ลูกร้องไห้ไม่หยุด? เข้าใจพฤติกรรมและวิธีรับมือเด็กร้องไห้ไม่หยุด

ลูกร้องไห้ไม่หยุด? เข้าใจพฤติกรรมและวิธีรับมือเด็กร้องไห้ไม่หยุด

เสียงร้องไห้แรกของลูกน้อยคือจุดเริ่มต้นของการสื่อสาร และแม้ว่าในตอนแรก เสียงเด็กร้องไห้ อาจฟังดูเป็นภาษาที่เข้าใจยาก แต่แท้จริงแล้วเสียงเด็กร้องไห้นี้ คือกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ความต้องการและอารมณ์ของลูกน้อย มาหาคำตอบกันว่า เด็กร้องไห้ แต่ละแบบมีความหมายว่าอย่างไรบ้าง

ลูกร้องไห้ไม่หยุด? เข้าใจพฤติกรรมและวิธีรับมือเด็กร้องไห้ไม่หยุด

คำถามที่พบบ่อย

การฝึกนอนแบบปล่อยให้ลูกร้องไห้ไปเอง (Cry It Out) คืออะไร?

การฝึกนอนแบบ Cry It Out คือเทคนิคการฝึกให้ลูกเรียนรู้ที่จะกล่อมตัวเองนอนหลับได้ โดยคุณพ่อคุณแม่จะค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาที่ลูกร้องไห้ก่อนที่จะเข้าไปปลอบ ไม่ใช่ การปล่อยให้ลูกร้องจนหลับไปเองโดยไม่สนใจ ซึ่งอาจกระทบต่อจิตใจลูก

  • ช่วงอายุที่เหมาะสม: ควรเริ่มฝึกในเด็กอายุ 4-6 เดือนขึ้นไป
  • หลักการ: เน้นการสร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ทำซ้ำ ๆ ทุกคืน (เช่น กินนม, อ่านนิทาน) เพื่อให้ลูกจดจำว่าเป็นสัญญาณของการนอนหลับ

ลูกจะเรียนรู้ที่จะกล่อมตัวเองให้หลับได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะทำสำเร็จได้ในสัปดาห์แรกค่ะ

ลูกร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องไปโรงเรียน ควรทำอย่างไร?

เมื่อลูกร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องไปโรงเรียน สาเหตุอาจเกิดจาก ความไม่พร้อมด้านพัฒนาการ การกลัวการแยกจาก (Separation Anxiety) หรือความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมใหม่ การรับมือที่ถูกต้องคือ คุณพ่อคุณแม่ควร สังเกตอาการ และพยายาม ทำความเข้าใจสาเหตุ ที่เป็นไปได้ จากนั้นลดความกังวลของตัวเองลง แล้วพูดคุยสอบถามลูกอย่างใจเย็น ที่สำคัญคือ ปรึกษาและวางแผนร่วมกับคุณครู เพื่อช่วยกันสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้ลูกปรับตัวเข้ากับการไปโรงเรียนได้อย่างราบรื่นค่ะ

ลูกร้องกลั้นบ่อย ๆ เป็นอันตรายไหม?

อาการ "ร้องไห้กลั้น" หรือ Breath Holding Spell พบได้บ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปี โดยเฉพาะช่วง 2 ปี มักจะเกิดขึ้นเมื่อลูกมีอารมณ์รุนแรง เช่น ตกใจ หรือหงุดหงิดมาก ๆ จนทำให้หยุดหายใจชั่วขณะ หน้าเขียว หรือบางครั้งอาจหมดสติไป การร้องไห้กลั้นนี้ ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของเด็ก และลูกจะกลับมาหายใจได้เองภายใน 1 นาที อย่างไรก็ตาม หากลูกมีอาการร้องไห้กลั้นบ่อยครั้ง หรือหากลูกมีอาการหยุดหายใจนานผิดปกติ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อ รับการวินิจฉัยและตรวจหาสาเหตุอื่นที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น ภาวะเลือดจางค่ะ

สรุป

  • เด็กร้องไห้ คือกลไกและภาษาติดตัวที่ลูกน้อยใช้สื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในช่วงแรก การร้องไห้ มักเป็นสัญญาณบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือไม่สบายตัว ไม่ว่าจะเป็นความต้องการพื้นฐาน เช่น หิว ผ้าอ้อมเปียก ง่วงนอน หรืออาจเป็นความต้องการทางอารมณ์ เช่น ต้องการให้อุ้ม กอด และปลอบโยน
  • ลักษณะเสียงของ เด็กร้องไห้ สามารถบ่งบอกถึงความต้องการที่แตกต่างกันได้ เช่น เสียงร้องที่สื่อว่า "หิว" มักจะมีลักษณะสั้นและมีโทนต่ำ ขณะที่เสียงร้องที่แสดงความ "ไม่พอใจ" อาจจะฟังดูขาด ๆ หาย ๆ และไม่ต่อเนื่องกัน
  • ภาวะโคลิค (Colic) คืออาการที่ เด็กร้องไห้อย่างหนัก ร้องไม่หยุดและต่อเนื่องนานกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ร้องไห้ มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และมักเกิดในช่วงเวลาเดิม ๆ โดยเฉพาะบ่ายถึงเย็น ลักษณะคือร้องจนหน้าแดง ท้องแข็ง กำมือแน่น และขดขาขึ้น แม้จะปลอบอย่างไรก็ไม่หยุด ภาวะนี้อาจเกิดจากอาการจุกเสียดในท้อง ซึ่งมีหลายสาเหตุ เช่น การกลืนอากาศขณะกินนม การแพ้โปรตีนในนม หรือระบบย่อยอาหารที่ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์
  • หากเด็กร้องไห้ต่อเนื่องเป็นเวลานานผิดปกติ เช่น ร้องไม่หยุดนานหลายชั่วโมง หรือ เสียงร้องไห้ฟังดูผิดแปลกไปอย่างมาก เหมือนร้องด้วยความเจ็บปวด คุณพ่อคุณแม่ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกที่กำลังร้องไห้มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด กินนมน้อยลง มีไข้ หายใจลำบาก หรือหายใจเร็วผิดปกติ เพราะอาการเหล่านี้บ่งบอกถึงความผิดปกติที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์โดยเร็วที่สุด

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ทำไมเด็กร้องไห้? เข้าใจการสื่อสารแรกของลูก

การร้องไห้ คือความสามารถที่ติดตัวลูกมาตั้งแต่เกิดและเป็น วิธีเดียวที่ลูกน้อยใช้สื่อสาร กับคุณแม่ค่ะ ในช่วงแรก ๆ เสียงร้องไห้ของลูกมักเป็นการบอกคุณแม่ว่า กำลังมีบางอย่างผิดปกติอยู่นะ ไม่ว่าจะเป็น หิว ท้องว่าง ก้นเปียกแฉะ ผ้าอ้อมเต็ม หนาว เท้าเย็น ง่วงนอน เหนื่อย หรือต้องการให้อุ้ม กอด และปลอบโยน นอกจากเสียงร้องไห้แล้ว ลูกน้อยยังใช้ เสียงอื่น ๆ สีหน้า และการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเชื่อมโยงกับคุณแม่ด้วย การเรียนรู้ที่จะจดจำสัญญาณเหล่านี้ได้เป็นเรื่องที่ดีและจะช่วยเสริมสร้างความผูกพัน ระหว่างคุณแม่กับลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นค่ะ

 

ถอดรหัสเสียง เด็กร้องไห้ (แรกเกิด - 1 ปี) ไขปริศนาเสียงร้องไห้ของลูกรัก

คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกว่า "ทำไมลูกถึงเริ่มร้องไห้มากขึ้นนะ?" ในช่วงแรกเกิด ลูกน้อยมักจะหลับเก่งมาก จนกระทั่งอายุประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป คุณแม่อาจสังเกตเห็นว่า เด็กร้องไห้ บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีก็หาสาเหตุชัดเจนไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจได้เป็นธรรมดาค่ะ

1. กราฟการร้องไห้ นี่คือเรื่องปกติ!

ไม่ต้องตกใจ! การร้องไห้ที่เพิ่มขึ้นนี้คือ พัฒนาการปกติ ตามวัยของลูกค่ะ

  • ช่วงพีค (6 - 8 สัปดาห์): โดยธรรมชาติแล้ว ทารกในช่วงนี้จะ ร้องไห้ เฉลี่ยประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน อาจฟังดูเยอะใช่ไหมคะ? แต่ก็เป็นเพราะว่า นี่ถือเป็นช่วงที่ลูกกำลังปรับตัวกับโลกใบใหม่ค่ะ
  • ช่วงสงบลง (10 - 12 สัปดาห์): หลังจากผ่านช่วงพีคไป ลูกจะเริ่มร้องไห้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน

การร้องไห้ลักษณะนี้ แม้จะดูหนักหน่วงในบางครั้ง แต่ไม่ส่งผลเสีย ต่อร่างกายหรือพัฒนาการของลูกน้อยเลยค่ะ การร้องไห้ที่ไม่มีสาเหตุชัดเจนและเป็นไปตามช่วงวัยนี้ ทางการแพทย์จะเรียกว่า โคลิค (Colic) นั่นเองค่ะ

 

2. ถอดรหัสเสียงร้องไห้

รู้ไหมคะว่า เราสามารถ แยกแยะความต้องการของลูกได้จาก ลักษณะเสียงเด็กร้องไห้ เช่น

  • เสียงร้องที่บอกว่า "หิว" จะเป็นเสียงร้องที่สั้นและมีโทนต่ำ
  • เสียงร้องที่บอกว่า “ง่วง” จะเป็นเสียงร้องคร่ำครวญขึ้นจมูกและต่อเนื่องจนเสียงร้องค่อย ๆ ดังขึ้น
  • เสียงร้องที่บอกว่า "ไม่พอใจ" อาจจะฟังดูขาด ๆ หาย ๆ ไม่ต่อเนื่อง
  • เสียงร้องที่บอกว่า “ไม่สบาย” ลักษณะเสียงร้องจะแผ่วเบา ๆ ที่ฟังดูอ่อนแรง

ไม่นานเกินรอ คุณพ่อคุณแม่จะเริ่ม เรียนรู้และจดจำ ได้เองว่าเสียงร้องแบบไหนที่ลูกกำลังบอกอะไร และจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกได้อย่างถูกต้องค่ะ

 

เด็กร้องไห้ ทารกร้องไม่หยุด ร้องโคลิค หรือเปล่า

ภาวะโคลิค (Colic) คืออาการที่ลูกน้อย เด็กร้องไห้ หนักมากติดต่อกัน นานกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน และเกิดขึ้นบ่อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ มักเป็นในช่วงเวลาเดิม ๆ ของทุกวัน โดยเฉพาะ ช่วงบ่ายถึงเย็น แม้ปลอบอย่างไรก็ไม่หยุด ร้องจนหน้าแดง ท้องแข็ง กำมือแน่น และขดขาขึ้น ซึ่งอาการนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เกิดจากอาการ จุกเสียดในท้อง จากหลายสาเหตุ เช่น การกลืนอากาศขณะกินนม การแพ้โปรตีนในนม หรือระบบย่อยอาหารที่ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ค่ะ

โคลิคอาจเกิดขึ้นกับทารกประมาณ 20% จากนั้นอาการจะค่อย ๆ เบาลง ค่อย ๆ หายไปในช่วงที่ลูกน้อยมีอายุ 3-4 เดือน แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะเจาะจงกับอาการร้องโคลิค แต่คุณแม่สามารถบรรเทาอาการ ได้ด้วยการปลอบโยน เช่น การห่อตัวสัมผัสผิวหนัง (Skin-to-Skin) อุ้มลูกขึ้นมาแล้วโยกตัวเบา ๆ

หากคุณแม่ได้ลองใช้วิธีบรรเทาอาการโคลิคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่อาการ เด็กร้องไห้ ยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ และรับคำแนะนำในการดูแลอย่างเหมาะสมนะคะ

 

6 สาเหตุ เด็กร้องไห้ไม่หยุด ที่พบบ่อย พร้อมวิธีปลอบโยน

เสียงร้องของลูกรักคือภาษาแรกที่ใช้สื่อสารกับคุณแม่ ลองมาถอดรหัสเสียงต่าง ๆ กันว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกได้อย่างตรงจุดกันค่ะ

1. หนูหิวแล้ว

สังเกตจาก: เสียงร้องที่มีจังหวะสั้น และโทนต่ำ พร้อมกับสัญญาณอื่น ๆ เช่น ทำท่าหันหน้าหาเต้านม ทำปากดูด ส่งเสียงจุ๊บ ๆ หรือเอานิ้วเข้าปาก ในเด็กทารกจะต้องกินนมทุก 2-3 ชั่วโมง เด็กทารกที่กินนมแม่จะหิวบ่อย เนื่องจากนมแม่มีเวย์โปรตีน สูงจึงย่อยง่ายและดูดซึมเร็ว การให้ลูกกินนมแม่มีประโยชน์มาก เพราะนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) มีส่วนช่วยสำคัญในการพัฒนาสมองของเด็กเจนใหม่ โดยทำหน้าที่สร้างสารสื่อประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งสัญญาณประสาทให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ผลลัพธ์คือลูกน้อยสามารถจดจำและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

วิธีปลอบโยน: ให้ตอบสนองสัญญาณ "หิว" ของลูกให้เร็วที่สุดค่ะ ถ้าลูกร้องไห้หนักแล้วค่อยให้นม ลูกอาจจะรีบกลืนนมจนกลืนอากาศเข้าไปด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการท้องอืด แหวะนม และร้องไห้หนักขึ้นอีกได้

 

2. หนูง่วง/ไม่สบายตัว

สังเกตจาก: เสียงร้องที่ คร่ำครวญขึ้นจมูกและต่อเนื่อง ก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ (บอกว่า "หนูไม่ไหวแล้ว ง่วงขอพักหน่อย!") ลูกมักมีอาการหาว ขยี้ตา หรือดึงหูร่วมด้วย หรืออาจเป็นเพราะ ไม่สบายตัว เช่น ผ้าอ้อมเปียก หรือนั่งคาร์ซีทแล้วอึดอัด

วิธีปลอบโยน: ตรวจดูผ้าอ้อมที่เปียกหรือสกปรก ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นให้ช่วยลูกน้อยได้นอนหลับตามที่ต้องการ อย่าลืมว่าทารกแรกเกิดอาจนอนรวมกันมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันค่ะ

 

3. พอแล้ว! หนูรับไม่ไหวแล้ว

สังเกตจาก: เสียงร้องที่ คร่ำครวญและงอแง ลูกอาจพยายาม หันศีรษะหรือเบือนตัวหนี จากภาพหรือเสียงที่กระตุ้นมากเกินไป

วิธีปลอบโยน: เมื่อรู้แล้วว่า เด็กร้องไห้ จากการได้รับสิ่งเร้ามากเกินไป ให้พาลูกย้ายออกจากบริเวณที่มีเสียงดัง การเคลื่อนไหว หรือแสงสีที่วุ่นวาย และจัดที่ให้สงบ ลองเปิดเสียงสีขาว (White Noise) เช่น เสียงพัดลม เครื่องดูดฝุ่น หรือเสียงธรรมชาติอย่างคลื่นทะเล ก็ช่วยให้ลูกผ่อนคลายได้ค่ะ

 

4. หนูเบื่อจัง

สังเกตจาก: เสียงร้องที่เริ่มจาก เสียงอ้อแอ้ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงงอแง เมื่อความสนใจที่ต้องการนั้นมาไม่ถึง และกลายเป็นเสียงร้องไห้อย่างหัวเสีย สลับกับเสียงสะอื้นเบา ๆ ("ทำไมแม่ไม่สนใจหนูเลย?")

วิธีปลอบโยน: อุ้มลูกขึ้นมา หรือเล่นกับลูกทันที ส่วนใหญ่อาการร้องไห้จะหยุดลงทันทีเมื่อลูกได้รับความสนใจและการกอดอย่างที่ต้องการค่ะ

 

5. หนูปวดท้องโคลิค!

สังเกตจาก: เสียงร้องที่แผดเสียงหรือกรีดร้องอย่างรุนแรง ร่วมกับการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง อาการโคลิคมักเกิดในช่วง บ่ายแก่ ๆ หรือช่วงเย็น ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง โดยทั่วไปจะพีคที่อายุประมาณ 6 สัปดาห์ และจะหายไปเองเมื่ออายุ 3-4 เดือน

วิธีปลอบโยน: แม้จะปลอบโยนได้ยาก แต่ให้ลองจัดท่าที่ช่วยบรรเทาอาการ เช่น อุ้มลูกคว่ำบนแขนคุณแม่ หรือวางลูกคว่ำบนตักแล้วลูบหลังเบา ๆ หรือลองจับเข่าลูกดันเข้าหาท้องเบา ๆ สลับกับการปล่อย เพื่อช่วยให้ลูกขับแก๊สออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เชื่อว่าทำให้เกิดโคลิค

 

6. หนูไม่สบาย

สังเกตจาก: เสียงร้องที่แผ่วเบา และมีระดับเสียงที่ต่ำกว่าเสียงร้องที่เกิดจากความเจ็บปวดหรือเหนื่อยเกินไปนี้ ฟังดูเหมือนไม่มีแรงจะร้องไห้เสียงดัง หากสงสัยว่าลูกไม่สบาย ให้สังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ ท้องเสีย อาเจียน หรืออาการอื่น ๆ ที่ผิดปกติ

วิธีปลอบโยน: คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็กเบื้องต้นว่าลูกตัวร้อนจน มีไข้ได้หรือไม่จากการใช้ปรอทวัดไข้ หากพบว่าลูกมีไข้ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที

  • เด็กแรกเกิดถึง 1 เดือน หากวัดอุณหภูมิร่างกายได้ 37.5 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า คือมีไข้
  • เด็กอายุมากกว่า 1 เดือน หากวัดอุณหภูมิร่างกายได้ 37.8 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า คือมีไข้

เด็กร้องไห้ คือภาษาของลูกน้อย การเรียนรู้เสียงร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะหิว เหนื่อย เบื่อ หรือปวดท้องโคลิค จะช่วยให้คุณแม่ตอบสนองลูกได้ตรงจุดค่ะ หากรู้สึกว่าลูกไม่สบายหรืออาการโคลิคหนักจนน่ากังวล อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบปรึกษากุมารแพทย์ทันทีค่ะ

 

เด็กร้องไห้ การรับมือเมื่อทารกร้องไห้

ตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ เมื่อเด็กร้องไห้ คุณแม่ควรเริ่มต้นจากการสังเกตความต้องการพื้นฐานของลูกน้อยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะบ่อยครั้งที่เด็กร้องไห้ โดยเฉพาะการร้องไห้ของทารกนั้น คือการขอร้องอย่างตรงไปตรงมา ว่าลูกต้องการอะไรบางอย่างนั่นเองค่ะ

1. ตรวจสอบความต้องการพื้นฐานของลูกน้อยเป็นอันดับแรก

การที่เด็กร้องไห้อาจเป็นสัญญาณง่าย ๆ ว่าลูกน้อยต้องการบางอย่าง คุณแม่ลองตรวจสอบความต้องการทางร่างกายของลูกก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ

  • ลูกหิวหรือไม่?
  • ลูกต้องการเรอไหม?
  • ลูกร้อนหรือหนาวเกินไปหรือเปล่า?
  • ผ้าอ้อมสกปรกหรือไม่?

 

2. สังเกตอาการป่วย

หากคุณแม่ตรวจสอบความต้องการพื้นฐานทั้งหมดแล้ว และลูกน้อยก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ให้สังเกตสัญญาณของอาการป่วยหรือไข้ค่ะ

  • เสียงร้องไห้ของลูกดูแตกต่างไปจากปกติ
  • ลูกดูเซื่องซึมหรือหมดแรง
  • ลูกมีไข้

หากมีอาการเหล่านี้ อย่าลังเลที่จะพาลูกไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันทีค่ะ การได้รับคำแนะนำจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเมื่อสงสัยว่าลูกป่วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

 

3. การรับมือเมื่อทารกร้องไห้ไม่หยุด

หากลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรงดี และความต้องการพื้นฐานทางร่างกายได้รับการดูแลแล้ว และลูกก็ไม่ได้มีอาการป่วยไข้ คุณแม่ลองใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ลูกน้อยสงบลงค่ะ

  • อุ้มและโยกเบา ๆ: โยกตัวลูกน้อยเบา ๆ กอดลูกไว้แน่น หรือเดินไปพร้อมกับอุ้มลูก
  • ยืนขึ้น: อุ้มลูกไว้ใกล้ ๆ แล้วย่อเข่าลงและขึ้นซ้ำ ๆ อย่างนุ่มนวล ทารกหลายคนจะรู้สึกสงบจากการเคลื่อนไหวที่เป็นจังหวะแบบนี้ เพราะเป็นการเลียนแบบความรู้สึกเหมือนตอนอยู่ในครรภ์
  • ร้องเพลงหรือพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน: พูดหรือร้องเพลงให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
  • ลูบสัมผัส: ลูบหรือนวดหลัง หน้าอก หรือท้องของลูกน้อยเบา
  • ให้จุกนมหลอกหรือของเล่น: ลองให้จุกนมหลอก หรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกด้วยของเล่นชิ้นโปรด เช่น ของเล่นเขย่า
  • ห่อตัว: ห่อตัวลูกด้วยผ้าห่มนุ่ม ๆ ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย แต่ต้องแน่ใจว่าไม่ได้ห่อแน่นจนเกินไปนะคะ
  • พาออกนอกบ้าน: พาลูกนั่งรถเข็นเด็ก หรือพาไปนั่งรถโดยใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือคารซีทที่ติดตั้งอย่างถูกต้อง แต่โปรดจำไว้ว่า เบาะรถยนต์มีไว้สำหรับการเดินทาง ไม่ใช่สำหรับการนอนตามปกตินะคะ
  • เปิดเพลงเบา ๆ หรือเสียงสีขาว (White Noise): ลองเปิดเพลงเบา ๆ หรือเสียงสีขาว เช่น เสียงเครื่องดูดฝุ่น หรือเสียงเครื่องอบผ้า

เมื่อลูกร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่ควรตั้งสติและไม่หงุดหงิดใส่ลูก แต่ควรหาสาเหตุว่าที่ลูกร้องไห้เพราะอะไร เพื่อจะได้ช่วยให้ลูกหยุดร้องไห้ และสงบลงค่ะ

 

รับมือเด็กร้องไห้ เด็กวัยเตาะแตะ (1 ปีขึ้นไป)

เด็กวัยเตาะแตะอาจร้องไห้ด้วยเหตุผลเดียวกับทารก เช่น หิว ง่วง ไม่สบาย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ เด็กวัยนี้ยังร้องไห้เพื่อรับมือกับอารมณ์ใหม่ ๆ และซับซ้อนมากขึ้น เช่น ความหงุดหงิด ความอับอาย หรือความอิจฉา ก็ได้เช่นกันค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่ตรวจสอบแล้วว่าร่างกายของลูกปกติดี ไม่ได้หิว หรือป่วย ลองนำแนวคิดเหล่านี้ไปใช้เพื่อช่วยให้ลูกหยุดร้องไห้ โดยเฉพาะเวลาที่ลูกร้องไห้ไม่ยอมหยุด

  • ลูกอาจจะเหนื่อย: คุณแม่ลองชวนลูกไปพักผ่อน หรืออาจจะใช้เวลานั่งฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านนิทานด้วยกันอย่างสงบ
  • ถ้าร้องไห้ช่วงเวลานอน: พยายามหาตัวช่วยในการกล่อมนอน เพื่อให้ลูกสงบลงและพร้อมที่จะเข้านอน
  • หากลูกกำลังโกรธหรืออาละวาด: ให้คุณแม่พาลูกไปยังที่ที่ปลอดภัย และใช้ 'Time-in' ใช้เวลานั่งสงบอยู่ด้วยกันเพื่อช่วยให้ลูกสงบลงอย่างอ่อนโยน
  • หากลูกหงุดหงิดจากความผิดหวัง: พยายามหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกับลูก เช่น พูดว่า "ลูกหงุดหงิดเพราะตัวต่อมันล้มใช่ไหม? ลองมาทำด้วยกันอีกครั้งนะ" การเอ่ยชื่ออารมณ์และเหตุผลที่เกิดขึ้น จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าคุณแม่เข้าใจความรู้สึกของเขา และยังช่วยให้ลูก เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ (Self-regulation) ได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
  • หากลูกหงุดหงิดง่าย: ชวนลูกทำกิจกรรมที่เขาชอบ เช่น การออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกัน หรือการอาบน้ำฟองสบู่ (Bubble Bath) หรือเปิดเพลงที่คุณแม่กับลูกชอบแล้วเต้นหรือร้องเพลงด้วยกัน
  • ขอความช่วยเหลือจากคนพิเศษ: หากมีคนพิเศษอื่นที่สามารถปลอบโยนหรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกได้ ลองขอให้คนนั้นช่วย เช่น ลองใช้วิดีโอคอลคุยกับปู่ย่าตายาย
  • หากลูกยังไม่พร้อมที่จะพูด: คุณแม่ลองชี้รูปภาพใบหน้าที่แสดงอารมณ์ต่าง ๆ ให้ลูกดู สิ่งนี้อาจช่วยให้ลูกสื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ดีขึ้นค่ะ

การรับมือกับอารมณ์ที่หลากหลายของเด็กวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่การอยู่เคียงข้างและช่วยลูกทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

 

แม่ปลอบลูกที่กำลังร้องไห้

 

เด็กร้องไห้แบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอ

คุณแม่ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที หากพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้ขณะร้องไห้

  1. เด็กร้องไห้ต่อเนื่องเป็นเวลานานผิดปกติ เช่น เด็กร้องไม่หยุดนานหลายชั่วโมง หรือร้องนานกว่าที่คุณแม่รู้สึกว่าปกติสำหรับลูก
  2. เสียงเด็กร้องไห้ฟังดูผิดแปลกไปจากเดิมมาก หรือดูเหมือนเสียงร้องที่เจ็บปวด
  3. ลูกที่กำลังร้องไห้มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
    • ดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด
    • กินนมได้น้อยลง หรือไม่ยอมดูดนม
    • มีไข้
    • หายใจลำบาก หรือหายใจเร็วผิดปกติ

 

เมื่อเด็กร้องไห้ไม่หยุด สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจสาเหตุ เพื่อให้สามารถรับมือและช่วยให้เขาสงบลงได้ถูกวิธี แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณพ่อคุณแม่ต้องแน่ใจว่าการร้องไห้ของลูกไม่ได้เกิดจากอาการไม่สบายหรือป่วย หากลูกร้องไห้และมีอาการร่วมคือ มีไข้ตัวร้อนสูง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากเด็กเล็กอาจมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะชักจากไข้ได้ ดังนั้น หากลูกร้องไห้ร่วมกับมีไข้สูง ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่