วิธีลดไข้ทารกแรกเกิด เร่งด่วน ทารกเป็นไข้ ตัวร้อน พร้อมวิธีวัดไข้

วิธีลดไข้ทารกแรกเกิด เร่งด่วน ทารกเป็นไข้ ตัวร้อน พร้อมวิธีวัดไข้

คนเป็นแม่มักกังวลทุกครั้ง เมื่อลูกตัวรุม ๆ เป็นไข้หรือเปล่า? แล้วจะช่วยลดไข้ให้ลูกสบายตัวขึ้นเร็วที่สุดได้อย่างไร? วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารกต้องใช้วิธีไหน? รับมืออย่างไรเมื่อลูกมีอาการหนาวสั่นตอนมีไข้? และสัญญาณอันตราย อาการไข้แบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอทันที? บทความนี้จะช่วยตอบคำถามคลายกังวลให้คุณแม่สามารถรับมือเมื่อลูกเป็นไข้ ได้อย่างถูกวิธีค่ะ

วิธีลดไข้ทารกแรกเกิด เร่งด่วน ทารกเป็นไข้ ตัวร้อน พร้อมวิธีวัดไข้

คำถามที่พบบ่อย

ทำไมห้ามใช้น้ำเย็นเช็ดตัวลดไข้?

เพราะความเย็นจะทำให้หลอดเลือดฝอยที่ผิวหนังหดตัว ซึ่งจะขัดขวางการระบายความร้อนออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจทำให้เด็กเกิดอาการหนาวสั่น ซึ่งจะยิ่งทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับทราบวิธีการดูแลที่ถูกต้อง

ลูกมีไข้ สามารถเปิดแอร์หรือพัดลมได้ไหม?

ได้ค่ะ เมื่อลูกมีไข้สามารถเปิดแอร์ได้ แต่ไม่ควรตั้งอุณหภูมิให้เย็นจนเกินไป การเปิดพัดลม ควรตั้งให้ส่ายไปมา ไม่จ่อที่ตัวเด็กโดยตรง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดของไข้

อาการชักจากไข้สูงอันตรายแค่ไหน และต้องทำอย่างไร?

แม้จะดูน่ากลัว แต่อาการชักจากไข้สูงในเด็กส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายต่อสมองอย่างถาวร ยกเว้นในบางรายที่มีอาการชักติดต่อกันเป็นเวลานาน หากเกิดขึ้นให้จับลูกนอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก ห้ามนำสิ่งของใด ๆ ใส่ในปาก และรีบเช็ดตัวลดไข้ ควรรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดของอาการชัก

สรุป

  • อุณหภูมิร่างกายที่ถือว่ามีไข้ คือ เมื่อวัดไข้เด็กทางหูหรือหน้าผากได้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส หรือวัดทางปากได้ตั้งแต่ 37.8 องศาเซลเซียส หรือวัดทางรักแร้ได้ตั้งแต่ 37.2-37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • การเช็ดตัวเป็นวิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารกและเด็กที่หลายครอบครัวคุ้นเคยกันดี แต่จากข้อมูลใหม่พบว่า การเช็ดตัวไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกครั้งที่ลูกมีไข้ แต่เป็นเพียงทางเลือกที่จะช่วยให้เด็กรู้สึกสบายตัวและไข้ลงเร็วขึ้นได้
  • อาการหนาวสั่นในเด็กเล็กเป็นระยะเริ่มต้นของการมีไข้ เป็นกลไกที่ร่างกายทำให้หลอดเลือดที่ผิวหนังหดตัว เพื่อเก็บความร้อนไว้ในร่างกาย เลือดจึงไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง ทำให้ลูกรู้สึกหนาวสั่น
  • หากลูกเป็นไข้แต่ยังสามารถรับประทานอาหารได้ ไม่ซึม เล่นสนุกได้ตามปกติ คุณแม่อาจยังไม่จำเป็นต้องพาไปพบแพทย์ แต่ควรหมั่นสังเกตอาการของลูกบ่อย ๆ หากพบสัญญาณผิดปกติ เช่น ซึมลง หงุดหงิด หายใจลำบาก แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ลูกเป็นไข้หรือเปล่า? วิธีวัดไข้เด็กและอุณหภูมิที่ควรรู้

เวลาที่ลูกตัวร้อนหรือมีอาการตัวรุม ๆ คุณแม่หลายคนคงอดกังวลไม่ได้ว่า "ลูกกำลังจะเป็นไข้หรือเปล่า?" วิธีที่จะช่วยให้แน่ใจได้ก็คือ การวัดไข้ให้ถูกต้อง และเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับวัยของลูกน้อย พร้อมทั้งทำความเข้าใจว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า 'มีไข้' หรือ 'ไข้สูง' เรามาหาคำตอบและคลายความกังวลในเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

วิธีวัดไข้ให้ทารกอย่างถูกต้อง

การวัดไข้เด็กทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นทางรักแร้ ในปาก ในหู หน้าผาก หรือทางทวารหนัก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและเหมาะกับช่วงอายุที่แตกต่างกันไป เรามาดูวิธีวัดที่ถูกต้องของแต่ละแบบกันดีกว่าค่ะว่าจะต้องทำอย่างไรให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด

  • การวัดไข้ทางรักแร้

เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เหมาะสำหรับเด็กทุกวัยค่ะ วัดโดยหนีบปลายปรอทไว้กึ่งกลางรักแร้ให้แน่นนาน 2-3 นาที หากใช้ปรอทดิจิตอลวัดนาน 1-2 นาที หรือจนกว่าจะมีเสียงเตือน ข้อควรระวัง การวัดไข้ทางรักแร้เป็นวิธีที่ใช้เวลานาน และหากเด็กขยับตัวจนปรอทเคลื่อน อาจทำให้ค่าที่วัดได้ต่ำกว่าความเป็นจริง

  • การวัดไข้ทางหู

เป็นวิธีที่รวดเร็วและแม่นยำ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไปค่ะ ดึงใบหูไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง จากนั้นจึงสอดเครื่องวัดเข้าไป ใช้เวลาเพียง 2-3 วินาที และควรวัดซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ค่าที่วัดได้อาจไม่แม่นยำหากใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 เดือนเพราะรูหูยังเล็กเกินไป หรือในเด็กที่มีขี้หูอุดตัน

  • การวัดไข้ทางทวารหนัก

เป็นวิธีที่ให้ผลใกล้เคียงกับอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายที่สุด เหมาะสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปีค่ะ โดยทาวาสลีนที่ปลายปรอท แล้วสอดเข้าไปในทวารหนักลึกประมาณ 1 นิ้ว และจับปรอทไว้แน่น ๆ นาน 2 นาทีค่ะ วิธีนี้ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างสูง หรือทำโดยแพทย์เพื่อป้องกันการฉีกขาด และต้องจับปรอทให้มั่นคงไม่ให้ไหลลึกเข้าไป

  • การวัดไข้ทางปาก

เหมาะสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป ที่สามารถอมปรอทได้อย่างถูกวิธีค่ะ โดยวางปลายปรอทไว้ใต้ลิ้นและอมไว้ 3 นาที ข้อควรระวัง ก่อนวัด 10-15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็น และขณะวัดไม่ควรหายใจทางปาก เพราะอาจทำให้ค่าคลาดเคลื่อนได้ค่ะ วิธีนี้ไม่เหมาะกับเด็กเล็กเพราะเสี่ยงกัดปรอทแตกได้

  • การวัดไข้ทางผิวหนัง (หน้าผาก)

เป็นอีกวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว เหมาะกับทุกวัย ควรเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากให้แห้งก่อน แล้วแปะแถบวัดไข้ลงไป รอประมาณ 15 วินาทีจนตัวเลขปรากฏขึ้นค่ะ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจให้ผลที่ไม่แม่นยำนัก และค่าที่ได้อาจคลาดเคลื่อนได้ง่ายค่ะ

 

อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงเรียกว่า "มีไข้" และ "ไข้สูง"?

ตามคำแนะนำการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้ ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ได้ให้คำจำกัดความของอาการไข้ไว้ว่า การมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ ถือว่ามีไข้เมื่อวัดไข้เด็กทางหูหรือหน้าผากได้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส หรือวัดทางปากได้ตั้งแต่ 37.8 องศาเซลเซียส หรือวัดทางรักแร้ได้ตั้งแต่ 37.2-37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปค่ะ

กรณีลูกมีไข้สูงพิจารณาจาก เมื่อวัดไข้เด็กแล้วอุณหภูมิตั้งแต่ 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปค่ะ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนชัดเจน เกี่ยวกับการลดไข้เพื่อการป้องกันการชัก แต่แนวทางการดูแลที่พ่อแม่ควรทำในเบื้องต้นก็คือ การลดไข้ให้ลูกเร็วที่สุด เพราะหากลูกมีไข้สูงต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการชักได้ โดยเฉพาะกับเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี เพราะหากเคยมีอาการชักแล้ว เด็กมีโอกาสที่จะชักซ้ำได้อีก มากกว่าเด็กปกติถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาการชักจากไข้สูง จะมีลักษณะ ตาค้าง ไม่รู้สึกตัว ชักเกร็งทั้งตัว และชักไม่เกิน 5 นาที เมื่อคุณพ่อคุณแม่พบอาการชักดังกล่าว ควรรีบให้เด็กนอนตะแคง เพื่อป้องกันเศษอาหารอุดกั้นทางเดินหายใจ และรีบพาไปพบแพทย์โดยทันที ห้ามนำของแข็งหรือช้อนเข้าปากเด็กโดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้ แต่ให้ใช้ผ้านุ่มใส่ปากกรณีที่เด็กมีการกัดลิ้นแทนค่ะ

 

เช็ดตัวลดไข้ลูก

 

วิธีลดไข้เร็วที่สุด ทารก และเด็กเบื้องต้นที่บ้าน

แนวทางใหม่ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้ ของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำว่า หัวใจสำคัญของการดูแลเมื่อลูกมีไข้ ไม่ใช่การทำให้อุณหภูมิลดลงจนเป็นปกติเสมอไป แต่คือการดูแลให้ลูก รู้สึกสบายตัวเป็นหลักค่ะ หมายความว่า หากลูกยังสบายดี ร่าเริง เล่นได้ กินได้ และไม่ซึม คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไปค่ะ การตัดสินใจเลือก วิธีลดไข้เร็วที่สุด ทารก และเด็ก ควรพิจารณาร่วมกับอาการอื่น ๆ และภาวะทั่วไปของเด็ก

วิธีเช็ดตัวลดไข้ ที่ปลอดภัยและได้ผลที่สุด

วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก คุณแม่สามารถเช็ดตัวให้ลูกน้อยได้ ซึ่งการเช็ดตัวเป็น วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก และเด็กที่หลายครอบครัวคุ้นเคยกันดี และปฏิบัติกันมายาวนาน แต่จากข้อมูลใหม่พบว่า การเช็ดตัวไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกครั้งที่ลูกมีไข้ แต่เป็นเพียงทางเลือกที่จะช่วยให้เด็กรู้สึกสบายตัวและไข้ลดลงได้เร็ว โดยการเช็ดตัวควรทำเมื่อ ลูกมีไข้สูงและแสดงอาการไม่สบายตัวอย่างเห็นได้ชัด หรือใช้เป็นการดูแลเบื้องต้นที่บ้านก่อนพาลูกไปพบแพทย์

วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก ด้วยการเช็ดตัวลดไข้ที่ถูกวิธีจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายของลูกได้ดีขึ้น โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. เตรียมตัว: ปิดแอร์ ถอดเสื้อผ้าของลูกออก และใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดให้หมาด
  2. เริ่มจากใบหน้าและลำคอ: เช็ดเบา ๆ ที่ใบหน้า ลำคอ และซอกคอ อาจวางพักผ้าไว้บนหน้าผากและลำคอสักครู่ จากนั้นเช็ดต่อที่หน้าอกและลำตัว
  3. เช็ดแขนและขา: เช็ดแขนและขาทีละข้าง โดยให้เช็ดในทิศทางย้อนรูขุมขน คือเช็ดจากปลายมือเข้าหารักแร้ และจากปลายเท้าเข้าหาขาหนีบ แล้วพักผ้าไว้ตามข้อพับต่าง ๆ
  4. เช็ดหลัง: ให้ลูกนอนตะแคงแล้วเช็ดบริเวณหลัง โดยเช็ดไล่จากช่วงล่างขึ้นมาถึงคอ
  5. ซับตัวให้แห้ง: เมื่อเช็ดตัวทั่วแล้ว ให้ซับตัวลูกให้แห้งและสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว

 

ข้อควรรู้และข้อควรระวังในการเช็ดตัวลดไข้

การเช็ดตัวลดไข้ ควรใช้เวลาประมาณ 30 นาที และหมั่นเปลี่ยนน้ำอุ่นบ่อย ๆ หลังจากเช็ดตัวเสร็จแล้วประมาณ 15-30 นาที ให้ลองวัดไข้ซ้ำอีกครั้งเพื่อดูว่าอุณหภูมิลดลงหรือไม่ หากไข้ไม่ลดให้เช็ดตัวซ้ำอีกครั้ง หากไข้ยังไม่ลดลงอีก ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์นะคะ

นอกจากนี้ วิธีลดไข้เร็วที่สุด ทารกแรกเกิดและเด็ก ไม่ควรเช็ดหรือถูตัวแรง ๆ เพราะจะทำให้ลูกเจ็บและตกใจกลัว รวมถึงห้ามใช้น้ำเย็นจัด น้ำแข็ง หรือแอลกอฮอล์เด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้ลูกหนาวสั่นจนร่างกายยิ่งผลิตความร้อนเพิ่มขึ้น และแอลกอฮอล์ยังอาจซึมเข้าผิวหนังจนเป็นอันตรายได้ค่ะ

 

การดูแลอื่น ๆ ขณะลูกมีไข้

การดูแลเมื่อลูกมีไข้ ยังสามารถทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกสบายขึ้น ดังนี้

  • ให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากร่างกายในขณะที่มีไข้ และช่วยให้อุณหภูมิร่างกายลดลง
  • ให้ใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่ควรห่มผ้าหนา ใส่เสื้อผ้าหนา หรืออึดอัดเกินไป เพราะร่างกายอาจระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควร
  • พักผ่อนในห้องที่มีอากาศถ่ายเท หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป

 

รับมืออย่างไรเมื่อลูกมี "อาการหนาวสั่น" ร่วมกับมีไข้?

มาทำความรู้จักอาการหนาวสั่นร่วมกับมีไข้เกิดจากอะไร และสิ่งที่ต้องทำทันที วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก เมื่อลูกมีอาการหนาวสั่น ควรทำอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ

ทำไมลูกถึงหนาวสั่นตอนมีไข้?

อาการหนาวสั่นในเด็กเล็กเป็นระยะเริ่มต้นของการมีไข้ เป็นกลไกที่ร่างกายจะทำ 2 อย่างพร้อมกันคือ สั่งให้กล้ามเนื้อสั่น เพื่อสร้างพลังงานความร้อน และทำให้หลอดเลือดที่ผิวหนังหดตัว เพื่อเก็บความร้อนไว้ในร่างกายค่ะ

การที่หลอดเลือดหดตัวนี่เองที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง ผิวของลูกโดยเฉพาะปลายมือปลายเท้าจึงเย็นลงและทำให้ลูกรู้สึกหนาวสั่น ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิร่างกายกำลังสูงขึ้น โดยอาการอาการหนาวสั่น จะหายไปเมื่ออุณหภูมิร่างกายขึ้นไปถึงระดับที่ต้องการ และถึงแม้ลูกจะหยุดสั่น แต่ก็ยังคงมีไข้อยู่ค่ะ โดยอาการหนาวสั่นอาจแค่ 2-3 นาที หรือนานเป็นชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกมีอาการหนาวสั่นมีไข้ อาจเกิดจาก

  • การติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ ปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • การตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม เช่น หลังจากการฉีดวัคซีน หรือการแพ้ยาบางชนิด
  • ภาวะขาดน้ำ เกิดจากการอาเจียน เด็กท้องเสีย หรือร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป
  • การบาดเจ็บ บาดแผลติดเชื้อหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อ

 

สิ่งที่ "ต้องทำ" ทันทีเมื่อลูกหนาวสั่น

สิ่งที่ต้องทำในการดูแลเมื่อลูกมีไข้หนาวสั่น เมื่อไหร่ควรหยุดเช็ดตัว ควรห่มผ้าหนา ๆ เพิ่มความอบอุ่นหรือไม่ ควรนอนเปิดแอร์หรือเปิดพัดลมไหม นี่คือสิ่งที่คุณแม่ควรรับมืออย่างถูกต้อง ด้วยวิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก ลดอาการหนาวสั่น สำหรับทารกและเด็ก ดังนี้

  1. หยุดเช็ดตัวทันที เมื่อลูกหนาว เพราะหากเช็ดตัวแล้วหนาวสั่นจะยิ่งทำให้ไข้สูงขึ้นได้
  2. ห่มผ้าให้ลูกและใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาเกินไป เลือกผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อให้ลูกรู้สึกสบายตัว
  3. จัดห้องให้อากาศถ่ายเทสะดวก เปิดหน้าต่างหรือประตู เปิดพัดลม แต่ควรระวังอย่าให้เป่าที่ตัวลูกโดยตรง หากใช้เครื่องปรับอากาศ ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่เย็นเกินไป
  4. ให้ลูกนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง และช่วยลดการเผาผลาญในร่างกาย
  5. ดื่มน้ำมาก ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อลดไข้ และป้องกันการขาดน้ำ

 

สัญญาณอันตราย อาการไข้แบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอทันที

หากลูกเป็นไข้แต่ยังสามารถรับประทานอาหารได้ ไม่ซึม เล่นสนุกได้ตามปกติ คุณแม่ก็อาจยังไม่จำเป็นต้องพาไปพบแพทย์นะคะ แต่ควรหมั่นสังเกตอาการของลูกบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก เพราะไข้สูงในเด็กอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อร้ายแรงได้ค่ะ หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที

  • เด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน: แม้จะมีไข้เพียงเล็กน้อย ก็ควรพาไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรง อาการไข้เล็กน้อยอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อร้ายแรงได้
  • เด็กอายุ 3-6 เดือน: นอกจากไข้แล้ว หากเด็กมีอาการซึมลง หงุดหงิด หรือร้องไห้มากผิดปกติ
  • เด็กอายุ 6-24 เดือน: หากไข้ไม่ลดลงภายใน 1 วัน
  • เด็กอายุ 2-17 ปี: หากไข้สูงนานเกิน 3 วัน และอาการไม่ดีขึ้น

นอกจากนี้ หากลูกน้อยมีไข้ร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ แม้เพียงข้อเดียว ให้รีบพาไปโรงพยาบาลทันทีโดยไม่ต้องรอ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะเจ็บป่วยรุนแรงได้ค่ะ

 

อาการทางระบบประสาทและพฤติกรรม

  • ซึมลงมาก เฉื่อยชา หรือปลุกตื่นยากผิดปกติ
  • ร้องไห้ไม่หยุด ร้องเสียงแหลมสูง หรือร้องแบบไม่มีสาเหตุ
  • หงุดหงิด กระสับกระส่าย มากกว่าที่เคยเป็น
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • คอแข็ง ปวดคอ หรือขยับคอลำบาก
  • กระหม่อม สำหรับเด็กเล็ก อาจมีลักษณะโป่งนูนหรือบุ๋มลงไป

 

อาการระบบหายใจและไหลเวียนเลือด

  • หายใจลำบาก หายใจเร็วจนชายโครงบุ๋ม หรือหายใจมีเสียงดัง
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือเล็บ เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำหรือม่วง

 

อาการด้านการเคลื่อนไหวและอื่น ๆ

  • แขนขาอ่อนแรง ไม่ยอมขยับ หรือทรงตัวไม่อยู่ นั่งฟุบลง
  • มีผื่น หรือจุดสีม่วงคล้ายรอยช้ำ ที่กดแล้วสีไม่จางลง
  • น้ำลายไหลตลอดเวลา
  • ปวดท้องรุนแรง

 

เด็กบางรายอาจมีไข้แต่ไม่มีน้ำมูก เมื่อลูกน้อยมีไข้ วิธีลดไข้ เร็วที่สุดทารก คุณพ่อและคุณแม่ควรหมั่นวัดอุณหภูมิ และอาจทำการเช็ดตัวลดไข้เพื่อช่วยระบายความร้อน หากลูกมีไข้สูงหรือเกิน 38.5 องซาเซลเซียสขึ้นไป คุณแม่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือคุณแม่ไม่สบายใจให้รีบพาไปพบแพทย์ และอย่าลืมดูแลสุขภาพของคุณแม่เองด้วยนะคะ เมื่อต้องอดนอนเพื่อเฝ้าไข้ลูกน้อย อาจทำให้คุณแม่เจ็บป่วยตามไปด้วยค่ะ

อย่างที่ทราบกันดีว่า นมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่ดีที่สุดสำหรับทารก ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายของลูกกำลังต่อสู้กับไข้ ระบบภูมิคุ้มกันต้องทำงานหนักกว่าปกติ การมีภูมิคุ้มกันพื้นฐานที่แข็งแรงจึงช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น นมแม่ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีโพรไบโอติกตามธรรมชาติอย่าง บีแล็กทิส (B. lactis) หนึ่งในจุลินทรีย์สุขภาพ กลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม ที่มีบทบาทเสริมเกราะภูมิคุ้มกันของลำไส้ ซึ่งเป็นด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรค ช่วยให้ร่างกายรับมือกับไข้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ ดังนั้น เพื่อให้ลูกน้อยแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรให้ลูกน้อยได้กินนมแม่ล้วนอย่างน้อย 6 เดือน หรือกินนมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยจนถึง 2 ขวบจะยิ่งเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ นมแม่ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง ด้วยสารอาหารบำรุงสมองหลายชนิด รวมทั้ง ดีเอชเอ (DHA) โอเมก้า 3,6,9 (Omega 3,6,9) แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบในน้ำนมแม่ค่ะ สารอาหารตัวนี้ช่วยสร้างและเชื่อมต่อเครือข่ายในสมองของลูกให้แข็งแรง ช่วยให้เด็กเจนใหม่สมองไวได้มากกว่าที่คิด ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้ในระยะยาวของลูกรักได้อย่างดีเยี่ยม

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. เช็ดตัวลดไข้ ต้องใช้น้ำร้อน หรือน้ำเย็น, Empower Living โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน
  2. เมื่อลูกเป็นหวัด มีไข้ ดูแลอย่างไรให้หายดี?, โรงพยาบาลพญาไท 1
  3. เป็นไข้ 38.5 องศา รู้สึกร้อน สามารถไปอยู่ในห้องแอร์ได้ไหม, Pobpad
  4. ภาวะชักจากไข้, โรงพยาบาลเมดพาร์ค
  5. อาการชักจากไข้สูง พ่อแม่ควรระวัง (Febrile Convulsion), โรงพยาบาลพญาไท 2
  6. การวัดไข้อย่างไรให้ถูกวิธี, โรงพยาบาลสมิติเวช
  7. ลูกตัวร้อน พ่อแม่ควรดูแลอย่างไร?, PobPad
  8. คำแนะนำการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้, ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
  9. ไข้สูงในเด็ก คุณพ่อคุณแม่รับมืออย่างไรดี?, โรงพยาบาลศิครินทร์
  10. ลูกมีไข้ ลดไข้อย่างไรให้ถูกวิธีและปลอดภัย, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  11. อยากให้ลูกหายไข้ นี่คือวิธีเช็ดตัวลดไข้ ป้องกันเด็กชักจากไข้สูง, โรงพยาบาลพญไท 3
  12. คลินิกไข้สูง, โรงพยาบาลเพชรรัตน์
  13. หนาวสั่น (Chills), HDmall

 

อ้างอิง ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2568