เด็กเดินได้กี่เดือน ลูกเดินช้า มีผลต่อพัฒนาการสมองไหม

เด็กเดินได้กี่เดือน ลูกเดินช้า มีผลต่อพัฒนาการสมองไหม

การเดินเป็นพัฒนาการสำคัญของลูก ช่วงที่ลูกเริ่มยืนและก้าวเดินเอง มักทำให้คุณแม่ตื่นเต้นและภูมิใจ การเดินช่วยให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ขณะสำรวจรอบตัว เด็กแต่ละคนจะเริ่มเดินเร็วหรือช้าแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ คุณแม่สามารถสังเกตได้จากลูกดึงตัวขึ้นยืน เกาะของเล่น หรือทรงตัว เมื่อลูกเริ่มเรียนรู้การเดิน ควรฝึกบนพื้นเรียบ เช่น พื้นบ้านหรือพรม ไม่ควรฝึกบนเตียงหรือหมอนนุ่ม การให้กำลังใจและสร้างบรรยากาศปลอดภัย จะช่วยให้ลูกฝึกเดินทรงตัวได้ดี และสนุกกับทุกก้าวของตัวเอง

เด็กเดินได้กี่เดือน ลูกเดินช้า มีผลต่อพัฒนาการสมองไหม

คำถามที่พบบ่อย

ควรใส่รองเท้าให้ลูกหัดเดินหรือไม่?

ไม่ควรใส่รองเท้าให้ลูกในช่วงหัดเดิน เพราะการเดินเท้าเปล่า ช่วยให้เขาสัมผัสพื้น ฝึกทรงตัว และเสริมกล้ามเนื้อขาได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าต้องใส่รองเท้า เช่น เวลาลูกออกนอกบ้าน คุณแม่ควรเลือกรองเท้าพื้นนุ่ม ยืดหยุ่น น้ำหนักเบา และมีพื้นที่ให้ขยับนิ้วเท้าได้ จะช่วยให้ลูกเดิน ฝึกก้าว และทรงตัวได้อย่างมั่นใจ ควรหลีกเลี่ยงรองเท้าผ้าใบหรือแฟชั่นที่แข็งหรือมีส้นสูง เพราะอาจทำให้การเดินไม่เป็นธรรมชาติและขัดขวางพัฒนาการของลูก

ลูกเดินช้าเพราะน้ำหนักตัวเยอะ เกี่ยวกันไหม?

มีส่วนเกี่ยวข้องกันค่ะ ทารกที่มีน้ำหนักเกินมักพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าเด็กที่มีน้ำหนักปกติ ส่งผลให้เด็กอาจเริ่มนั่ง คลาน หรือเดินช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวเสมอไป เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนยังขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ น้ำหนักตัว บุคลิกภาพ หรือปัจจัยด้านสุขภาพ เช่น คลอดก่อนกำหนด ป่วยบ่อย หรือพัฒนาการล่าช้า โดยส่วนใหญ่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรง

ทำไมลูกถึงเดินเขย่งปลายเท้า?

ลูกชอบเดินเขย่งปลายเท้า มีหลายสาเหตุ เช่น ความเคยชินของเด็ก กล้ามเนื้อหรือน่องและเอ็นส้นเท้าที่ยังตึง ทำให้วางส้นเท้าลงพื้นไม่ถนัด หรือบางครั้งเกิดจากความเจ็บปวดเวลาวางเท้าแบบปกติ พฤติกรรมนี้มักเกิดเองและอาจหายไปเมื่อโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากลูกยังเดินเขย่งต่อเนื่อง หรือมีปัญหาเดินไม่มั่นคง ทรงตัวลำบาก ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อตรวจประเมินพัฒนาการและกล้ามเนื้อ เพื่อดูแลอย่างเหมาะสมค่ะ

สรุป

  • โดยทั่วไป เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มก้าวเดินเมื่ออายุประมาณ 9 - 15 เดือน แต่ก็อาจเร็วหรือช้ากว่านี้เล็กน้อยตามพัฒนาการและการฝึกฝน ก้าวแรกมักเริ่มจากการเกาะยืน ทรงตัว และลองก้าวสั้น ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ จากก้าวเล็ก ๆ เหล่านี้ เด็กจะค่อย ๆ เดินได้มั่นคง วิ่งคล่อง และต่อยอดไปสู่ทักษะการขึ้น – ลงบันไดอย่างปลอดภัยในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
  • การเดินของลูกเกิดจากการพัฒนากล้ามเนื้อ การทรงตัว และความกล้าในการก้าวเดิน คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้จากหลายสัญญาณ เช่น พยายามดึงตัวขึ้นยืน เกาะเฟอร์นิเจอร์เพื่อก้าวเดิน ยืนทรงตัวด้วยตัวเองได้สักครู่ พยายามปีนป่ายข้ามสิ่งกีดขวางเล็ก ๆ เดินโดยมีคนช่วยจับมือ รวมถึงนั่งยองแล้วยืนขึ้นเอง หรือเล่นผลักของเล่น ทั้งหมดนี้ล้วนบอกว่าลูกใกล้พร้อมจะเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว แม้บางครั้งอาจมีอาการงอแงหรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปบ้าง ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการ
  • เมื่อลูกเริ่มอยากก้าวเดิน คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกฝึกเดินด้วยเท้าเปล่า ยืนเกาะโต๊ะหรือเก้าอี้ที่มั่นคงเพื่อพยุงตัว หรือใช้ของเล่นดึงดูดความสนใจ ลูกจะค่อย ๆ พัฒนาความแข็งแรงและก้าวเดินได้ดีขึ้น
  • การจัดบ้านให้ปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้ลูกกล้าเดินและสำรวจสิ่งรอบตัว คุณแม่สามารถเริ่มจากเก็บของให้เป็นระเบียบ ติดฝาครอบปลั๊กไฟ ป้องกันมุมแหลมของเฟอร์นิเจอร์ และล็อคตู้หรือลิ้นชักต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของลูก หากลูกยังไม่เริ่มเดินตามวัย คุณแม่ควรพาลูกไปพบคุณหมอหรือนักพัฒนาการเด็ก เพื่อประเมินสาเหตุและแนะนำวิธีสนับสนุนพัฒนาการให้เหมาะสม

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

เด็กเดินได้กี่เดือน ลูกจะเริ่มเดินเมื่อไหร่

โดยทั่วไป เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มก้าวเดินเองได้ในช่วงอายุ 9 - 15 เดือน ซึ่งถือเป็นพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจเดินได้เร็วหรือช้ากว่านี้เล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตและการฝึกฝนของแต่ละคน

ก้าวแรกของลูกน้อย พัฒนาการก้าวแรกที่แม่ภูมิใจ

ก่อนที่ลูกจะเดินได้อย่างมั่นคง จะต้องผ่านพัฒนาการทีละขั้น เช่น เกาะยืน ทรงตัว และก้าวเล็ก ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ แต่ละวัยจะมีพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • วัย 7 – 9 เดือน : ลูกน้อยเริ่มเหนี่ยวตัวเกาะสิ่งรอบตัว ดึงตัวเองขึ้นมายืนได้ จากนั้นสามารถยืนเกาะได้นานประมาณ 10 วินาที และเริ่มทดลองก้าวเดินเล็ก ๆ ขณะเกาะ ถือเป็นก้าวแรกของการเตรียมตัวเดิน
  • วัย 10 เดือน : ลูกน้อยสามารถเกาะสิ่งของเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าได้เอง พร้อมกับหยิบจับสิ่งรอบตัวได้คล่องขึ้น
  • วัย 11 - 12 เดือน : เริ่มยืนทรงตัวได้ชั่วครู่โดยไม่ต้องพึ่งการเกาะ
  • วัย 15 เดือน : ก้าวเดินได้แบบเตาะแตะทีละนิด และบางครั้งยังพยายามคลานขึ้นบันได
  • วัย 18 - 24 เดือน : จากก้าวเล็ก ๆ พัฒนาเป็นการเดินและวิ่งที่มั่นคงขึ้น พร้อมทั้งขึ้น–ลงบันไดได้ด้วยตัวเอง

 

เด็กหัดเดินกี่เดือน สังเกตอาการตั้งไข่

คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกต อาการตั้งไข่ ของลูกน้อยได้จากการที่เริ่มยืนด้วยตัวเอง แต่ยังทรงตัวไม่มั่นคง มักยืนแล้วทรุดลงหรือล้มบ่อย ๆ คล้ายการนำไข่มาตั้งตรง ๆ ซึ่งไข่กลมมนจะตั้งได้ก็ต่อเมื่อมีที่รอง

ในช่วงอายุ 7 - 9 เดือน ลูกน้อยจะ ยืนเกาะเฟอร์นิเจอร์ได้นานอย่างน้อย 10 วินาที และฝึกทรงตัว ล้ม ๆ ลุก ๆ หลายครั้ง เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ลำตัว และสมดุล ก่อนที่จะสามารถยืนเองและเริ่มก้าวเดินได้อย่างมั่นคงในช่วง 9 - 15 เดือน

 

เด็กทารกหัดยืน

 

เด็กเริ่มเดินกี่เดือน สัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อมเดิน

การเริ่มเดินของลูกเกิดขึ้นเป็นกระบวนการพัฒนากล้ามเนื้อ และการทรงตัว คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตสัญญาณต่าง ๆ ที่บอกได้ว่าลูกของคุณใกล้พร้อมเดินด้วยตัวเอง

1. ดึงตัวขึ้นยืน (Pulling Up)

ก่อนที่ลูกจะเริ่มเดินได้ ลูกมักจะแสดงความพร้อมโดยดึงตัวขึ้นยืนเอง ซึ่งมักเกิดหลังจากลูกสามารถนั่งได้ ลูกจะใช้มือจับของแข็ง เช่น เก้าอี้ ขอบเตียง หรือขาของคุณ เพื่อช่วยดึงตัวขึ้นจากท่านั่ง เมื่อลูกทำได้ ลูกอาจยืนได้ไม่กี่วินาทีก่อนล้ม หรืออาจจะยืนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจับสิ่งใดเลย ซึ่งถือเป็นพัฒนาการสำคัญก่อนเริ่มเดิน คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ว่าลูกเริ่มแข็งแรงและคล่องตัวมากขึ้น

2. เมื่อดึงตัวขึ้นยืนได้

ลูกจะเริ่ม เดินเกาะของรอบตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือราวจับ เพื่อพยุงตัว การเดินแบบนี้ช่วยฝึกกล้ามเนื้อ ความสมดุล และการประสานงานของร่างกาย ลูกอาจยืนได้นานสักพักก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง

3. ยืนด้วยตัวเอง

ในขั้นตอนนี้ ลูกสามารถ ยืนได้โดยไม่ต้องจับอะไร พร้อมกางแขนเพื่อทรงตัวและฝึกยืน-นั่งซ้ำ ๆ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่าลูกใกล้พร้อมจะก้าวเดินเองแล้วค่ะ

4. ปีนและข้ามสิ่งกีดขวาง

ลูกจะเริ่มปีนหรือข้ามสิ่งกีดขวางเล็ก ๆ เช่น เก้าอี้ หรือ ของเล่น นั่นแสดงว่ากล้ามเนื้อขาของเขาแข็งแรงขึ้น และพร้อมสำหรับการเริ่มเดินด้วยตัวเองในเร็ว ๆ นี้

5. จับมือช่วยเดิน

เมื่อลูกเริ่มทรงตัวได้ในการลุกขึ้นยืน เขามักจะลองก้าวเดินโดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยจับมือช่วย คล้ายกับการใช้ล้อฝึกจักรยาน ที่ช่วยให้ลูกค่อย ๆ ฝึกทรงตัวและเรียนรู้การก้าวเดินได้ดีขึ้นค่ะ

6. นั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้น

อีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าลูกใกล้พร้อมเดินคือ เมื่อลูกเริ่มนั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้นเอง พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าลูกกำลังพัฒนาความแข็งแรงและการประสานงานของกล้ามเนื้อขา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการก้าวเดินค่ะ

7. ลูกใช้ของเล่นฝึกทรงตัว

การที่ลูกดันหรือดึงของเล่นขณะยืนหรือเกาะเดิน พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าลูกกำลังฝึกการทรงตัวและพร้อมเคลื่อนไหวเพื่อสำรวจสิ่งรอบตัว

8. ร้องไห้งอแง และเปลี่ยนรูปแบบการนอน

การเดินเป็นพัฒนาการสำคัญของเด็ก มักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและสมอง ลูกอาจใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้บางครั้งอารมณ์ไม่ค่อยนิ่ง แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะโดยปกติทุกอย่างจะค่อย ๆ กลับเข้าสู่ปกติเมื่อผ่านช่วงพัฒนาการสำคัญนี้ไปแล้ว

 

เด็กกี่เดือนเดินได้ พ่อแม่ควรเริ่มฝึกเดินให้ลูกเมื่อไหร่?

โดยทั่วไป เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มก้าวเดินเองได้ในช่วง 9 - 15 เดือน แต่ละคนอาจเร็วหรือช้ากว่านี้เล็กน้อย บางคนเริ่มเดินได้ตั้งแต่อายุ 9 เดือน ในขณะที่บางคนอาจเริ่มเดินช้าถึงอายุ 18 เดือน พัฒนาการเดินของเด็กเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น เริ่มจากนั่ง ลุกขึ้นยืนเกาะสิ่งของ เดินเกาะสิ่งของ และสุดท้ายคือการเดินด้วยตัวเอง

คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มสนับสนุนได้เมื่อเห็นสัญญาณความพร้อม เช่น ลุกขึ้นยืนโดยไม่ต้องพยุง หรือเดินเกาะสิ่งของได้ เพียงจัดบ้านให้ปลอดภัย และอยู่ใกล้คอยดูแล จะช่วยให้เขาเรียนรู้การเดินและสนุกไปกับทุกก้าวเล็ก ๆ ของเขา หากลูกอายุ 20 เดือนแล้วยังไม่ก้าวเดิน ควรรีบปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจประเมินพัฒนาการ และแนะนำวิธีช่วยสนับสนุนลูกให้เหมาะสม

 

เทคนิคฝึกลูกเดิน ทำตามง่ายและได้ผล

เมื่อลูกเริ่มอยากลองก้าวเดิน การฝึกเดินทีละขั้นตอนอย่างปลอดภัยจะช่วยให้ลูกแข็งแรงขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกเล่นของเล่นหรือทำกิจกรรมสนุก ๆ เป็นแรงจูงใจ ให้ลูกเรียนรู้การเดิน พร้อมสนุกไปกับทุกก้าวเล็ก ๆ ของเขา โดย เทคนิคฝึกลูกเดินง่าย ๆ มีดังนี้

1. จัดบ้านให้ปลอดภัย

เก็บของที่อาจทำให้ลูกสะดุดหรือหกล้ม ย้ายสิ่งของที่แตกง่ายออกจากพื้นที่เล่นของลูก ใส่ฝาครอบปลั๊กไฟและเก็บสายไฟให้เรียบร้อย หากไม่สามารถจัดพื้นที่บางส่วนของบ้านให้ปลอดภัยได้ อาจปิดห้องนั้น หรือสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกได้สำรวจค่ะ

2. เสริมความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว

ก่อนเดิน ลูกต้องมีกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่แข็งแรง ลองฝึกให้ลูกนั่งบนเก้าอี้เล็กหรือม้านั่ง หยิบของเล่นจากพื้น ฝึกลุก-นั่ง และเคลื่อนไหวร่างกาย

3. เดินเท้าเปล่า

การเดินเท้าเปล่าช่วยให้ลูกรับรู้พื้นผิวต่าง ๆ และเสริมความแข็งแรงของเท้า ทำให้เดินมั่นคงและทรงตัวได้ดี

4. พยุงลำตัวลูก

หากคุณพ่อคุณแม่อยากช่วยลูกฝึกเดิน ลองพาลูกเดินรอบห้องโดยพยุงเบา ๆ ที่ลำตัว จะช่วยให้ลูกฝึกเดินอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำหนักเท้าลงเต็มทั้งฝ่าเท้าและส้นเท้า ลูกจะได้ควบคุมก้าวเดินเอง แม้ช่วงแรกจะเดินช้า แต่เป็นการฝึกสำคัญที่จะช่วยให้ลูกทรงตัวได้ดีค่ะ

5. สร้างแรงจูงใจด้วยของเล่น

คุณพ่อคุณแม่สามารถนั่งเล่นกับลูก แล้ววางของเล่นชิ้นโปรดห่างออกไป 2 - 3 ก้าว หรือจัดเป็นเส้นทางให้ลูกเดินจากชิ้นหนึ่งไปอีกชิ้น การฝึกนี้ไม่เพียงเพิ่มความสนุก แต่ยังช่วยเสริมกล้ามเนื้อมัดใหญ่และฝึกการทรงตัวของลูกได้ด้วย

6. ฝึกก้ม-ยืนและเอื้อมสูงต่ำ

วางของเล่นในระดับความสูงต่าง ๆ หรือเล่นเป่าฟองสบู่ให้ลอยอยู่เหนือศีรษะ ลูกจะได้ฝึกก้มตัวและลุกขึ้นยืน เป็นการช่วยฝึกการถ่ายน้ำหนักและเสริมกล้ามเนื้อขาค่ะ

7. เดินเกาะสิ่งของรอบตัว

เมื่อลูกดึงตัวขึ้นยืนได้แล้ว อาจเริ่มให้ลูกเดินเกาะโซฟา โต๊ะ หรือเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ การฝึกซ้ำหลายครั้งช่วยเสริมกล้ามเนื้อสะโพกและต้นขา

8. ใช้ของเล่นแบบเข็น

รถเข็นเด็กหรือของเล่นที่ลูกสามารถผลักไปข้างหน้าได้ ช่วยให้ลูกฝึกเดินด้วยตัวเอง สนุกกับการเคลื่อนไหว และเสริมความแข็งแรงของขา ควรเลือกของที่แข็งแรง ทนทาน และเหมาะกับพื้นบ้านเพื่อความปลอดภัยค่ะ

9. ให้ลูกถือของเล่นสองมือ

เริ่มจากให้ลูกถือของเล่นชิ้นเล็กก่อน แล้วค่อยเพิ่มชิ้นที่สอง หรือใช้ตุ๊กตาน้ำหนักเบาที่ต้องถือด้วยสองมือ วิธีนี้ช่วยฝึกสมดุลของลำตัวและขา พร้อมลดการเกาะสิ่งของเพื่อพยุงตัวค่ะ

10. ฝึกปีนบันไดหรือทางลาด

คุณแม่สามารถให้ลูกไต่บันไดอย่างช้า ๆ โดยใช้มือจับราวหรือขั้นบันได พยุงตัวด้วยเข่าและเท้าอย่างระมัดระวัง หรือใช้ทางลาด ฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางและขา ขณะฝึก ลูกก็จะได้เคลื่อนไหวลำตัวทั้งส่วนบนและส่วนล่างไปพร้อมกัน ตลอดการฝึก คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่ใกล้ชิดลูกเพื่อความปลอดภัยค่ะ

 

คุณแม่ช่วยประคองเด็กวัยกำลังหัดเดิน

 

ลูกเดินไม่ได้ตามพัฒนาการ ควรปรึกษาคุณหมอไหม

หากลูกยังไม่เริ่มเดินตามวัย คุณแม่ควรพาลูกไปปรึกษาคุณหมอหรือนักพัฒนาการเด็ก เพื่อตรวจดูสาเหตุและแนะนำวิธีช่วยฝึกเดินอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปเด็กส่วนใหญ่จะเริ่มเดินได้ประมาณ 9 - 15 เดือน แต่หากอายุ 18 เดือนแล้วยังไม่เริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ขยับตัวก้าวเดิน หรืออายุ 20 เดือนแล้วยังเดินไม่ได้ ควรรีบพาไปพบคุณหมอเพื่อประเมินเพิ่มเติมค่ะ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อที่คุณหมอจะได้มีแนวทางช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกเริ่มเดินได้อย่างปลอดภัยค่ะ

 

รถหัดเดินจำเป็นมากแค่ไหน

รถหัดเดินไม่จำเป็นสำหรับการฝึกเดิน และไม่ได้ช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้นอย่างที่หลายคนเชื่อเลยค่ะ ตรงกันข้าม กลับอาจทำให้พัฒนาการเดินล่าช้าได้ เพราะวัยหัดเดินเป็นช่วงเวลาที่เด็กควรได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง หากใช้รถหัดเดิน ลูกจะพลาดโอกาสในการฝึกยืน ทรงตัว และก้าวเดินอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งรถหัดเดินที่มีขนาดใหญ่ยังทำให้การเอื้อมหยิบของรอบตัวทำได้ยาก ส่งผลให้การพัฒนากล้ามเนื้อและการถ่ายน้ำหนักจากขาหนึ่งไปอีกขาหนึ่งช้าลง

นอกจากนี้ เด็กที่ใช้รถหัดเดินมักจะดันตัวด้วยปลายเท้าแทนที่จะลงเต็มฝ่าเท้า ซึ่งอาจทำให้ติดเป็นนิสัยเดินเขย่งปลายเท้าได้ และเมื่อเลิกใช้แล้ว เด็กอาจยังเดินด้วยปลายนิ้วเท้าต่อไป ส่งผลต่อพัฒนาการเดินระยะยาวค่ะ

อันตรายจากการใช้รถหัดเดิน

นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ลูกฝึกเดินได้ดีขึ้นแล้ว การใช้รถหัดเดินยังเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายหลายอย่างกับลูก เช่น

  • เด็กในรถหัดเดินเคลื่อนที่เร็วมาก แค่ไม่กี่วินาทีก็ไปได้ไกลถึง 1 เมตร ทำให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ดูแลตามไม่ทันและเกิดอุบัติเหตุได้
  • รถหัดเดินบางรุ่นมีล้อ ทำให้ลูกเคลื่อนไหวเร็วและเอื้อมของได้สูง จึงเสี่ยงตก หรือหยิบจับของมีคม ของร้อนได้
  • แม้ผู้ผลิตจะเพิ่มเบรกหรือทำให้ผ่านประตูยากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ทั้งหมด

 

ด้วยเหตุนี้ สมาคมกุมารแพทย์อเมริกัน (AAP) จึงแนะนำให้เลิกผลิตและจำหน่ายรถหัดเดินที่มีล้อ ส่วนในประเทศแคนาดา รถหัดเดินเด็กถูกห้ามผลิต นำเข้า โฆษณา หรือจำหน่าย ตามกฎหมายความปลอดภัยผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค เพื่อลดความเสี่ยงและปกป้องลูกจากอันตราย

 

จัดบ้านอย่างไรให้ปลอดภัย เมื่อลูกเริ่มฝึกเดิน

เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ช่วงหัดเดิน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีพื้นที่ที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเคลื่อนไหวของเขา การจัดบ้านให้เหมาะสมไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ แต่ยังทำให้ลูกกล้าที่จะลองก้าวเดิน และสนุกไปกับการสำรวจโลกใบใหม่ด้วยค่ะ

วิธีจัดบ้านให้ปลอดภัยสำหรับเจ้าตัวเล็ก

  • เคลียร์พื้นที่ให้โล่ง

เก็บของบนพื้น เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก พรม หรือสายไฟ เพื่อลดโอกาสที่ลูกจะสะดุดหกล้ม และช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

  • ติดฝาครอบปลั๊กไฟ

ป้องกันไม่ให้ลูกเอานิ้วหรือสิ่งของแหย่เข้าไปในปลั๊ก ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าช็อตหรือไฟไหม้ได้มาก

  • ปิดมุมแหลมและขอบเฟอร์นิเจอร์

ใช้แผ่นกันกระแทกปิดตามขอบโต๊ะ ตู้ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีมุมแหลม เพื่อกันการบาดเจ็บเวลาเดินชน

  • ล็อคตู้และลิ้นชัก

เก็บสารเคมี ของมีคม หรือของใช้ที่อันตรายใส่ในตู้และล็อคให้เรียบร้อย เช่น น้ำยาทำความสะอาด มีด หรือกรรไกร

  • ระวังสายผ้าม่าน

เลือกม่านที่ไม่มีสายห้อย หรือใช้ตัวม้วนเก็บสาย เพื่อป้องกันอันตรายจากการพันรอบคอ

  • ยึดเฟอร์นิเจอร์กับผนัง

ตู้ หรือชั้นวางของที่สูง ควรยึดแน่นกับผนัง เผื่อเวลาลูกดึงหรือปีน จะได้ไม่ล้มมาทับ

  • ระวังตู้หรือกล่องเก็บของ

บางครั้งเด็กอาจปีนหรือมุดเข้าไปในกล่องแล้วถูกฝาปิดทับ ควรเลือกที่เก็บของที่ปลอดภัย

  • ล็อคหน้าต่างและประตูใกล้ระเบียง

เพื่อป้องกันการปีนหรือพลัดตก และอย่าวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ใกล้หน้าต่างที่เปิดได้

  • การป้องกันที่เกี่ยวกับน้ำและสารเคมี

ถ้ามีสระน้ำ บ่อน้ำ หรือแม้แต่ถังน้ำ ควรมีฝาปิดหรือรั้วกั้นอย่างมิดชิด ส่วนสารเคมีก็เก็บในที่สูงและล็อคไว้เสมอ

  • เก็บยาทุกชนิดให้พ้นมือเด็ก

แม้แต่ยาสามัญในบ้านก็ควรเก็บให้พ้นมือ และอย่าลืมตรวจดูของในกระเป๋าผู้ใหญ่หรือแขกที่มาเยี่ยมด้วยค่ะ

  • ติดตั้งประตูกั้นบันได

เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ลูกคลานหรือเดินขึ้น–ลงบันไดเอง รวมถึงประตูที่เชื่อมไปยังระเบียงหรือทางออกนอกบ้าน

 

การเริ่มก้าวเดินของลูกเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากการนั่ง ลุกขึ้นยืนโดยเกาะจับสิ่งของ และค่อย ๆ ก้าวเดินด้วยตัวเอง การดูแลเอาใจใส่และสังเกตความพร้อมของลูกมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการทรงตัว ทำให้ลูกเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและปลอดภัย นอกจากนี้ โภชนาการก็มีส่วนช่วยสนับสนุนพัฒนาการของลูก คุณแม่ควรให้ลูกได้รับนมแม่ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน หรือนานกว่านั้น นมแม่อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการสมอง ระบบประสาท และการเจริญเติบโต ให้เด็กเจนใหม่สมองไว มีสมาธิ และพัฒนาการเหมาะสมกับวัย

คุณแม่สามารถสังเกตและสนับสนุนลูกได้ทุกวัน เพื่อให้เขาเติบโตแข็งแรง หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพัฒนาการของลูก ควรปรึกษาคุณหมอหรือนักพัฒนาการเด็กเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. ตารางพัฒนาการเด็กปฐมวัย , โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  2. สังเกตพัฒนาการลูกรัก การเคลื่อนไหวช้าผิดปกติหรือไม่ , โรงพยาบาลพญาไท 3
  3. คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) , สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  4. พัฒนาการตามวัยของเด็ก 0-5 ปี , สมาคมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก
  5. ตั้งไข่ , สำนักงานราชบัณฑิตยสถาน
  6. When Will Your Baby Start Walking? , health.clevelandclinic.org
  7. Signs Your Baby is Will Walk Soon , mercy.net
  8. 7 Signs Your Baby Will Walk Soon , parenting.firstcry.com
  9. How to Teach Your Baby to Walk , healthline.com
  10. Baby Walkers: A Dangerous Choice , healthychildren.org
  11. รถหัดเดิน คืออะไร และจำเป็นสำหรับเด็กหรือไม่ , hellokhunmor.com
  12. A Guide To Childproofing Your Home , health.clevelandclinic.org
  13. Your Ultimate Baby Proofing Checklist , thebump.com
  14. Learning to walk , cambspborochildrenshealth.nhs.uk
  15. UNC study: Too much weight may delay infants? ability to crawl, walk , uncnewsarchive.unc.edu
  16. Is Your Baby a Late Bloomer? , parents.com
  17. Toe Walking , my.clevelandclinic.org
     

อ้างอิง ณ วันที่ 1 กันยายน 2568