เมนูน่าหม่ำ

วิธีเตรียมผักและผลไม้บดเป็น เมนูอร่อย เสริมโภชนาการลูกน้อย

เมื่อลูกอายุ 6 เดือนระบบย่อยอาหารและการดูดซึมจะเริ่มทำงานดีขึ้น ถึงเวลาแล้วที่คุณควรเสริมพัฒนาการด้านการเคี้ยวและการรับรส พร้อมสร้างความคุ้นเคยกับรสชาติของผัก-ผลไม้ที่มีประโยชน์

สำคัญที่สุดคุณพ่อ-คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และภาชนะในทุกขั้นตอนของการเตรียมและการปรุงอยู่เสมอ ก่อนอื่นคุณพ่อ-คุณแม่ต้องเข้าใจถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเตรียมและการปรุงเสียก่อน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของผักหรือผลไม้ที่ใช้ในการนำมาบดเป็นเมนูน่าหม่ำสำหรับลูกน้อย โดยผักและผลไม้ที่ต้องนำมาต้มให้สุกก่อนให้ทารกกินได้แก่

Ingredients

  • ผลไม้ที่เหมาะสม - แอปเปิ้ล แอปริคอต อินทผาลัม ลูกพีช ลูกแพร์ และลูกพลัม
  • ผักที่เหมาะสม - ถั่ว แครอท กะหล่ำดอก บร็อคโคลี ถั่วลันเตา ฟัก มันฝรั่ง หัวไชเท้า มันเทศ ฟักทอง ผักโขม บวบ เห็ด

คุณค่าทางโภชนาการ

วิธีทำ

  • ระยะเวลาที่ใช้ในการเตรียมและการปรุงจะแตกต่างกันไปตามผักหรือผลไม้ที่เลือกใช้ โดยกรรมวิธีในการทำเมนูน่าหม่ำมีขั้นตอนแสนง่าย ดังนี้

    ล้างผักหรือผลไม้ ปอกเปลือก (ถ้าจำเป็น) และหั่นผักหรือผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ

    ผักผลไม้
  • ใส่ผักหรือผลไม้ที่หั่นแล้วลงในกระทะขนาดเล็กๆ เทน้ำให้พอท่วม นำไปต้มจนเดือด และเคี่ยวให้นุ่ม

  • เทน้ำออก โดยเก็บน้ำไว้ส่วนหนึ่งสำหรับใช้เติมในอาหารบด สำหรับเด็กทารก 6-8 เดือน ให้นำผักหรือผลไม้ไปบดผ่านตะแกรงหรือเครื่องปั่นจนละเอียดเสียก่อน จากนั้นให้เติมน้ำต้มที่เก็บไว้ลงไปจนกว่าจะได้เนื้อสัมผัสตามต้องการ เมื่อเด็กทารกเริ่มโตขึ้นให้บดด้วยส้อม และเติมน้ำต้มผักหรือผลไม้ลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มน่าหม่ำสุดๆ

  • ผักและผลไม้ที่บดแล้วสามารถนำไปแช่แข็งเพื่อใช้ในครั้งต่อไปได้

    ผักบด
  • เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ควรใส่ผักหรือผลไม้บดลงในถาดน้ำแข็งและแช่ช่องแข็ง ก้อนผักหรือผลไม้บดแช่แข็งแต่ละก้อนจะมีปริมาณเท่ากับ 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสำหรับทารกเริ่มกินอาหารเสริมนั่นเอง

    ** หมายเหตุ: หากลูกกินผักหรือผลไม้บดแช่แข็งไม่หมด ควรทิ้งส่วนที่เหลือทันทีและอย่านำไปแช่ตู้เย็นหรือแช่แข็งอีกครั้ง

คำถามที่พบบ่อย

ลูกเพิ่งเริ่มกินข้าวค่ะ ควรจะป้อนเยอะแค่ไหนคะ แล้วถ้าเขากินไม่หมดต้องทำยังไง?

เป็นเรื่องปกติมากเลยค่ะที่คุณแม่จะสงสัย! ในช่วงแรกๆ ให้มองว่ามันคือการ ""ฝึกซ้อม"" มากกว่าการกินจริงจังค่ะ ลองเริ่มจากปริมาณน้อยๆ แค่ 1-2 ช้อนชาก็พอค่ะ เพราะอาหารหลักของเขายังคงเป็นนมอยู่ หากเขาไม่ยอมทานต่อก็ไม่ต้องบังคับนะคะ และตามหลักความปลอดภัยแล้ว อาหารที่เหลือในถ้วยที่สัมผัสน้ำลายน้องแล้วควรทิ้งไปเลย ไม่ควรนำกลับมาเก็บใหม่ค่ะ หากคุณแม่มีความกังวลเรื่องปริมาณอาหารหรือการเจริญเติบโตของน้อง การปรึกษาคุณหมอเด็กคือทางออกที่ดีที่สุดค่ะ

จำเป็นต้องต้มผักผลไม้เสมอไปไหมคะ นึ่งแทนได้ไหม แบบไหนดีกว่ากัน?

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ! การนึ่งเป็นวิธีที่ ""ยอดเยี่ยม"" เลยค่ะ และอาจจะดีกว่าการต้มด้วยซ้ำ เพราะการนึ่งจะช่วยรักษาวิตามินและสารอาหารที่ละลายในน้ำได้ดีกว่าการต้มที่ต้องเทน้ำทิ้งไปค่ะ หัวใจสำคัญคือการทำให้ผักผลไม้นั้น ""สุกและนิ่ม"" มากพอที่น้องจะสามารถกลืนได้อย่างปลอดภัยค่ะ หากไม่แน่ใจว่าผักผลไม้ชนิดไหนปลอดภัยและเหมาะสมกับวัยของน้อง การปรึกษาคุณหมอเด็กจะช่วยให้เราวางแผนเมนูได้อย่างมั่นใจที่สุดค่ะ

พอให้ลูกลองชิมแล้วเขาทำหน้าเหม็นเบะเลยค่ะ แถมยังคายออกมาด้วย แบบนี้คือเขาไม่ชอบใช่ไหมคะ?

เป็นภาพที่คุ้นเคยสำหรับคุณพ่อคุณแม่หลายท่านเลยค่ะ! การทำหน้าเบะไม่ได้หมายความว่าเขาเกลียดเสมอไปนะคะ แต่มันคือปฏิกิริยาต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสใหม่ที่เขาไม่คุ้นเคยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเด็กอาจจะต้องลองอาหารใหม่ๆ ถึง 10-15 ครั้งกว่าจะยอมรับมันค่ะ ลองเสนอให้เขาอีกครั้งในวันถัดไปโดยไม่ต้องบังคับนะคะ แต่ถ้าน้องปฏิเสธอาหารทุกชนิดอย่างต่อเนื่องจนน่ากังวล หรือส่งผลต่อน้ำหนักตัว การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการด้านการกินก็เป็นสิ่งที่ควรทำค่ะ"