เด็กมีกลิ่นปาก ลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น แก้ยังไงดี

เด็กมีกลิ่นปาก ลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น แก้ยังไงดี

คู่มือคุณแม่มือใหม่
บทความ
เม.ย. 8, 2025
6นาที

ลูกมีกลิ่นปากสามารถพบได้เป็นปกติในช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน แต่หากอาการนี้ยังไม่หายไปหลังจากแปรงฟัน และลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นผิดปกติไม่หาย เป็นไปได้ว่าลูกน้อยอาจมีปัญหาสุขภาพช่องปากหรือความผิดปกติอื่น ๆ พ่อและแม่ควรต้องช่วยเหลือและพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด

เด็กมีกลิ่นปาก ลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น แก้ยังไงดี

สรุป

  • เมื่อลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น คุณพ่อคุณแม่สามารถลองตรวจสอบกลิ่นปากให้ลูกที่บ้านเองได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ผ้าก๊อซถูในช่องปาก หรือลองให้ลูกเลียบนฝ่ามือแล้วดมกลิ่น เพื่อเช็กว่าลูกเริ่มมีปัญหากลิ่นปากหรือไม่
  • สาเหตุที่ทำให้ลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นนั้นพบได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากอาหารที่กิน ลูกมีภาวะปากแห้ง ผลข้างเคียงจากยา และโรคอื่น ๆ ที่ทำให้มีกลิ่นปากเหม็นได้ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ปัญหาสุขภาพช่องปากในเด็ก
  • การดูแลกลิ่นปากของลูกสามารถทำได้โดยการหาสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปากก่อน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
  • การป้องกันการเกิดกลิ่นปากที่ดีที่สุดให้ลูกน้อย คือ การสร้างนิสัยในการดูแลสุขภาพและความสะอาดช่องปากที่ดีให้กับลูกอยู่สม่ำเสมอ โดยพ่อแม่สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ลูกอายุแรกเกิด

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

เช็กกลิ่นปากของลูกเองที่บ้านได้อย่างไร

คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็กกลิ่นปากของลูกได้เองที่บ้านอย่างง่าย ด้วยการใช้สำลีหรือผ้าก๊อซสะอาดเช็ดที่พื้นผิวในช่องปากลูก หรือให้ลูกเลียสัมผัสลงที่บริเวณฝ่ามือ ทิ้งไว้ให้แห้ง ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงลองดมกลิ่น ถ้าพบกลิ่นเหม็น ต้องเฝ้าระวังและรีบแก้ไขปัญหาให้ได้ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรง

 

เพราะอะไรลูกจึงมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น

การเกิดปัญหากลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นในเด็ก เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

1. ปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน

เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เช่น ลูกมีฟันผุ มีเศษอาหารติดตามซอกฟัน เหงือก หรือคราบขาวบนลิ้นหลังแปรงฟัน คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มจากการตรวจสอบว่าลูกแปรงฟันครบวันละ 2 ครั้งหรือไม่ และแปรงฟันถูกวิธีหรือเปล่า

2. อาหาร

การกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม หรืออาหารที่มีโปรตีนสูง อาจทำให้ลูกมีกลิ่นปากได้ รวมถึงการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะเศษน้ำตาลที่ติดอยู่ตามซอกฟันจะทำให้ฟันผุ และเศษอาหารจากการกินอาหารแห้งหรืออาหารแข็งก็อาจติดตามซอกฟัน กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีให้กับแบคทีเรียในช่องปาก

3. ภาวะปากแห้งจากน้ำลายน้อย (Dry mouth หรือ Xerostomia)

คือ ภาวะที่ทำให้ลูกมีน้ำลายน้อยผิดปกติ โดยอาจเกิดจากการดื่มน้ำน้อยหรือเกิดจากการหายใจทางปาก ซึ่งจะส่งผลให้ช่องปากมีปริมาณน้ำลายลดลง ทำให้ขาดน้ำลายที่จะช่วยชะล้างเศษอาหาร และทำลายแบคทีเรียในช่องปากไป

4. โรค หรือผลข้างเคียงจากยาและการดูแลโรคอื่น ๆ

เช่น อาการกรดไหลย้อน การติดเชื้อของโพรงไซนัสในจมูก ต่อมทอนซิลอักเสบ และการกินยาเพื่อดูแลโรคบางชนิดที่ทำให้การหลั่งน้ำลายลดลง และทำให้เกิดปัญหากลิ่นปาก เป็นต้น ทั้งนี้หากพ่อแม่สงสัยว่าสาเหตุของปัญหากลิ่นปากมาจากโรคหรือยาที่ลูกรับประทาน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์

 

ดูแลอย่างไร หากลูกน้อยมีกลิ่นปาก

เมื่อลูกน้อยมีปัญหากลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็น ควรมีการดูแลให้ตรงกับสาเหตุของการเกิดปัญหากลิ่นปาก โดยแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาที่พบไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ ทั้งนี้ในเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลดปัญหากลิ่นปากให้ลูกน้อยได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • สอนและช่วยให้ลูกรู้จักดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตัวเอง จากการแปรงฟัน เหงือก และลิ้นอย่างถูกวิธี อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน
  • จำกัดการกินอาหารและขนมที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคฟันผุ และก่อให้เกิดแบคทีเรียในช่องปาก
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ช่องปากชุ่มชื้น และช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตน้ำลาย
  • พาลูกไปพบทันตแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ โดยสมาคมทันตแพทย์อเมริกัน หรือ ADA แนะนำให้พ่อแม่เริ่มสามารถพาลูกไปพบทันตแพทย์ได้ตั้งแต่มีฟันซี่แรกขึ้น และควรหมั่นพาลูกน้อยไปตรวจสุขภาพฟันทุก ๆ 6 เดือน

 

สังเกตอาการอย่างไร เมื่อไหร่ที่ควรพาลูกไปพบแพทย์

หากลูกมีกลิ่นปากร่วมกับอาการเหล่านี้ แนะนำให้พาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

  • ลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน
  • พบอาการปากแห้ง หรือ อาการของภาวะ Dry mouth
  • ลูกมีปัญหาสุขภาพฟันและช่องปาก เช่น ฟันผุ ปวดฟัน เหงือกบวม เป็นต้น
  • มีอาการกรดไหลย้อนบ่อย ๆ
  • น้ำมูกข้น มีสี
  • ต่อมทอนซิลบวม
  • กินอาหารและดื่มน้ำลำบาก
  • เด็กมีไข้ขึ้น

 

ป้องกันอย่างไรไม่ให้ลูกมีกลิ่นปาก

การมีสุขภาพช่องปากที่ดี จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันปัญหาไม่ให้ลูกมีกลิ่นปากได้ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยดูแลและฝึกความคุ้นชินให้กับลูกน้อยได้ตั้งแต่อายุแรกเกิด ดังนี้
 

ป้องกันอย่างไรไม่ให้ลูกมีกลิ่นปาก

 

1. วัยทารก

สุขภาพช่องปากที่ดีของเด็กทารก เริ่มดูแลได้ตั้งแต่ก่อนฟันขึ้น ด้วยการทำให้ลูกคุ้นชินกับการถูและทำความสะอาดเหงือก โดยการใช้ผ้าสะอาดพันปลายนิ้วมือชุบน้ำต้มสุกที่เย็นเช็ดตามเหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และลิ้นวันละ 2 ครั้ง หลังลูกกินอาหารมื้อแรกตอนเช้า และก่อนนอน

2. วัยเด็ก

  • อายุ 6 เดือน – 3 ขวบ เป็นช่วงที่เริ่มมีฟันน้ำนมซี่แรก การแปรงฟันควรใช้แปรงสีฟันเด็กขนนุ่ม ควบคู่กับยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ วางขนแปรงตั้งฉากกับตัวฟันถูแปรงไปมาเบา ๆ และใช้ผ้านุ่มสะอาดเช็ดยาสีฟันออก โดยไม่ต้องบ้วนน้ำออก
  • อายุ 3 – 6 ขวบ ช่วงที่ฟันน้ำนมขึ้นครบ 20 ซี่ พ่อแม่ควรเริ่มฝึกให้ลูกแปรงฟันด้วยตัวเอง และแปรงซ้ำให้ลูกทุกครั้งจนถึงอายุ 7 - 8 ขวบ
  • อายุ 6 - 12 ขวบ เป็นช่วงที่เริ่มมีฟันผสมทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้ ลูกอาจเกิดความไม่สบายช่องปาก ไม่ควรงดแปรงฟัน เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดออกที่เหงือกและมีกลิ่นปากได้ และเมื่ออายุ 8 - 9 ขวบ ลูกควรสามารถแปรงฟันได้เองแล้ว โดยมีพ่อและแม่ดูแลสอนวิธีการแปรงที่ถูกวิธีอย่างใกล้ชิด

 

จะเห็นได้ว่าปัญหาลูกมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มีความสำคัญ เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ไข อาจทำให้ลูกเสียความมั่นใจเวลาไปพูดคุยกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนได้ การสร้างนิสัยให้ลูกสนุกกับการดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเอง ด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกต้องพบกับปัญหากลิ่นปากในอนาคตได้

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

 

อ้างอิง:

  1. กลิ่นปากในเด็กและวัยรุ่นกับข้อมูลที่ควรรู้, POBPAD
  2. Why Would a Toddler Have Bad Breath, WebMD
  3. Causes of and cures for bad breath in kids, Sprout pediatric dentistry and orthodontics
  4. Causes of bad breath in children, MedicalNewsToday
  5. การดูแลสุขภาพช่องปากทุกช่วงวัย, ศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศ กรมอนามัย เชียงใหม่

อ้างอิง ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567