้องได้รับการใส่ใจอย่างเร่งด่วน ดังนี้
- ถ่ายเหลวรุนแรงและปริมาณมาก: ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ มากกว่า 10 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง และในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 5-8 ครั้ง
- ถ่ายเป็นมูกเลือด: ตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรง
4. อาการร่วมอื่น ๆ
นอกเหนือจากภาวะขาดน้ำและลักษณะอุจจาระทารกท้องเสียที่ผิดปกติแล้ว หากลูกมีอาการร่วมดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการทันที
- มีไข้สูง: ลูกน้อยตัวร้อน มีไข้สูงกว่า 40° C
- มีไข้ในทารกอายุน้อยกว่า 12 สัปดาห์: ควรพามาพบแพทย์ทันที และ ห้ามให้ยาลดไข้แก่ทารก ก่อนเข้ารับการตรวจ
- ปวดท้อง: มีอาการปวดท้องนานต่อเนื่องกว่า 2 ชั่วโมง
- อาเจียนซ้ำ: มีอาการอาเจียน 3 ครั้งขึ้นไป
นอกจากนี้ หากคุณแม่รู้สึกว่า ลูกดูป่วยมาก หรือคุณแม่มีความกังวลและคิดว่าลูกจำเป็นต้องได้รับการตรวจฉุกเฉิน ก็ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการค่ะ
วิธีป้องกันทารกท้องเสีย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อในอนาคต
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยท้องเสีย ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี คุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยด้วยวิธีง่าย ๆ ได้ดังนี้ค่ะ
1. เลี้ยงลูกด้วยนมแม่:
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นการส่งเสริมให้ร่างกายลูกมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมาก ๆ ค่ะ เพราะนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน และแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) รวมถึงยังมีสารภูมิคุ้มกันและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น จุลินทรีย์สุขภาพ บี แล็กทิส (B. lactis) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุลินทรีย์สุขภาพในกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) และยังเป็นโพรไบโอติกที่สามารถส่งต่อเพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยได้อีกด้วยค่ะ โดยองค์การอนามัยโลก แนะนำให้นมแม่อย่างเดียวเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
2. ทานอาหารและดื่มน้ำที่สะอาดปลอดภัย
อาหารที่เตรียมให้ลูกต้องปรุงสุกใหม่และผ่านความร้อนเพียงพอ น้ำดื่มต้องสะอาด ผ่านการกรองหรือต้มสุกแล้วเท่านั้น และหลีกเลี่ยงน้ำแข็งที่มาจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด เก็บอาหารที่อาจเน่าเสียได้ง่ายในตู้เย็นเสมอ และไม่ควรทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็นนานเกินไป
3. ล้างมือและดูแลของใช้ให้สะอาด:
ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด ก่อนและหลังทานอาหาร หรือหลังเข้าห้องน้ำ พกเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือเมื่อไม่มีน้ำสะอาด รวมถึงทำความสะอาดอุปกรณ์ ของใช้ต่าง ๆ เช่น ขวดนมและจุกนมอย่างถูกวิธี
4. รับวัคซีน:
การพาลูกไปรับวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค รวมถึง วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้า ช่วยลดความรุนแรงจากอาการท้องเสียได้ค่ะ ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันลูกท้องเสีย เป็นแบบหยอด มี 2 ชนิด ชนิดหยอด 2 ครั้ง เมื่อลูกอายุ 2 และ 4 เดือน และชนิดหยอด 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือนค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการทารกท้องเสียของลูกน้อย
คุณแม่คงกังวลใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะเวลาที่ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ท้องเสีย เพราะนอกจากอาการที่ทำให้ลูกไม่สบายตัวแล้ว ยังแอบห่วงเรื่องภาวะขาดน้ำอีกด้วย มาดูกันค่ะว่าคำถามที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง
ลูกท้องเสียกี่วันหาย?
ท้องเสีย คืออาการถ่ายเหลวเป็นน้ำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน โดยทั่วไปอาการท้องเสียแบบเฉียบพลันมักจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน ซึ่งหากท้องเสียเกิน 3 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์นะคะ และส่วนใหญ่อาการท้องเสียต่อเนื่องไม่ควรเกิน 14 วัน
ยาแก้ท้องเสีย เด็กกินได้ไหม?
เมื่อลูกมีอาการท้องเสีย คุณหมอจะไม่แนะนำให้กินยาหยุดถ่าย เพราะการถ่ายอุจจาระเป็นการช่วยขับเชื้อโรคออกจากร่างกายค่ะ การให้ยาแก้ท้องเสียนั้นต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของคุณหมอเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรซื้อยาแก้ท้องเสียมาให้ลูกกินเองโดยเด็ดขาดนะคะ วิธีที่ดีที่สุดเมื่อเด็กทารกท้องเสีย ควรรีบพาไปโรงพยาบาลค่ะ
ลูก 1 ขวบท้องเสียมีไข้ เกิดจากอะไร?
อาการนี้มักเกิดจาก โรคท้องเสียที่มีการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ ไวรัสโรต้า (Rotavirus) ซึ่งมักจะเริ่มด้วยอาการอาเจียนนำ ตามมาด้วยถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางครั้งอาจถ่ายมากจนก้นแดง และมีไข้ร่วมด้วย ลูกท้องเสียจากไวรัสโรต้า มักจะมีอาการรุนแรงกว่าเชื้ออื่น สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากในเด็กเล็ก หากลูกอาเจียนมากจนกินอะไรไม่ได้ หรือถ่ายมากจนร่างกายขาดน้ำ สังเกตได้จากอาการหิวน้ำ ปากแห้ง ตาโบ๋ กระวนกระวาย หรือซึมลง อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที
เด็กทารกท้องเสีย เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้ หากสังเกตลักษณะอุจจาระทารกท้องเสียแล้วเห็นอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ถ่ายเหลวเกิน 10 ครั้งต่อวัน หรือ ถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไป ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องนะคะ ไม่ควรซื้อยาแก้ท้องเสีย รวมทั้งผงเกลือแร่ ให้ลูกกินเองเด็ดขาด ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ การให้ลูกได้รับวัคซีนตามกำหนด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- Health check แบบประเมินสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของลูกน้อย
- ทารกตัวเหลือง เกิดจากอะไร พร้อมวิธีดูแลทารกตัวเหลือง
- สายสะดือทารก สะดือใกล้หลุดเป็นแบบไหน พร้อมวิธีทำความสะอาด
- วิธีห่อตัวทารกที่ถูกต้อง ให้ลูกน้อยสบายตัว เหมือนอยู่ในท้องแม่
- สีอุจจาระทารก ลักษณะอุจจาระทารกปกติเป็นแบบไหน
อ้างอิง:
- 6 วิธีรับมือเมื่อลูกท้องเสีย, โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ
- ท้องเสีย, โรงพยาบาลเมดพาร์ค
- Does My Baby Have Teething Diarrhea?, healthline
- ลูกน้อยท้องเสียบ่อย ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก, โรงพยาบาลบางปะกอก 3
- รู้ได้อย่างไรว่าลูกแพ้นมวัว, โรงพยาบาลนครธน
- ท้องเสียไม่ใช่เรื่องเล่น ! เจาะลึกสาเหตุ พร้อมวิธีเคล็ดลับแก้ท้องเสีย, Rama Channel
- โนโรไวรัส (Norovirus) ตัวการท้องเสียระบาดในเจ้าตัวเล็ก, โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่
- ไวรัสโรต้า (Rotavirus infection) – โรคอุจจาระร่วงในเด็ก, โรงพยาบาลวิภาวดี
- Diarrhea (0-12 Months), Seattle Children’s Hospital
- แยกให้ออก! ขับถ่ายแบบไหนเรียก “ท้องเสีย” ก่อนนำไปสู่ภาวะช็อก, โรงพยาบาลพญาไท 2
- Diarrhea in Babies, WebMD
- อย่าปล่อยให้ร่างกายอยู่ใน… “ภาวะขาดน้ำ”, โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์
- “ท้องร่วงในเด็ก” เป็นแค่ไหนถึงต้องพามาหาหมอ, โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน
- อุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า (Rotavirus), สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
อ้างอิง ณ วันที 23 พฤศจิกายน 2568