
ตารางกินนมทารก เด็กแรกเกิดถึง 1 ปีกินนมกี่ออนซ์? ปริมาณเท่าไหร่
คำถามที่พบบ่อย
จำเป็นต้องปลุกลูกขึ้นมากินนมตามตารางเป๊ะ ๆ หรือไม่?
ในช่วงแรกเกิด ลูกควรได้รับนมทุก 2 - 3 ชั่วโมง เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายแม่เริ่มสร้างน้ำนม และลูกยังต้องการพลังงานบ่อยครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจทำให้ลูกอ่อนแรง ซึม หรือขาดพลังงานได้ นอกจากนั้นแล้ว การดูดนมยังช่วยกระตุ้นให้ขับสารเหลืองออกทางอุจจาระ หากปล่อยให้ลูกหลับยาวโดยไม่ได้ดูดนม อาจทำให้สารเหลืองสะสมจนตัวเหลืองมากขึ้นและเป็นอันตรายต่อสมองและกระตุ้นให้เกิดการชักได้ค่ะ ดังนั้นจึงควรปลุกลูกมากินนมตามตารางอย่างสม่ำเสมอค่ะการปลุกลูกให้กินนมตามช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นการช่วยดูแลสุขภาพและการเจริญเติบโตของลูกในช่วงแรกเกิดค่ะ เมื่อโตขึ้น ให้สังเกตสัญญาณของลูกเป็นหลัก หากลูกโตพอที่จะดื่มนมจนอิ่มในช่วงกลางวัน และมีพัฒนาการดีตามเกณฑ์ ก็อาจปล่อยให้นอนยาวขึ้นได้
ถ้าลูกแหวะนมหลังกินอิ่ม เป็นอาการ Over breastfeeding เสมอไปไหม?
ไม่เสมอไปค่ะ เพราะอาการแหวะหลังกินนม เป็นสิ่งที่พบได้ในทารกแรกเกิดจนถึงช่วงก่อนอายุ 3 เดือน และมักค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อเด็กโตขึ้นประมาณ 3 - 12 เดือน สาเหตุเกิดจากหลังกินนม น้ำนมจะไหลผ่านหลอดอาหารลงสู่กระเพาะ ซึ่งปกติจะมีหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำหน้าที่เปิดปิดไม่ให้นมไหลย้อนกลับ แต่ในวัยทารก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิด กลไกนี้ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ จึงทำให้น้ำนมบางส่วนไหลย้อนขึ้นมาและเกิดอาการแหวะนมได้ค่ะ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยรอบตัวที่กระตุ้น เช่น การนอนหงายและงอท้องนาน ท้องอืด ดูดนมเร็วหรือมากเกินไป รวมถึงท่าอุ้มหลังกินนมที่ไม่เหมาะสม
ลูกกินนมจากเต้า จะรู้ปริมาณเป็นออนซ์ได้อย่างไร?
เมื่อลูกดูดนมจากเต้าโดยตรง เราไม่สามารถวัดปริมาณน้ำนมเป็นออนซ์ได้เหมือนนมขวด แต่คุณแม่สามารถประเมินความเพียงพอของน้ำนมและรู้ปริมาณว่าเด็กแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์จากสัญญาณต่าง ๆ ได้ โดยให้ลูกสลับดูดทั้ง 2 เต้า ข้างละ 10 - 15 นาที และในมื้อต่อไปเริ่มจากข้างที่ลูกดูดครั้งสุดท้ายของมื้อก่อน เพื่อให้ได้รับนมอย่างสมดุล ขณะดูดนม หากน้ำนมไหลจากอีกข้างด้วย และลูกสามารถนอนหลับต่อเนื่อง 2 - 3 ชั่วโมงหลังดูด แสดงว่าน้ำนมเพียงพอ สุดท้าย การติดตามน้ำหนักตามนัดของคุณหมอสามารถช่วยยืนยันว่าลูกเจริญเติบโตดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนค่ะ
สรุป
- ตารางให้นมทารกและปริมาณนมที่ทารกควรได้รับจะแตกต่างตามช่วงอายุ น้ำหนักตัว และความต้องการของร่างกาย โดยทารกแรกเกิดเริ่มจากปริมาณเล็กน้อย ตั้งแต่ 1 - 1.5 ออนซ์ต่อครั้งในเดือนแรก และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโต จนถึง 6 - 8 ออนซ์ต่อครั้งในช่วง 6 -12 เดือน พร้อมปรับความถี่และเพิ่มอาหารเสริมตามวัย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมกับการเจริญเติบโต
- การสังเกตพฤติกรรมและอาการของลูกช่วยให้คุณแม่มั่นใจว่าเขาได้รับนมแม่เพียงพอ อิ่มพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพโดยรวม การทำความเข้าใจตารางให้นมทารก จะช่วยให้คุณแม่สามารถประเมินความต้องการนมในแต่ละมื้อได้อย่างเหมาะสม สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าลูกได้รับนมเพียงพอ ได้แก่ เต้านมแม่รู้สึกนุ่มหลังให้นม ลูกดูดนมสงบ มีเสียงกลืนนมเป็นระยะ ปัสสาวะสีเหลืองใส น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามวัย และมีสุขภาพแข็งแรงกระฉับกระเฉง
- การให้นมลูกควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากได้รับนมมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อภาวะ Overfeeding ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและการย่อยของลูกได้ ภาวะ Overfeeding คือภาวะที่ทารกรับนมเกินความต้องการจนระบบย่อยอาหารทำงานหนัก ทำให้ท้องแน่น อึดอัด หรือแหวะนมออกได้ อาการที่สังเกตได้ ได้แก่ อาเจียน แหวะนม ท้องป่อง ร้องไห้งอแง ไม่ยอมดูดนมหรือดูดน้อยลง และน้ำหนักเพิ่มเร็วเกินปกติ การปรับตารางการให้นมและปริมาณนมทารกที่เหมาะสม จะช่วยให้ลูกสบายท้อง ลดปัญหาแหวะนมซ้ำ ๆ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้
- ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ ทารกควรดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน และต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น นมแม่อุดมด้วยสารอาหารครบถ้วน วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ภูมิคุ้มกันจากแม่ และแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยระบบย่อยอาหารและเสริมภูมิคุ้มกัน การให้นมแต่ละครั้งอาจใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที คุณแม่ควรสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกดูดนมได้ถูกวิธี เช่น ลูกอ้าปากกว้าง ลานหัวนมด้านบนเห็นชัด และคางแนบชิดเต้านม การทำความเข้าใจตารางกินนมทารก รวมถึงการเรียนรู้วิธีปั๊มนมและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมสด สะอาด มีคุณค่าครบถ้วน และยังส่งเสริมสายใยรักระหว่างแม่และลูกด้วยค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เด็กแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์? ตารางกินนมทารกแรกเกิดถึง 1 ปี
- วิธีสังเกตสัญญาณจากลูกน้อย หิว อิ่ม หรือยังไม่พอ?
- ภาวะกินนมมากเกินไป (Overfeeding) คืออะไร
- เคล็ดลับการให้นมลูก และการปั๊มนมเก็บอย่างถูกวิธี
เด็กแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์? ตารางกินนมทารกแรกเกิดถึง 1 ปี
ปริมาณนมและตารางให้นมทารกที่ควรได้รับต่อวันจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ น้ำหนักตัว และความต้องการของร่างกาย โดย ทารกแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์ มักเริ่มจากปริมาณเล็กน้อย และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโต ซึ่งปริมาณนมที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุของลูกเป็นดังนี้ค่ะ
ปริมาณนมทารกที่เหมาะสมตามวัย เด็กแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์
- วันแรกหลังคลอด ควรให้ลูกดูดนมแม่ทันที ปริมาณเล็กน้อยเพียงประมาณ 1 ช้อนชา หรือราว 5 ซีซี วันละ 8 - 10 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมและให้ลูกได้สารอาหารสำคัญ
- วันที่ 2 ให้ต่อเนื่องเช่นเดียวกับวันแรก ทั้งปริมาณและความถี่
- ตั้งแต่วันที่ 3 จนถึงอายุครบ 1 เดือน ลูกจะเริ่มกินได้มากขึ้น ราว 1 - 1.5 ออนซ์ต่อครั้ง วันละ 8 - 10 ครั้ง
- อายุ 1 เดือน ปริมาณนมจะเพิ่มเป็นประมาณ 2–4 ออนซ์ต่อครั้ง ลดความถี่ลงเหลือวันละ 7 - 8 ครั้ง
- อายุ 2 - 6 เดือน สามารถให้ 4 - 6 ออนซ์ต่อครั้ง วันละ 5 - 6 ครั้ง
- อายุ 6 - 12 เดือน ให้เพิ่มเป็น 6 - 8 ออนซ์ต่อครั้ง วันละ 4 - 5 ครั้ง ควบคู่กับอาหารตามวัย
- หลังอายุ 1 ขวบ ให้ 6 - 8 ออนซ์ต่อครั้ง วันละ 3 - 4 ครั้ง หลังมื้ออาหารหลัก เพื่อเสริมสารอาหารและพัฒนาการ

วิธีสังเกตสัญญาณจากลูกน้อย หิว อิ่ม หรือยังไม่พอ?
ทารกยังไม่สามารถสื่อความต้องการได้ด้วยตัวเอง การสังเกตพฤติกรรมและอาการของลูกจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้มั่นใจว่าเขาได้รับสารอาหาร และปริมาณนมอย่างเพียงพอ อิ่มพอดีตามความต้องการ ร่างกายเจริญเติบโตอย่างสมดุล และลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ การสังเกตอย่างใกล้ชิดยังช่วยให้คุณแม่ปรับเวลาของตารางกินนมทารกและปริมาณมื้ออาหารให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของลูก
วิธีสังเกตเมื่อทารกหิวนม
การสังเกตว่าลูกน้อยหิวนมหรือกินอิ่ม ช่วยให้มั่นใจว่าลูกได้รับสารอาหาร และปริมาณนมทารกครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพโดยรวมของลูก
อาการบ่งบอกว่าลูกน้อยเริ่มหิวนม
- เอียงตัวหันเข้าหาหน้าอกแม่หรือขวดนม
- หันศีรษะไปทางสิ่งที่แตะถูกแก้ม
- เริ่มงอแง หรือเอามือรวมถึงสิ่งอื่นเข้าปาก
- ดูดมือหรือนิ้วของตัวเอง
- อ้าปาก แลบลิ้น หรือเม้มริมฝีปาก
- กำมือแน่น
- ขยับแขนขาไปมา
- ทำเสียงดูดนม หรือเม้มปากเลียริมฝีปาก
- ดูตื่นตัวและเคลื่อนไหวมากขึ้น
อาการบ่งบอกว่าทารกกินนมอิ่มแล้ว
- หันหน้าหนีจากเต้านมหรือขวดนม
- เม้มปากปิด ไม่ยอมดูดต่อ
- มือที่เคยกำเริ่มคลายออก
- ดูสงบและผ่อนคลายขณะหรือหลังให้นม
- หยุดดูดนมเองเมื่อกินเพียงพอ
- ริมฝีปากชุ่มชื้นหลังการดูดนม
- มีสีหน้าพอใจ อิ่มเอม หลังการให้นมเกือบทุกครั้ง
วิธีสังเกตว่าทารกได้รับนมแม่เพียงพอหรือไม่
การสังเกตว่าลูกได้รับนมแม่เพียงพอเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้ลูกได้รับปริมาณนมทารกที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของลูก เรามาดูกันค่ะว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่ช่วยให้คุณแม่รู้ว่าลูกกินอิ่มอย่างเพียงพอ
สัญญาณจากคุณแม่
- เต้านมแม่ที่เคยคัดตึง จะรู้สึกนุ่มลงหลังให้นม
- ขณะลูกดูดนมจากเต้า อีกข้างมักจะมีน้ำนมไหลซึมออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณตามธรรมชาติว่าร่างกายมีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูก
สัญญาณจากลูกน้อย
- ดูดนมแล้วสงบ ไม่งอแง
- หลังดูดนม นอนหลับประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง
- ได้ยินเสียงกลืนน้ำนมเป็นระยะ
- ดูดนมวันละอย่างน้อย 8 ครั้ง
- ลูกปัสสาวะสีเหลืองใส วันละประมาณ 6–8 ครั้ง และถ่ายอุจจาระเกิน 3 ครั้งต่อวัน
- ลูกมีสุขภาพดี แข็งแรง กระฉับกระเฉง และมีผิวพรรณสดใส
- น้ำหนักตัวลดลงหลังคลอดไม่เกิน 7–10% ของน้ำหนักแรกเกิด และน้ำหนักเริ่มกลับมาเท่ากับตอนแรกเกิดภายในราว 7 - 10 วัน
ภาวะกินนมมากเกินไป (Overfeeding) คืออะไร
ภาวะกินนมมากเกินไป หรือ Overfeeding คือการที่ลูกกินนมมากเกินไปจนระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป ทำให้ท้องแน่น อึดอัด หรือแหวะนมออกมาได้ ภาวะนี้สามารถเกิดได้ทั้งลูกที่ดูดนมแม่และลูกที่กินนมขวดค่ะ
เมื่อลูกมีอาการอาเจียน แหวะนม แน่นท้อง หรือร้องไห้งอแงหลังจากกินนม คุณแม่หลายคนอาจตกใจหรือกังวลว่าลูกป่วย แต่อาจเป็นเพียงสัญญาณว่าลูกอิ่มเกินไปและร่างกายกำลังปรับตัว การสังเกตร่างกายและสัญญาณของลูก พร้อมปรับปริมาณนมทารกให้เหมาะสม จะช่วยให้ลูกสบายท้องและลดปัญหาแหวะนมซ้ำ ๆ ได้ค่ะ
อาการของภาวะ Overfeeding
อาการ Overfeeding หรือการได้รับนมแม่มากเกินไป เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยมักมีลักษณะอาการดังนี้
- อาเจียน หรือแหวะนม
- สำลักนม นมไหลออกปากหรือจมูก
- ท้องป่องและมีอาการแน่นท้อง
- หลังจากกินนม มักร้องไห้งอแงหรือไม่สบายตัว
- ไม่ยอมดูดนมหรือดูดนมได้น้อยลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูดนมได้ดี
- น้ำหนักตัวลูก เพิ่มขึ้นเร็วเกินปกติ ซึ่งโดยปกติน้ำหนักจะขึ้นประมาณ 20 - 60 กรัมต่อวัน
- ไม่มีสาเหตุ หรืออาการเจ็บป่วยอื่น ที่ทำให้เกิดการแหวะนม
เคล็ดลับการให้นมลูก และการปั๊มนมเก็บอย่างถูกวิธี
การให้นมลูกไม่ใช่แค่เรื่องโภชนาการ แต่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สร้างสายใยรักและความผูกพันระหว่างแม่กับลูกด้วยค่ะ นอกจากการให้นมตรงเวลาและเต็มที่แล้ว การเรียนรู้วิธีปั๊มนมและเก็บรักษาอย่างถูกต้องก็สำคัญไม่แพ้กัน เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้คุณแม่มั่นใจว่าลูกจะได้รับน้ำนมที่สด สะอาด และมีคุณค่าครบถ้วน อีกทั้งยังช่วยควบคุมปริมาณนมทารกให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกแต่ละช่วงวัย ทำให้คุณแม่ทราบว่าทารกแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์ ในแต่ละมื้อและสามารถปรับการให้นมให้พอดีเพื่อพัฒนาการที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ
ทำไมการให้นมลูกตั้งแต่แรกเกิดถึงสำคัญ
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟแนะนำให้ทารกได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต เริ่มตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ นมแม่ถือเป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณค่าครบถ้วน อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างสติปัญญา และส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย เหมาะกับระบบทางเดินอาหารของทารกและเสริมภูมิคุ้มกัน อุดมไปด้วยจุลินทรีย์สุขภาพหลายสายพันธุ์ เช่น บี แล็กทิส (B. lactis) ซึ่งเป็นโพรไบโอติก (Probiotics) มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือบ่งชี้ว่า ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ สำหรับทารกแรกเกิดที่ภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ การให้นมลูกด้วยนมแม่จึงเปรียบเสมือน “วัคซีนหยดแรก” ที่ช่วยดักจับและทำลายเชื้อโรค ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจและโรคอุจจาระร่วงบางชนิด
นอกจากนี้ นมแม่ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว เช่น DHA และ ARA ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและจอประสาทตา หากให้ดื่มต่อเนื่อง ยังช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง และลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในอนาคตเหนือสิ่งอื่นใด ขณะให้นมแม่ การโอบกอดและสบตากับลูก คือช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายใยรักและความผูกพันอันอบอุ่น ทั้งของแม่และลูกค่ะ
ควรให้นมลูกจนถึงอายุเท่าไหร่
การให้นมลูกด้วยการดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน และให้นมแม่ต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยไปจนลูกอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น เพราะนมแม่ถือเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุด อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน รวมถึงแบคทีเรียชนิดดีที่สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของลูก
เพื่อให้ลูกได้รับน้ำนมแม่อย่างเพียงพอ เวลาในการให้นมแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคน บางคนดูดนมเสร็จภายใน 10 -15 นาที ขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานเกือบชั่วโมง โดยเฉลี่ยประมาณ 20 - 30 นาทีต่อครั้ง จึงไม่ควรเปรียบเทียบระยะเวลาให้เหมือนกันทุกคน การเข้าใจตารางให้นมทารก จะช่วยให้คุณแม่สังเกตและปรับเวลาให้นมได้เหมาะสม
สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกดูดนมได้ถูกต้องและเต็มที่ ได้แก่
- ลูกอ้าปากกว้างและริมฝีปากแนบชิดกับเต้านมแม่อย่างมั่นคง
- ลานหัวนมด้านบนมองเห็นชัดเจนมากกว่าด้านล่าง
- คางของลูกแนบชิดเต้านม จมูกและแก้มสัมผัสกับเต้านมแม่อย่างอบอุ่น
หากคุณแม่พบปัญหาในการให้นมลูก สามารถดูแลและแก้ไขเบื้องต้นได้ดังนี้ค่ะ
- หัวนมเจ็บหรือแตก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการให้นมลูก ด้วยท่าอุ้มให้นมที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ดูดไม่ถึงลานหัวนมหรือดูดแรงเกินไป คุณแม่สามารถช่วยตัวเองได้โดยอุ้มลูกให้อ้าปากกว้างและแนบชิดเต้านมให้ถูกวิธี เริ่มให้นมจากด้านที่เจ็บน้อยก่อน ถ้าเจ็บมาก แนะนำพักเต้า 1 - 2 วันให้หัวนมแห้ง แล้วค่อยเริ่มให้นมใหม่ และอย่าลืมปั๊มนมทุก 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกยังได้รับน้ำนมอย่างต่อเนื่องนะคะ
- เต้านมคัด เกิดจากน้ำนมคั่ง ทำให้เต้านมแข็ง ร้อน และเจ็บ คุณแม่ลองประคบอุ่น 5 - 10 นาที นวดเต้านมเบา ๆ และให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น หลังให้นมก็สามารถปั๊มนมออกด้วยมือหรือเครื่องปั๊ม จะช่วยให้เต้านมรู้สึกสบายขึ้นค่ะ
- เต้านมอักเสบ มักเกิดจากน้ำนมค้างและอาจมีการติดเชื้อร่วม พบผิวหนังรอบเต้านมแดง แข็ง เจ็บ และอาจมีไข้หรืออ่อนเพลีย โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากลูกดูดนมไม่บ่อยหรือไม่ได้ดูดจนเกลี้ยงเต้าทุกครั้ง คุณแม่ลองปรับตารางกินนมทารก ปรับการให้นมลูก ด้วยการให้ลูกดูดนมบ่อย ๆ แต่ระยะสั้น ๆ ปั๊มนมออกหากลูกดูดไม่หมด และเลือกเสื้อผ้าที่สบาย ช่วยระบายและลดความอึดอัด

เทคนิคการเก็บน้ำนมแม่
วิธีการเก็บรักษานมแม่ ควรเก็บน้ำนมใส่ขวดนมหรือถุงเก็บน้ำนม เขียนวันที่ เวลาที่ปั๊มนมไว้ และควรแบ่งปริมาณน้ำนมให้พอดีกับมื้อหนึ่งที่ให้ทารก ในกรณีที่ต้องนำน้ำนมมาให้ทารกที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ควรเขียนชื่อ - สกุลของทารก วันที่ เวลา ปริมาณนมทารก ติดที่ขวดนมหรือถุงเก็บน้ำนมให้ชัดเจน การเก็บน้ำนมในแต่ละครั้งต้องแยกขวดหรือถุงเก็บน้ำนม วิธีการนำน้ำนมออกจากเต้านมอาจใช้วิธีบีบน้ำนมออกจากเต้าด้วยมือหรือการใช้เครื่องปั๊มนม ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้
- ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่
- เตรียมขวดนมที่สะอาดปราศจากเชื้อ และถุงเก็บน้ำนมแม่
- หามุมสงบนั่งให้สบายผ่อนคลาย จะช่วยทำให้การหลั่งของน้ำนมดีขึ้น
- จัดเรียงลำดับการบีบเก็บน้ำนมก่อนหลัง เพื่อสะดวกในการนำมาใช้ ระยะเวลาการเก็บรักษานมแม่
อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสมในการเก็บนมแม่
- อุณหภูมิห้อง (27 - 32 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 3 - 4 ชั่วโมง
- อุณหภูมิห้อง (16 - 26 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 4 - 8 ชั่วโมง
- กระติกน้ำแข็งที่มีน้ำแข็งตลอดเวลา (15 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
- ตู้เย็นช่องธรรมดา (0-4 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 3 - 5 วัน และควรเก็บไว้ด้านในสุดของตู้เย็น
- ช่องแช่แข็ง ตู้เย็นแบบประตูเดียว (-15 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 2 สัปดาห์
- ช่องแช่แข็ง ตู้เย็นแบบประตูแยก (-18 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 3 - 6 เดือน
- ช่องแช่แข็งเย็นจัด ตู้เย็นชนิดพิเศษ (-20 องศาเซลเซียส) เก็บได้นาน 6 - 12 เดือน
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- หากเป็นไปได้ แยกตู้เย็นที่ใช้เก็บน้ำนมแม่จากอาหารอื่น ๆ
- ไม่ควรเก็บน้ำนมที่ประตูตู้เย็น เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้น้ำนมเสียเร็ว
- เมื่อต้องการใช้นมแม่ที่แช่แข็ง นำลงมาแช่ในช่องธรรมดาของตู้เย็นล่วงหน้าอย่างน้อย 1 คืน ประมาณ 12 ชั่วโมง
- เมื่อนมละลายแล้ว ควรใช้ภายใน 24 ชั่วโมง และ ไม่ควรนำกลับไปแช่แข็งอีกครั้ง
- การอุ่นน้ำนมแม่ หลีกเลี่ยงไมโครเวฟหรือใช้น้ำร้อนจัด เพราะอาจทำลายคุณค่าของน้ำนม ควรอุ่นโดยแช่ในน้ำอุ่นอย่างระมัดระวัง
- น้ำนมที่เหลือจากการป้อนลูก หากต้องการเก็บไว้ป้อนครั้งถัดไป แนะนำให้ใช้ภายใน 1 - 2 ชั่วโมง
- น้ำนมแม่ที่ไม่ควรใช้ คือ น้ำนมที่มีกลิ่นเปรี้ยว รสเปลี่ยนไป หรือมีลักษณะเหนียวเหมือนยาง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าน้ำนมเริ่มบูด
การเรียนรู้และทำความเข้าใจตารางกินนมทารกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่ทราบว่าเด็กแรกเกิดกินนมกี่ออนซ์ในแต่ละมื้อ และสามารถปรับการให้นมลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของร่างกายและวัยของลูกได้อย่างเหมาะสม การเอาใจใส่สัญญาณหิวนมหรือความอิ่มของลูกจะช่วยลดปัญหาการกินนมมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทั้งยังสนับสนุนการเจริญเติบโตและสุขภาพโดยรวมของลูกได้ดียิ่งขึ้น สำหรับคุณแม่ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริมาณนมทารกหรือเทคนิคการให้นม ควรปรึกษาคลินิกนมแม่หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำและแนวทางการแก้ไขที่ถูกต้องและปลอดภัย
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- โปรแกรม Baby Development เช็คพัฒนาการลูกน้อยแต่ละช่วงวัย
- Colostrum คือ น้ำนมสีเหลืองที่มีสฟิงโกไมอีลิน เสริมภูมิคุ้มกันลูก
- คัดเต้ากี่วันหาย อาการคัดเต้านม พร้อมวิธีบรรเทาสำหรับคุณแม่
- วิธีจับลูกเรอ ท่าอุ้มเรอเมื่อลูกไม่เรอ ช่วยให้ลูกสบายท้องหลังอิ่มนม
- น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมการเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง
อ้างอิง:
- ลูกกินนมแบบไหนเรียก Over breastfeeding , โรงพยาบาลสมิติเวช
- Baby Feeding Schedule , webmd.com
- What Are Signs That My Baby Is Hungry? , webmd.com
- Breastfeeding: is my baby getting enough milk? , nhs.uk
- ลูกได้น้ำนมแม่เพียงพอหรือไม่ , คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
- การให้นมแม่แก่ลูกน้อย , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- เทคนิคจัดการน้ำนมแม่ ให้ลูกอิ่มหนำสำราญ , โรงพยาบาลเวชธานี
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด: อะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก? , unicef.org
- “น้ำนมแม่” ประโยชน์แท้จากธรรมชาติ , สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
- นมแม่มีประโยชน์ กรมอนามัย แนะ ทารก ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน กินนมแม่อย่างเดียว , สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
- 11 เหตุผลที่ลูกควรกินนมแม่ , โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์
- คำแนะนำวิธีการเก็บน้ำนมแม่ , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- ทำไม???ต้องปลุกลูกกินนมทุก3ชม , เพจเฟซบุ๊ก เลี้ยงลูกยุคใหม่ by หมอแอม
- ลูกแหวะนมเกิดจากอะไร พ่อแม่มือใหม่รับมืออย่างไรดี , โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอนแก่น
- คำแนะนำการดูแลทารกเมื่อกลับบ้าน , โรงพยาบาลพญาไท 2
อ้างอิง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568