สบายใจได้เลยค่ะคุณแม่ โดยทั่วไปแล้วริดสีดวงขณะตั้งครรภ์ "ไม่เป็นอันตราย" และ "ไม่มีผลกระทบ" ต่อลูกน้อยในท้องเลยค่ะ แม้ว่าจะสร้างความเจ็บปวดและน่ารำคาญใจให้คุณแม่

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ และคำตอบคือ "จำเป็น" ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้คลอดทางช่องคลอด แต่คุณหมอยังต้องตรวจดูว่ามดลูกเข้าอู่ดีหรือยัง ปากมดลูกปิดสนิทดีไหม และตรวจรังไข่ว่าไม่มีอะไรผิดปกติค่ะ

เป็นไปได้ทั้งสองอย่างเลยค่ะ อาการปวดหน่วงๆ ก่อนมีประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเป็นการตั้งครรภ์ระยะแรกสุด มดลูกก็จะมีการขยายตัวซึ่งทำให้รู้สึกปวดหน่วงคล้ายๆ กันได้ค่ะ ข้อแตกต่างเล็กๆ

ไม่ต้องกังวลไปนะคะคุณแม่ เข้าใจเลยค่ะว่าต้องกังวลมากแน่ๆ โดยปกติแล้วการตรวจหลังคลอดจะไม่เจ็บเลยค่ะ เพราะช่วงเวลาที่คุณหมอนัด (ประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังคลอด) แผลส่วนใหญ่จะหายดีแล้ว

มีความเป็นไปได้ค่ะ! เลือดที่ออกมาเล็กน้อย สีจางๆ และหยุดไปเอง อาจเป็น ""เลือดล้างหน้าเด็ก"" (Implantation Bleeding) ซึ่งเกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวกับผนังมดลูกค่ะ

เป็นเรื่องที่แยกยากจริงๆ ค่ะ เพราะฮอร์โมนตัวเดียวกันเป็นต้นเหตุ แต่พอจะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นอาการก่อนมีประจำเดือน ความเจ็บจะค่อยๆ หายไปเมื่อประจำเดือนมาวันแรกค่ะ แต่ถ้าเป็นการตั้งครรภ์

คุณแม่ลองสังเกตง่ายๆ นะคะ ถ้าแผลติดกันดีจะรู้สึกตึงๆ แต่ไม่เจ็บปวดมากค่ะ แต่ถ้าแผลไม่ติดกันหรือมีการอักเสบ คุณแม่จะรู้สึกปวดระบมมากขึ้นเรื่อยๆ, บริเวณแผลอาจจะบวมแดงผิดปกติ

สังเกตได้จาก 3 อย่างหลักๆ ค่ะ คือ ปริมาณ, สี, และระยะเวลา ค่ะ 'เลือดล้างหน้าเด็ก' จะมีปริมาณน้อยมาก แค่เป็นจุดๆ หรือซึมเล็กน้อย, สีมักจะเป็นสีชมพูอ่อนหรือน้ำตาล และจะมาแค่ 1-2 วันแล้วหายไปค่ะ

เป็นคำถามที่สำคัญมากเลยค่ะ! "ไม่แนะนำ" ให้คุณแม่ลดน้ำหนักอย่างหักโหมในช่วงที่ยังให้นมลูกอยู่นะคะ เพราะร่างกายยังต้องการพลังงานและสารอาหารที่

เป็นความเชื่อที่ได้ยินกันบ่อยเลยค่ะ! แต่จริงๆ แล้วสารที่ให้ความเผ็ด (แคปไซซิน) ไม่สามารถส่งผ่านไปทางน้ำนมได้ในปริมาณที่จะทำให้ลูกรู้สึกเผ็ด

เป็นความเชื่อที่ได้ยินกันบ่อยเลยค่ะ แต่ไม่จำเป็นต้องกินเป็น "สองเท่า" นะคะ! โดยทั่วไปแล้วคุณแม่ที่ให้นมลูกต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นจากปกติ

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ เพราะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ตัวอ่อนกำลังฝังตัวและสร้างอวัยวะที่สำคัญค่ะ การนวดที่อาจไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดหรือกดจุดบางจุด

ไม่ได้แปลว่าไม่มีคุณภาพค่ะ! ความใสหรือความข้นของน้ำนมแม่ในแต่ละคนและในแต่ละช่วงเวลาของวันจะแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากค่ะ น้ำนมที่ดู

เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ และเป็นขั้นตอนที่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะคะ อย่าหักดิบหยุดให้นมทันทีเพราะจะทำให้คัดเต้าอย่างรุนแรงและเสี่ยงต่อท่อน้ำ

มีความเป็นไปได้สูงมากค่ะ! นี่เป็นสัญญาณคลาสสิกเลยค่ะ เพราะน้ำนมส่วนหน้ามีไขมันน้อยและย่อยง่าย จึงทำให้ลูกรู้สึกอิ่มได้ไม่นานและกลับมาหิวเร็ว

เป็นคำถามที่คุณแม่หลายท่านกังวลใจมากค่ะ โดยทั่วไปแล้ว "สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ตามปกติ" ค่ะ การขูดมดลูกในกรณีนี้เป็นการช่วยให้มดลูกกลับสู่สภาพปกติและสะอาด

ไม่ต้องกังวลไปนะคะคุณแม่ ตอนทำจะไม่เจ็บเลยค่ะ เพราะคุณหมอจะให้ยาระงับความรู้สึก อาจจะเป็นการดมยาสลบให้หลับไป หรือฉีดยาชาที่หลังค่ะ การขูดมดลูกเป็นหัตถการที่จำเป็นเพื่อนำชิ้นเนื้อในโพรงมดลูก

จำเป็นค่ะ แต่ "ห้ามเขย่าแรงๆ" นะคะ! การเขย่าขวดนมแม่แรงๆ อาจทำลายสารอาหารและเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิดในน้ำนมได้ วิธีที่ถูกต้องคือให้ แกว่งขวด

มีแน่นอนค่ะ และสำคัญมากๆ ด้วย!

แม้จะเจ็บปวดคล้ายกัน แต่มีข้อสังเกตที่แตกต่างกันชัดเจนค่ะ:
คัดเต้านม (Engorgement): จะรู้สึกตึง, บวม, แข็ง และปวด "ทั่วทั้งเต้านม" และมักจะ

เป็นไปได้สูงค่ะที่ลูกจะได้รับนมส่วนหน้าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เขาหิวเร็วขึ้นในมื้อถัดไปและอาจมีอาการท้องอืดได้จากน้ำตาลแลคโตสที่สูงในนม

คุณแม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าหลังจากปั๊มนมเสร็จและตั้งทิ้งไว้สักพักค่ะ
น้ำนมส่วนหน้า: จะมีลักษณะค่อนข้างใสเหมือนน้ำนมพร่องมันเนย เมื่อ

ไม่จริงเลยค่ะ! นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยมาก ทั้งน้ำนมส่วนหน้าและน้ำนมส่วนหลังมีความสำคัญและมีประโยชน์แตกต่างกันไป:
น้ำนมส่วนหน้า: เปรียบ

โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ ซึ่งอาจจะเทียบเท่ากับการดื่มนมประมาณ 3-4 แก้วต่อวันค่ะ แต่คุณแม่ไม่จำเป็นต้องได้แคลเซียม

เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากสำหรับคุณแม่สายปั๊มค่ะ สาเหตุอาจมาจาก:
ขนาดกรวยปั๊มไม่พอดี: นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งเลยค่ะ! หากกรวยปั๊มเล็กหรือใหญ่เกิน

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะคุณแม่! ถ้าเราทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่น่ากังวลค่ะ แต่ถ้าทานเยอะเกินไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้จริงๆ เพราะในลองกองมีน้ำตาลธรรมชาติค่อนข้างสูงค่ะ

เข้าใจเลยค่ะว่าบางทีก็อยากทานผลไม้ชื่นใจๆ เนาะ แนะนำว่าทานประมาณ 5-8 ลูกต่อครั้งก็พอให้หายอยากแล้วค่ะ และไม่ควรทานทุกวันนะคะ การทานผลไม้หลากหลายชนิดสลับกันไปจะดีที่สุด

ห้ามทำเด็ดขาดเลยค่ะ! แม้จะดูเหมือนเป็นวิธีที่เร็วที่สุด แต่การใช้น้ำที่ร้อนจัด (เกิน 40 องศาเซลเซียส) หรือนำเข้าไมโครเวฟ จะไป "ทำลาย" สารอาหาร

ส่วนใหญ่แล้ว "ไม่ใช่นมเสียค่ะ" แต่น่าจะเป็นผลมาจากเอนไซม์ที่ชื่อว่า "ไลเปส (Lipase)" ที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ของแม่บางท่านในปริมาณสูง เอนไซม์

ทานได้ค่ะคุณแม่ สบายใจได้เลย ลองกองมีวิตามินและกากใยที่ดีต่อร่างกายค่ะ แต่เพราะว่ามีรสหวานชื่นใจ ก็เลยมีน้ำตาลอยู่เยอะเหมือนกัน ทานแค่พอหายอยากจะดีที่สุดนะคะ

เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยค่ะ สำหรับนมแม่ที่ผ่านการ "อุ่น" แล้ว แต่ลูกยัง "ไม่ได้แตะปาก" เลย สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้อีก ไม่เกิน