
ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว จากโนโรไวรัส และไวรัสโรต้า มีวิธีดูแลอย่างไร
เมื่อลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ท้องเสีย อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกายที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เช่น โนโรไวรัส และไวรัสโรต้า ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ มาดูกันว่าเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลลูกน้อยอย่างไร และเมื่อไหร่ที่ควรพาลูกไปพบแพทย์
สรุป
- ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรต้า (Rotavirus) โนโรไวรัส (Norovirus) และแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา(Salmonella) และอีโคไล (Escherichia coli)
- ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว จากเชื้อไวรัสโนโรไวรัส (Norovirus) คือ ไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งหลังได้รับเชื้อโนโรไวรัสเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ลูกเริ่มมีอาการป่วยได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการที่สังเกตได้ก็คือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย และมีไข้ต่ำ
- ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว จากเชื้อไวรัส โรต้า (Rotavirus) คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งหลังได้รับเชื้อไวรัสโรต้าเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ลูกเริ่มมีอาการป่วยได้ภายใน 48 ชั่วโมง อาการที่สังเกตได้ก็คือ ท้องเสียถ่ายเหลวรุนแรงฉับพลัน ซึม มือเท้าเย็น อาเจียน และมีไข้สูง
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- สาเหตุที่ทำให้ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว
- ไวรัสโรต้าและโนโรไวรัส สาเหตุสำคัญของอาการถ่ายเหลวในเด็ก
- 6 อาการสำคัญในเด็กท้องเสียถ่ายเหลว
- เคล็ดลับป้องกันลูกจากอาการไข้ถ่ายเหลว
- ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว เมื่อไหร่ที่ควรพาไปพบแพทย์?
สาเหตุที่ทำให้ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว
อาการไข้และถ่ายเหลวในเด็กเล็กเป็นอาการที่พบได้ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ได้แก่
1. ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลวจากการติดเชื้อไวรัส:
- โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งหลังได้รับเชื้อโนโรไวรัสเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ลูกเริ่มมีอาการป่วยได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง
- ไวรัสโรต้า (Rotavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งหลังได้รับเชื้อไวรัสโรต้าเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ลูกเริ่มมีอาการป่วยได้ภายใน 48 ชั่วโมง
2. ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว จากการติดเชื้อแบคทีเรีย:
- ซาลโมเนลลา (Salmonella) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน หรือไม่ปรุงให้สุก เช่น ไข่ดิบ ผักสด หรืออาหารหมักดอง เป็นต้น เมื่อเชื้อซาลโมเนลลาเข้าสู่ร่างกายภายใน 6-48 ชั่วโมง จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และมีไข้
- อีโคไล (E.coli หรือ Escherichia coli) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมาในอาหารสด หรือละอองฝน ซึ่งเมื่อได้รับเชื้ออีโคไลเข้าสู่ร่างกาย ภายใน 24-48 ชั่วโมง จะทำให้ลำไส้อักเสบ ระบบย่อยอาหารเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และมีไข้สูง
ไวรัสโรต้าและโนโรไวรัส สาเหตุสำคัญของอาการถ่ายเหลวในเด็ก
ไวรัสโรต้าและโนโรไวรัสเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกมีไข้ตัวร้อนและท้องเสียซึ่งเชื้อไวรัสแต่ละสายพันธุ์ มีลักษณะและอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ไวรัสโรต้า (Rotavirus)
ไวรัสโรต้า (Rotavirus) คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ลูกท้องเสีย ท้องร่วงโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี
- อาการ: ท้องเสียถ่ายเหลวรุนแรงฉับพลัน ซึม มือเท้าเย็น อาเจียน และมีไข้สูง
- การติดต่อ: สามารถติดต่อกันได้ทั้งที่แห้งและเย็น ระบาดมากในช่วงหน้าหนาว และสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสเล่นของเล่น การรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
- วิธีดูแลเมื่อลูกมีไข้ถ่ายเหลว:
- อาการไม่รุนแรง: หากลูกมีอาการท้องเสียไม่มาก โดยยังกินอาหารและน้ำได้ คุณแม่สามารถให้ลูกจิบน้ำเกลือแร่ (ตามแพทย์แนะนำสั่งจ่ายให้) ให้ลูกกินอาหารอ่อน ๆ และงดนม ผลไม้ ยกเว้นกล้วย ส่วนในเด็กเล็กที่ยังกินนมแม่สามารถกินนมแม่ได้ตามปกติ
- อาการรุนแรง: หากลูกไม่กินอาหาร อาเจียน ซึม มีไข้สูง และถ่ายมีมูกเลือด ควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที
- การป้องกัน: คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้ลูกได้รับการวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้าเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน คือ วัคซีนแบบพื้นฐาน Monovalent (Human) ชนิดหยดรับประทาน 2 ครั้ง (อายุ 2 เดือน และ 4 เดือน) หรือวัคซีนเสริม Pentavalent (Bovine- Human) ชนิดหยดรับประทาน 3 ครั้ง (ลูกอายุ 2 เดือน, 4 เดือน และ 6 เดือน) ซึ่งสามารถพาลูกไปรับวัคซีนตามวัยจากแพทย์ได้ที่โรงพยาบาล
2. โนโรไวรัส (Norovirus)
โนโรไวรัส (Norovirus) คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในเด็กเล็กจะมีอาการค่อนข้างรุนแรงหากติดเชื้อโนโรไวรัส
- อาการ: คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการคล้ายอาหารเป็นพิษ ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย และมีไข้ต่ำ
- การติดต่อ: โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสภาพอากาศเย็น และสามารถแพร่กระจายได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น อาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน เช่น อาหารทะเล ผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด หรือการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง
- วิธีดูแลเมื่อลูกมีไข้ถ่ายเหลว:
- อาการไม่รุนแรง: หากลูกท้องเสียไม่มาก การดูแลเบื้องต้นให้จิบเกลือแร่ (ตามแพทย์แนะนำสั่งจ่ายให้) เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และกินอาหารอ่อน ๆ
- อาการรุนแรง: หากลูกมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวตลอดเวลา ควรรีบพาไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากอาจเกิดการช็อก ความดันต่ำ และเสียชีวิตได้
- การป้องกัน: ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อโรโนไวรัส สำหรับการป้องกันลูกไม่ให้ป่วย ในเบื้องต้น คือการดูแลความรักษาความสะอาดของสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และกินอาหารที่ปรุงสุก ใช้ช้อนกลาง เป็นต้น
- ความแตกต่างระหว่าง ไวรัสโรต้า VS โนโรไวรัส
จุดสังเกต | ไวรัสโรต้า | โนโรไวรัส |
กลุ่มควรระวัง | เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี | เด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ (เด็กเล็กและผู้สูงวัยอาจมีอาการรุนแรง) |
อาการ | ซึม มือเท้าเย็น อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และมีไข้ | ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ปวดท้อง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และมีไข้ ซึ่งอาการจะคล้ายอาหารเป็นพิษ |
การแพร่กระจาย | ผ่านการสัมผัสเล่นของเล่น การรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ | มีการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสสิ่งของ และกินอาหาร น้ำดื่มที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน |
6 อาการสำคัญในเด็กท้องเสียถ่ายเหลว
เชื้อโรคที่ทำให้ลูกท้องเสีย พบมากจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า และโนโรไวรัส คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการท้องเสียถ่ายเหลวของลูกได้ ดังนี้
- ถ่ายอุจจาระเหลวใส 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
- ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำมากกว่ากากอุจจาระ หรือถ่ายเป็นมูกเลือด
- ปวดท้อง ร้องไห้งอแง
- ไม่ร่าเริง ซึม
- กินอาหารได้น้อยลง
- มีไข้และอาเจียน
เคล็ดลับป้องกันลูกจากอาการไข้ถ่ายเหลว
ไม่อยากให้ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว คุณพ่อคุณแม่สามารถปฏิบัติตามเคล็ดลับง่าย ๆ ได้ ดังนี้
- รับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า: ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการให้ลูกได้รับวัคซีนป้องกันโรคท้องเสียจากเชื้อโรต้า ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค
- รักษาความสะอาด: สอนให้เด็ก ๆ ล้างมือเป็นนิสัย โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ ที่สำคัญ คุณแม่เองก็ควรล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร และหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกทุกครั้ง
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่: เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะช่วยให้ลูกมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ในเด็กที่ได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจะได้ รับสารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ วิตามิน แคลเซียม แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน รวมทั้ง จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อย่าง บีแล็กทิส (B. lactis) จุลินทรีย์สุขภาพในกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) และยังเป็นโพรไบโอติกส์ ที่สามารถส่งต่อเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยมีร่างกายที่แข็งแรง
ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว เมื่อไหร่ที่ควรพาไปพบแพทย์?
เมื่อลูกเป็นมีไข้ถ่ายเหลว คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้
- ภาวะขาดน้ำ: กระหม่อมบุ๋ม ตาโหลลึก ซึมลง และปัสสาวะออกมาแค่เล็กน้อย
- อาการถ่ายอุจจาระ: ลูกมีการถ่ายอุจจาระมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน และมีอุจจาระมูกเลือดปนออกมา
- อาการอาเจียน: ลูกอาเจียนบ่อย มีอาการอ่อนเพลีย
- อาการไข้: ลูกมีไข้สูง ชัก ท้องอืด และหายใจหอบ
ลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว เป็นอาการที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด การให้ลูกจิบเกลือแร่ตามคำแนะนำจากแพทย์ รับประทานอาหารอ่อน ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรง ควรรีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับลูก เช่น ชักจากไข้สูง ความดันต่ำ และอาการช็อก จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็ก เข้าใจถึงปัญหาสุขภาพของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการขับถ่าย สามารถทำแบบประเมินสุขภาพเบื้องต้นของลูกได้ที่นี่ คลิก https://www.s-momclub.com/member-privilege
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- ทารกท้องเสีย ทารกถ่ายเหลว อุจจาระทารกท้องเสีย อันตรายไหม
- ลูกท้องเสีย เกิดจากอะไร พร้อมวิธีดูแลลูกน้อย
- ลูกอ๊วกไม่มีไข้ท้องเสีย เกิดจากอะไร รับมืออย่างไรดี
- ทำไมลูกกินนมแล้วท้องเสีย เด็กกินนมวัวแล้วท้องเสียเกิดจากอะไรได้บ้าง
- ทารกอุจจาระมีมูก ลูกท้องเสียถ่ายมีมูกเลือด ปกติไหม แบบไหนที่ต้องระวัง
อ้างอิง:
- ท้องเสีย, โรงพยาบาลMedPark
- โนโรไวรัส (Norovirus) ตัวการท้องเสียระบาดในเจ้าตัวเล็ก, โรงพยาบาลกรุงเทพ
- ลูกท้องเสียหนัก ต้องระวัง “ไวรัสโรต้า” ที่อาจทำให้ช็อกได้, โรงพยาบาลวิมุต
- ซาลโมเนลลา.....เชื้อที่มากับอาการท้องร่วง, โรงพยาบาลกลาง
- อีโคไลจากน้ำฝนทำอาหารเป็นพิษ, โรงพยาบาลศิครินทร์
- ไวรัสโรต้า วายร้ายไกลตัว ที่พ่อแม่ต้องระวัง, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์
- ไวรัสโรต้าคืออะไร, สมาคมติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศ
- โนโรไวรัส โรคระบาดในเด็ก, โรงพยาบาลศิริราช ปิยะมหาการุณ
- โนโรไวรัส ตัวการท้องเสียในเด็ก, โรงพยาบาลบางปะกอก1
- โนโรไวรัส (Norovirus) ตัวการท้องเสียในเด็กเล็ก, โรงพยาบาลศิครินทร์
- ลูกน้อยท้องเสียบ่อย ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก, โรงพยาบาลบางปะกอก3
- 4 อาการสำคัญของโรคท้องเสียในเด็กที่ต้องรีบมาพบแพทย์, โรงพยาบาลนนทเวช
- อาหารเป็นพิษอันตรายที่มากับอาหาร, โรงพยาบาลรามคำแหง
อ้างอิง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568