ถอดรหัสภาษาทารก เมื่อลูกส่งเสียงอ้อแอ้หมายความว่าอะไร
คำถามที่พบบ่อย
การใช้ 'ภาษาทารก' (Baby Talk) พูดกับลูก ดีหรือไม่?
การใช้เสียงเล็กเสียงน้อย ประกอบกับท่าทางที่ดูใหญ่โต นั้นดีต่อพัฒนาการของทารก เพราะช่วยดึงดูดความสนใจ ทำให้ทารกเรียนรู้ภาษาได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างความผูกพันให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและเป็นที่รัก อีกด้วย ควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาของลูก
ลูก 1 ขวบแล้วแต่ยังไม่พูดคำที่มีความหมายเลย ควรทำอย่างไร?
โดยทั่วไปเด็กวัย 1 ขวบ ควรจะเริ่มพูดคำง่าย ๆ ที่มีความหมายได้บ้างแล้ว เช่น "หม่ำ" หรือ "แม่" การที่ยังไม่พูดเลยอาจเป็นสัญญาณของพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการอย่างละเอียดและรับคำแนะนำในการกระตุ้นที่ถูกต้อง
การดูทีวีหรือสมาร์ทโฟน ช่วยให้ลูกเรียนรู้การพูดเร็วขึ้นไหม?
ไม่ช่วยค่ะ พัฒนาการทางภาษาที่ดีเกิดจากสื่อสารและการโต้ตอบกับผู้ใหญ่ การอยู่กับหน้าจอจะขัดขวางกระบวนการนี้ เพราะทำให้ผู้ใหญ่พูดคุยกับเด็กน้อยลง กุมารแพทย์ส่วนใหญ่จึงไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีดูหน้าจอทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาที่เหมาะสม
สรุป
- เสียงอ้อแอ้ (Babbling) คือ การที่ทารกเปล่งเสียงพยางค์หรือเสียงต่าง ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อย โดยทั่วไป ลูกจะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมาย เช่นคำว่า "แม่" "หม่ำ" “พ่อ” “ไป” ได้เมื่อลูกอายุประมาณ 10-12 เดือน
- ในวัยที่ลูกยังพูดไม่ได้ ทารกมักใช้เสียงร้องไห้ที่แตกต่างกันเพื่อสื่อสารถึงความต้องการและอารมณ์ที่ต่างกัน คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเรียนรู้วิธีแยกแยะเสียงร้องของลูก ว่าร้องแบบไหน ลูกกำลังบอกอะไร เช่น หิว เหนื่อย เบื่อ ปวดท้อง หรือลูกกำลังป่วย เป็นต้น
- นอกจากสื่อสารผ่านการร้องไห้แล้ว ทารกยังใช้ภาษากาย (Body Language) เพื่อส่งสัญญาณต่าง ๆ ให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วย เช่น เหยียดแขน เตะขา ขยี้ตา กำมือ แอ่นหลัง ขยับปาก และส่งยิ้ม เป็นต้น
- คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อยได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีในการพูด พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ รอให้ลูกพยายามพูดก่อนตอบสนอง อ่านนิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยจออย่างสมาร์ทโฟน
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เสียง "อ้อแอ้": จุดเริ่มต้นและพัฒนาการของภาษาพูด
- การร้องไห้ เมื่อลูกใช้เสียงบอกความต้องการ
- ภาษากาย ท่าทางต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยความหมาย
- การยิ้มมีความหมายอย่างมาก
- ถอดรหัสสัญญาณ "หิว" หรือ "อิ่ม" (ทารกอายุ 0-6 เดือน)
- วิธีส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของลูกวัยเตาะแตะ
เสียง "อ้อแอ้": จุดเริ่มต้นและพัฒนาการของภาษาพูด
ก่อนที่ลูกน้อยจะหัดพูดคำแรกได้ เขาจะพยายามสื่อสารกับพ่อแม่ด้วยวิธีอื่น เช่น การร้องไห้ การถอนหายใจ หรือการส่งเสียงพึมพำในลำคอค่ะ เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย ลูกน้อยก็จะพัฒนาไปสู่ขั้นถัดไป นั่นคือการเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ได้แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาภาษาของเด็ก
เสียงอ้อแอ้คืออะไร?
เสียงอ้อแอ้ (Babbling) คือ การที่ทารกเปล่งเสียงพยางค์หรือเสียงต่าง ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อยเลยล่ะคะ
เสียงอ้อแอ้ถือเป็นทักษะก่อนการพูดจริง ที่ช่วยให้ทารกพัฒนาการควบคุมกล้ามเนื้อในช่องปากที่จำเป็นต่อการผลิตเสียงพูด เวลาที่ทารกส่งเสียงอ้อแอ้ ทารกไม่ได้แค่ส่งเสียงออกมาเล่น ๆ นะคะ แต่กำลังฝึกปากเล็ก ๆ ของพวกเขาด้วยค่ะ การพูดเสียงอ้อแอ้ช่วยให้ทารกเรียนรู้ที่จะควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้เปล่งเสียง และทดลองกับเสียงแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ แม้ว่าเสียงอ้อแอ้จะไม่ใช่คำพูดจริง ๆ แต่ทารกมักจะใช้การพูดอ้อแอ้นี่แหละเป็นวิธีในการสื่อสาร ซึ่งทำให้พ่อแม่รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกน้อย
Timeline พัฒนาการ จากเสียงอ้อแอ้สู่คำแรกของลูก
พัฒนาการด้านการพูดของทารกเริ่มต้นจากการเปล่งเสียงและพัฒนาสู่คำที่มีความหมายตามลำดับ ดังนี้
- 2-3 เดือน: เริ่มต้นอ้อแอ้ (Babbling) ลูกน้อยจะเริ่มทำเสียงอ้อแอ้เมื่อรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ
- 5-6 เดือน: ช่วง "เล่นเสียง" (Vocal Play) พัฒนาการจะก้าวสู่การ "เล่นเสียง" โดยเริ่มเปล่งเสียงต่าง ๆ เช่น “มามา” “คาคา” แต่ในวัยนี้ เสียงเหล่านี้ยังไม่มีความหมาย เป็นเพียงการเลียนเสียงตัวเอง เล่นเสียงสูงต่ำ หรือเพื่อเรียกร้องความสนใจ
- 9 เดือน: เริ่มมีเป้าหมายในการสื่อสาร ลูกน้อยจะเริ่มพูดตามหรือโต้ตอบแบบไม่เป็นภาษา เลียนแบบการเล่นเสียงของผู้อื่น รวมถึงเลียงเสียงแปลก ๆ เช่น เสียงหมาเห่า เสียงจิ้งจก และที่สำคัญคือ การเปล่งเสียงเริ่มมีเป้าหมายของการสื่อสาร เพื่อเรียกร้องความสนใจ
- 10-12 เดือน: คำแรกที่มีความหมาย ลูกน้อยยังคงเล่นเสียงแบบไม่เป็นภาษาโดยเพิ่มจำนวนพยางค์มากขึ้น และพูดเสียงดังขึ้น โดยในช่วงวัยนี้ ลูกจะเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายได้สำเร็จ เช่นคำว่า "แม่" "หม่ำ" “พ่อ” “ไป” เป็นต้น
- 1 ขวบครึ่ง: เริ่มรวมคำ และคลังศัพท์ 10-50 คำ ลูกจะพูดคำที่มีความหมายได้ประมาณ 10-50 คำ เริ่มรู้จักนำคำ 2 พยางค์มารวมกัน และบอกความต้องการง่าย ๆ ได้ (เช่น ไป, ไม่, หม่ำ)
- 2 ขวบครึ่ง: เริ่มพูดเป็นประโยคสั้น ๆ และคลังศัพท์ 50-500 คำ พัฒนาการก้าวกระโดดสู่คลังศัพท์ 50-500 คำ ลูกเริ่มพูดวลีหรือประโยคสั้น ๆ เช่น “เอามา” “ไปเที่ยว” และเริ่มใช้คำเชื่อมประโยค เช่น "และ" ในวัยนี้ ลูกพูดแบบไม่เป็นภาษาน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด
- 2 ขวบครึ่ง - 3 ขวบ: พูดประโยคยาว และคลังศัพท์ราว 900 คำ ในช่วงวัยนี้ ลูกจะสามารถพูดเป็นประโยคยาวขึ้น โดยมีคลังคำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 900 คำ และสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ ชอบถามคำถาม เช่น “สีอะไร” “นั่นใคร” “แม่อยู่ไหน” เป็นต้น
การร้องไห้ เมื่อลูกใช้เสียงบอกความต้องการ
ทารกมักใช้เสียงร้องไห้ที่แตกต่างกันเพื่อสื่อสารถึงความต้องการและอารมณ์ที่ต่างกัน แม้ว่าพ่อแม่บางคนอาจถอดรหัสเสียงร้องของลูกได้เองตามธรรมชาติ แต่พ่อแม่มือใหม่ส่วนใหญ่ก็มักต้องการคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อช่วยแปลความหมาย มาดูกันเลยค่ะว่า เสียงร้องของลูกกำลังบอกอะไร
1. หนูหิว
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องจะทุ้มต่ำ เป็นจังหวะ และร้องซ้ำ ๆ มักมาพร้อมสัญญาณอื่น เช่น การหันหน้าซุกหาเต้านม ทำท่าทางเหมือนกำลังดูดนม ทำปากจ๊วบจ๊าบ หรือเอานิ้วเข้าปาก
- วิธีรับมือ: ตอบสนองต่อสัญญาณหิวให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ลูกหงุดหงิดจนเกินไป หากลูกโมโหหิวและเริ่มกลืนอากาศเข้าไปพร้อมกับนม อาจทำให้ท้องอืดหรือแหวะนม ซึ่งจะยิ่งทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม
2. หนูเหนื่อย หรือไม่สบายตัว
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องงอแง ขึ้นจมูก ร้องต่อเนื่อง และค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ คือสัญญาณว่าลูกเหนื่อยแล้ว "หนูอยากนอนแล้ว!" ซึ่งมักจะมาพร้อมกับการหาว ขยี้ตา หรือดึงหู หรืออาจหมายถึงกำลังไม่สบายตัว เช่น "ผ้าอ้อมแฉะ" หรือ "นั่งคาร์ซีทไม่สบายเลย"
- วิธีรับมือ: ตรวจสอบผ้าอ้อม และช่วยกล่อมให้ลูกได้นอนหลับเท่าที่ต้องการ
3. หนูถูกกระตุ้นมากเกินไป (หนูพอแล้ว!)
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องจะจุกจิก งอแง ลูกอาจพยายามหันศีรษะหรือเบือนตัวหนีจากแสงสีหรือเสียงที่ดังเกินไป
- วิธีรับมือ: เมื่อได้ยินเสียงร้องแบบนี้ ให้ลองพาลูกออกจากบริเวณที่มีเสียงดัง การเคลื่อนไหว หรือสิ่งที่กระตุ้นเขามากเกินไป สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบขึ้น หรือการเปิดเสียงขาว หรือ White Noise เช่น เสียงพัดลม เครื่องดูดฝุ่น หรือเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่น อาจช่วยให้ลูกสงบลงได้

4. หนูเบื่อ
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องนี้จะเริ่มจากเสียงอ้อแอ้ในลำคอ เพื่อพยายามเรียกให้คนมาเล่นด้วย เมื่อยังไม่มีใครสนใจ จะเปลี่ยนเป็นเสียงงอแง จากนั้นจะเริ่มร้องไห้เสียงดังเป็นชุด ๆ อารมณ์ว่า "ทำไมไม่มีใครสนใจหนูเลย!" สลับกับเสียงครางหงิง ๆ "มาอุ้มหนูหน่อยได้ไหม?"
- วิธีรับมือ: เพียงแค่อุ้มลูกขึ้นมาหรือเล่นกับเขา เสียงร้องไห้ก็จะหยุดแทบจะในทันทีค่ะ
5. หนูปวดท้อง (โคลิค)
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องแหลมดังหรือกรีดร้องอย่างรุนแรง ร่วมกับการบิดตัวไปมา มักเกิดขึ้นช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น และอาจร้องไห้นานต่อเนื่องหลายชั่วโมง โดยอาการนี้มักจะรุนแรงที่สุดตอนอายุ 6 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ หายไปเมื่ออายุ 3-4 เดือน
- วิธีรับมือ: แม้จะปลอบให้สงบลงได้ยาก แต่หากคุณแม่ลองเปลี่ยนท่าอุ้ม เช่นให้ลูกนอนคว่ำบนท่อนแขนหรือเข่าคุณแม่ แล้วลูบหลัง หรือให้ลูกนอนหงาย แล้วค่อย ๆ งอเข่าลูกดันเข้าหาหน้าท้อง ค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำ ๆ เพื่อช่วยไล่แก๊ส ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการโคลิค (Colic)
6. หนูป่วย
- ลักษณะเสียง: เสียงร้องครางเบา ๆ (Whimpers) ที่ฟังดูอ่อนแรงและขึ้นจมูก เสียงจะทุ้มต่ำกว่าเสียงร้องเวลาเจ็บ หรือเหนื่อยเกินไป ราวกับว่าลูกไม่มีแรงจะร้องดัง ๆ หากสงสัยว่าลูกป่วย ให้มองหาอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ ท้องเสีย ท้องผูก อาเจียน มีผื่น หรืออาการใด ๆ ที่ดูผิดปกติ
- วิธีรับมือ: จงเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง หากคุณแม่กังวลว่าลูกป่วย (โดยเฉพาะหากอายุต่ำกว่า 3 เดือน) ให้วัดไข้ทางทวารหนัก หากอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป (100.4°F) ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
ภาษากาย ท่าทางต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยความหมาย
นอกจากสื่อสารผ่านการร้องไห้แล้ว ทารกยังใช้ภาษากาย (Body Language) เพื่อส่งสัญญาณต่าง ๆ ให้กับคุณพ่อคุณแม่ การทำความเข้าใจสัญญาณเหล่านี้จึงสำคัญมาก เพื่อจะได้ตอบสนองความต้องการและพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสมค่ะ
1. เตะขา
การเตะขาของทารก สามารถบอกได้หลายความหมาย ดังนี้
- เตะขาและยิ้ม: ลูกกำลังมีความสุข ตื่นเต้น หรืออยากชวนพ่อแม่เล่นด้วย
- เตะขาด้วยความหงุดหงิด/ร้องไห้: ลูกกำลังกำลังไม่สบายตัว อาจเกิดจากผ้าอ้อมแฉะ หรือมีอาการท้องอืด ควรรีบตรวจสอบและแก้ไขให้ลูกสบายตัวขึ้น
2. จับหู หรือ ขยี้ตา
การที่ลูกจับหูหรือตา อาจหมายความ ดังนี้
- จับเล่น: ลูกกำลังสำรวจอวัยวะในร่างกายตัวเอง
- จับแล้วงอแง หรือ ขยี้ตาบ่อย ๆ: สัญญาณว่า ลูกกำลังเหนื่อยและง่วงนอนเต็มที หรือหากเป็นช่วงที่ลูกฟันขึ้น อาจเกิดจากอาการคันเหงือก ลูกจึงจับตาและหูพร้อมขยี้บ่อย ๆ เพื่อระบายความหงุดหงิด ควรหาของเล่นยางกัด มาให้ลูกกัดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
- ข้อควรระวัง: ถ้าจับหู จับตา พร้อมอาการตัวร้อนและซึม อาจเป็นสัญญาณการเจ็บป่วย ควรรีบวัดไข้และพาไปพบแพทย์
3. กำมือ
มาดูกันค่ะว่า ลูกน้อยกำมือ บอกอะไร
- กำมือตอนหลับ: เป็นท่าปกติของทารกที่ระบบประสาทยังพัฒนาไม่เต็มที่
- กำมือแน่นกว่าปกติ: อาจหมายถึง ลูกกำลังเครียดหรือหิว
- กำมือแน่นร่วมกับเกร็งตัว: มักแปลว่า ลูกหิวจัด
- วิธีรับมือ: ควรทำให้ลูกผ่อนคลายก่อน เช่น อุ้ม หรือจัดท่านอนใหม่ให้สบายขึ้น แล้วจึงค่อยป้อนนมค่ะ
4. แอ่นหลัง
หากลูกมีอาการแอ่นหลัง ให้สังเกตและรับมือ ดังนี้
- แอ่นหลังทั่วไป: ลูกอาจกำลังเจ็บปวด หรือนอนไม่สบายตัว คุณแม่ตรวจสอบอาการและจัดท่านอนให้เหมาะสม
- แอ่นหลัง ระหว่างกินนมหรืออาหาร: สัญญาณว่า ลูกอิ่มแล้ว ควรหยุดป้อนทันที ไม่ควรบังคับให้กินต่อ เพราะอาจเสี่ยงเกิดภาวะกรดไหลย้อนในเด็กได้ค่ะ
- แอ่นหลัง ช่วง 4-5 เดือน: เป็นพัฒนาการปกติ เพราะเป็นช่วงที่กำลังพยายามพลิกตัวค่ะ
5. เอาหัวโขกพื้น หรือที่กั้นเตียง
การที่ลูกเอาหัวโขก ลูกอาจกำลังต้องการผ่อนคลาย แต่คุณแม่ต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยด้วยเช่นกัน
- การโขกหัวเป็นจังหวะ: เป็นท่าทางการเคลื่อนไหวที่ช่วยให้เด็กบางคนรู้สึกผ่อนคลาย หรือเป็นการกล่อมตัวเอง
- สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำ: ห้ามละเลย ต้องคอยสังเกตว่าทำบ่อย นาน หรือรุนแรงเกินไปหรือไม่ หากถึงขั้นเกิดรอยแดงหรือหัวโน ควรปรึกษาแพทย์นะคะ
6. ขยับปาก
หากลูกขยับปาก ทำท่าดูดนมเป็นสัญญาณชัดเจนว่า "หนูหิวแล้ว" ซึ่งจะเริ่มพบสัญญาณเช่นนี้ได้ตั้งแต่อายุ 3 สัปดาห์ คุณแม่ควรจับลูกเข้าเต้าทันที ไม่ควรปล่อยให้หิวจนตัวเกร็ง เพราะจะส่งผลต่ออารมณ์และพัฒนาการได้ค่ะ
7. การเบือนหน้าหนี
เมื่อลูกเบือนหน้าหนี สามารถบอกได้หลายความหมาย ดังนี้
- ปฏิเสธ: ลูกกำลังปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เช่น ไม่เอาคนแปลกหน้า หรือไม่อยากกินยา
- ชวนมอง: ลูกพยายามบอกให้พ่อแม่หันไปดูสิ่งที่ตัวเองกำลังมองอยู่
- ยังไม่พร้อม: หากลูกเบือนหน้าหนีระหว่างกินอาหาร ลูกกำลังบอกว่า "ยังเคี้ยวหรือกลืนคำนี้ไม่เสร็จ" และยังไม่พร้อมสำหรับคำใหม่
8. การเหยียดแขน
การเหยียดแขน อาจเป็นการสื่อสารด้านอารมณ์ หรือด้านพัฒนาการ ดังนี้
- อารมณ์: เป็นสัญญาณว่า ลูกกำลังอารมณ์ดี
- พัฒนาการ: หากทำในช่วงหัดนั่ง ลูกมักจะยืดแขนออกเพื่อช่วยในการทรงตัว ในกรณีนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังอยู่ห่าง ๆ เพื่อป้องกันอันตราย แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วยประคองทุกครั้ง ควรปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้การจัดระเบียบร่างกายและทรงตัวด้วยตัวเอง
การยิ้มมีความหมายอย่างมาก
การยิ้มเป็นอีกหนึ่งภาษาทารก และรอยยิ้มของลูก ถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการสำคัญที่พ่อแม่ต่างเฝ้ารอคอย แต่คุณแม่ทราบไหมคะว่า ยิ้มแรกของลูกน้อยนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจยิ้มจริง ๆ แต่คือยิ้มอัตโนมัติ แล้วลูกเริ่มยิ้มจริงตอนไหน มาดูกันเลยค่ะ

รอยยิ้มแรกของทารก คือ ยิ้มอัตโนมัติ (Reflex Smile)
ทารกยิ้มได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้วค่ะ และรอยยิ้มของลูกน้อยในช่วงแรกเกิดนั้น ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจหรือยิ้มเพื่อตอบสนองต่อสิ่งใด แต่เป็นรอยยิ้มอัตโนมัติ (Reflex) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายทารกเท่านั้น
ยิ้มจริง (Social Smile) เริ่มต้นเมื่อไหร่?
ทารกเริ่มยิ้มจริง หรือที่เรียกว่า Social Smile ในช่วงอายุประมาณ 6 สัปดาห์ค่ะ และพัฒนาเป็นการยิ้มโต้ตอบอย่างมีความสุขเมื่ออายุ 2-3 เดือน โดยจะมองตามคุณพ่อคุณแม่และยิ้มให้ เมื่อถึง 3-4 เดือน ลูกน้อยจะเริ่มแสดงอารมณ์มากขึ้นและยิ้มให้กับสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งรอยยิ้มจริงนี้ ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงพัฒนาการทางสังคม อารมณ์ และการมองเห็นที่ดีขึ้น และยังเป็นการแสดงความรักของลูกอีกด้วยค่ะ
การยิ้มตอบลูกน้อยสำคัญอย่างไร?
การที่คุณพ่อคุณแม่ยิ้มตอบลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความผูกพันเท่านั้น แต่ยังเป็นการสอนให้ลูกรู้ด้วยว่าโลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมั่นคง ผู้คนเป็นมิตร และพร้อมที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเขา ดังนั้น อย่าลืมที่จะยิ้มตอบลูกเสมอนะคะ
ถอดรหัสสัญญาณ "หิว" หรือ "อิ่ม" (ทารกอายุ 0-6 เดือน)
ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงหลายเดือนต่อมา การทำความเข้าใจความต้องการของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งค่ะ และสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่มือใหม่มักกังวลอยู่เสมอคือ "ลูกกินนมพอหรือยัง?" ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบที่ชัดเจน เพราะทารกยังสื่อสารกับเราได้เพียงการส่งเสียงอ้อแอ้ การยิ้ม หรือการร้องไห้เท่านั้น
ปริมาณนมที่ลูกน้อยวัย 0-6 เดือนต้องการ
ในวัย 0-6 เดือนลูกน้อยต้องกินนมมากแค่ไหนถึงจะอิ่ม? โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณนมที่ลูกน้อยต้องการ และความถี่ในการให้นมทารก มีดังนี้
- ทารกแรกเกิด (0-1 เดือน): หากเข้าเต้า ควรให้นมตามต้องการ ประมาณ 8-12 ครั้ง/วัน หรือหากดูดนมปั๊มจากขวด ประมาณ 60-90 มิลลิลิตร ทุก 2-3 ชั่วโมง
- วัย 1-2 เดือน: ให้ตามต้องการ 7-9 ครั้ง/วัน หรือจากขวด 90-120 มิลลิลิตร ทุก 3-4 ชั่วโมง
- วัย 2-4 เดือน: ให้ตามต้องการ 6-8 ครั้ง/วัน หรือจากขวด 120-180 มิลลิลิตร ทุก 3-4 ชั่วโมง
- วัย 4-6 เดือน: ให้ตามต้องการ หรือจากขวด 180-240 มิลลิลิตร ทุก 4-5 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม เด็กแต่ละคนอาจกินนมมาก-น้อยแตกต่างกัน การสังเกตสัญญาณจากลูกน้อยที่ส่งผ่าน ภาษาทารก ก็สำคัญเช่นกันค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตให้ดี ทารกจะมีสัญญาณเฉพาะตัวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนเพื่อบอกเราว่า ลูกกำลัง "หิว" หรือ "อิ่มแล้ว"
วิธีสังเกต "สัญญาณหิว"
คุณพ่อคุณแม่ควรเรียนรู้สัญญาณหิว ลูกร้องเสียงอ้อแอ้ หรือภาษาทารกแบบไหน ที่ควรจะป้อนนมทันที
การเสาะหา: เมื่อคุณแม่ใช้มือแตะแก้ม ลูกจะหันหน้าไปทางนั้นเพื่อหาหัวนม
- การดูด: ลูกเริ่มดูดนิ้ว ดูดปาก หรือดูดสิ่งของที่อยู่ใกล้ ๆ
- การตื่นตัว: ลูกตาเบิกกว้าง ดูตื่นตัว และมองหาอาหาร
- การขยับตัว: ลูกขยับแขนขาอย่างกระสับกระส่าย
- การร้องไห้: เริ่มร้องไห้เบา ๆ หากปล่อยไว้จะร้องดังขึ้น
วิธีสังเกต "สัญญาณอิ่ม"
เพื่อป้องกันการป้อนนมมากเกินไป ควรสังเกตสัญญาณที่บอกว่าลูกอิ่มแล้ว ได้แก่
- การปฏิเสธ: ผลักหัวนมหรือขวดนมออก หรือหันหน้าหนีเมื่อพยายามป้อนต่อ
- การปิดปาก: ปิดปากแน่น ไม่ยอมรับหัวนม
- การดูด: หยุดดูด หรือดูดช้าลงมาก
- ร่างกายผ่อนคลาย: มือที่เคยกำแน่นตอนหิว จะเริ่มคลายตัวออก
- อารมณ์: ดูสงบ ผ่อนคลาย หรือเริ่มง่วงนอน
วิธีส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของลูกวัยเตาะแตะ
พัฒนาการด้านภาษาของลูกน้อยเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นและส่งเสริมได้ง่าย ๆ ที่บ้านทุกวันเลยนะคะ ลองดู 5 วิธีง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- เป็นแบบอย่างที่ดีในการพูด คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกด้วยถ้อยคำที่กระชับ ออกเสียงให้ชัดเจน และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายค่ะ
- พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ พยายามหาเวลาพูดคุยกับลูกเป็นประจำ โดยเฉพาะการชวนคุยในสิ่งที่ลูกกำลังให้ความสนใจอยู่ จะช่วยให้เขาเรียนรู้ได้เร็วขึ้นค่ะ
- "รอ" ให้ลูกพยายามพูดก่อนตอบสนอง ข้อนี้สำคัญมากนะคะ หากลูกใช้ท่าทางบอกความต้องการ เช่น ชี้ไปที่ตุ๊กตาแทนที่เราจะรีบหยิบให้ทันที ให้เราลองหยิบตุ๊กตาขึ้นมาก่อน แล้วเปิดโอกาสให้ลูกได้พยายามเปล่งเสียงสื่อสาร เช่น พูดว่า "ตา" หรือ "ตุ๊กตา" ก่อนที่เราจะยื่นของให้ วิธีนี้เป็นการกระตุ้นให้ลูกเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดแทนท่าทางค่ะ
- อ่านนิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ การอ่านนิทานช่วยพัฒนาภาษาได้ดีมากค่ะ สำหรับเด็กเล็ก อาจเริ่มด้วยภาษาสั้น ๆ ง่าย ๆ พร้อมทำเสียงหรือท่าทางประกอบให้น่าสนใจ สำหรับเด็กที่โตขึ้น สามารถเล่าเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น และลองตั้งคำถามเกี่ยวกับนิทาน เพื่อให้ลูกได้ฝึกคิดวิเคราะห์ เพิ่มคลังคำศัพท์ และเรียนรู้การเชื่อมโยงคำศัพท์กับรูปภาพค่ะ
- หลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยจอ แม้ว่าปัจจุบันการใช้ โทรทัศน์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต จะเป็นที่นิยม แต่มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ชัดว่า การใช้สื่อผ่านจอเหล่านี้อาจส่งผลให้ลูกมีปัญหาพัฒนาการด้านภาษา เช่น พูดช้า หรือมีการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมตามมาได้ค่ะ
ดังงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่ง ได้ทำการศึกษาในเด็ก 7,097 คน พบว่า เด็กวัย 1 ขวบที่ใช้เวลาหน้าจอวันละ 1-4 ชั่วโมง มีความเสี่ยงสูงที่จะมีพัฒนาการล่าช้าเมื่ออายุ 2 ขวบ ทั้งในด้านการสื่อสารทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก การแก้ปัญหา และทักษะทางสังคม
นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาใหม่ ที่ชี้ให้เห็นว่า การที่เด็กวัยทารกใช้เวลาหน้าจอมากเกินไป อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมอง และยังอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านทักษะการบริหารจัดการของสมอง (Executive Functioning) ในด้านความสามารถในการจดจ่อ รวมถึงการควบคุมแรงกระตุ้น พฤติกรรม และอารมณ์ เมื่อเด็กเข้าสู่วัยประถม
ข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้สื่อของสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) ซึ่งระบุว่า เด็กเล็กควรหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอจนถึงอายุ 18 เดือน และจำกัดการใช้สื่อดิจิทัลสำหรับเด็กอายุ 2-5 ขวบไว้เพียง 1 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
เสียงอ้อแอ้ หรือ ภาษาทารก ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณของพัฒนาการของลูก ซึ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ที่ดี คือ การที่ลูกน้อยได้สารอาหารและพลังงานที่เพียงพอ โดยนมแม่เป็นโภชนาการที่ดีที่สุดสำหรับทารก ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด รวมทั้ง ดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม โดยเฉพาะสารอาหารที่สำคัญอย่าง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ กระตุ้นสมองของลูกน้อยให้ฉลาดสมวัย คุณแม่จึงควรให้นมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนหรือนานที่สุดเท่าที่จะให้ได้
จะเห็นได้ว่า พัฒนาการด้านภาษาเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน หากคุณแม่คิดว่าลูกมีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้า หรือมีปัญหาการพูด ควรปรึกษากุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม เพื่อประเมินพัฒนาการ และรับคำแนะนำในการส่งเสริมหรือฝึกแก้ไขการพูดให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปนะคะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- PlayBrain ยิ่งเล่น สมองยิ่งแล่น โปรแกรมฝึกทักษะ EF พัฒนาสมอง
- 10 สุดยอดอาหารบำรุงสมองลูกน้อย ให้ลูกฉลาด สมองไว เติบโตสมวัย
- EF คืออะไร สำคัญต่อพัฒนาการสมองของเด็กในแต่ละช่วงวัยอย่างไร
- เด็กเริ่มคลานกี่เดือน สัญญาณแบบไหนที่บอกว่าเด็กเริ่มคลาน
- เด็กนั่งได้กี่เดือน ทารกนั่งได้ตอนกี่เดือน แบบไหนคือพัฒนาการล่าช้า
อ้างอิง:
- Baby Talk หรือ ภาษาเด็กเล็ก, UNICEF Thailand
- ทำไงดี? ลูกพูดช้า...ไม่ยอมพูด, โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา
- ดูทีวี ส่งผลเสียต่อเด็กหรือไม่ ดูแลลูกอย่างไรดี ?, Pobpad
- When Do Babies Start Babbling?, Parents
- พัฒนาการทางภาษาและการพูด, สถาบันราชานุกูล
- คู่มือการฝึกพูดเบื้องต้น, สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- When Your Baby Will Start Babbling, What to Expect
- What Do Your Baby's Cries Mean?, What to Expect
- Body Language ถอดรหัสลับภาษากายลูกน้อย, empowerliving โดย มูลนิธิหมอชาวบ้าน
- What To Know About When Babies Start Smiling, Parents
- When babies start smiling and why it’s important to smile back, Raising Children Network
- การให้อาหารมากเกินไปในทารก, โรงพยาบาลเอกชัย
- 5 เทคนิค ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาลูกน้อยวัยหัดพูด, โรงพยาบาลพญาไท 2
- Baby Talk: Communicating With Your Baby, WebMD
อ้างอิง ณ วันที่ 14 กันยายน 2568
- Babies and screen time: New research calls for caution, Boston Children’s Hospital
- Screen time linked with developmental delays in toddlerhood, study finds, CNN
อ้างอิง ณ วันที่ 21 กันยายน 2568