
นมแม่ เกราะป้องกันแรกในชีวิตลูก ไขทุกประโยชน์ที่คุณแม่ต้องรู้
คำถามที่พบบ่อย
จริงไหมที่อาหารที่แม่กินจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำนม?
จริงค่ะ สารอาหารบางชนิดที่คุณแม่รับประทานเข้าไปสามารถส่งผ่านไปสู่น้ำนมได้ เช่น กรดไขมันดี (DHA) จากปลาทะเล ดังนั้นคุณแม่ให้นมจึงควรทานอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ค่ะ
น้ำนมส่วนหน้าและน้ำนมส่วนหลังต่างกันอย่างไร? ต้องให้ลูกกินทั้งสองส่วนไหม?
ต่างกันค่ะ น้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) จะใสและมีไขมันต่ำ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ส่วน น้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) จะข้นกว่าและมีไขมันสูง ช่วยให้อิ่มและเพิ่มน้ำหนัก การให้ลูกดูดนมจนเกลี้ยงเต้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกได้รับน้ำนมครบทั้งสองส่วนค่ะ
ถ้าคุณแม่ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา ยังสามารถให้นมลูกได้หรือไม่?
สามารถให้นมได้ตามปกติค่ะ ร่างกายของคุณแม่จะสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibodies) เพื่อต่อต้านเชื้อไข้หวัด และส่งผ่านไปให้ลูกทางน้ำนม ซึ่งเปรียบเสมือนการให้วัคซีนธรรมชาติกับลูก ควรใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือให้สะอาดก่อนให้นมเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสค่ะ
สรุป
- น้ำนมแม่ คือ อาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย ช่วยให้ระบบขับถ่ายของลูกน้อยทำงานได้ดี และยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง
- น้ำนมแม่ที่ร่างกายผลิตจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ซึ่งแต่ละระยะก็จะมีสารอาหารแตกต่างกันไปตามความต้องการของทารกในแต่ละช่วง โดยระยะที่ 1 เรียกว่าน้ำนมเหลือง ระยะที่ 2 เรียกว่า ระยะน้ำนมปรับเปลี่ยน ส่วนระยะที่ 3 เรียกว่า ระยะน้ำนมแม่
- แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน เป็นโปรตีนหลักที่พบในน้ำนมแม่ โดยคิดเป็น 20-25% ของโปรตีนทั้งหมดในน้ำนมแม่ สารอาหารตัวนี้ช่วยสร้างและเชื่อมต่อเครือข่ายในสมองของลูกให้แข็งแรง ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลดีเยี่ยมต่อพฤติกรรม การเรียนรู้ และการพัฒนาสมองของลูกรักให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
- เคล็ดลับสู่การให้นมแม่สำเร็จ สามารถทำได้โดย เริ่มให้เร็วที่สุดหลังคลอด เรียนรู้ท่าอุ้มและวิธีเข้าเต้าที่ถูกต้อง ให้นมแม่ล้วนอย่างน้อย 6 เดือนแรก ให้ลูกดูดบ่อย ๆ ตามที่ต้องการ อยู่กับลูกให้มากที่สุดในช่วงแรก หลีกเลี่ยงจุกหลอกในช่วงแรก วางแผนปั๊มนมล่วงหน้าสำหรับคุณแม่ทำงาน รวมถึงปรึกษาคลินิกนมแม่เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- ประโยชน์ของนมแม่ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อย
- สารอาหารในนมแม่มีอะไรบ้าง และสำคัญอย่างไรสำหรับลูกน้อย
- 8 เคล็ดลับสู่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ
- รับมืออย่างไร? เมื่อเจอปัญหาที่พบบ่อยในการให้นม
ประโยชน์ของนมแม่ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อย
น้ำนมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อทารกอย่างรอบด้าน มาดูกันค่ะว่า นมแม่มีอะไรดี ๆ บ้าง
- ช่วยให้ร่างกายของลูกน้อย มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง นมแม่เต็มไปด้วยสารเซอร์เคทเทอรี่ ไอจีเอ (Secretory IgA หรือ sIgA) ภูมิคุ้มกันที่ส่งตรงจากแม่สู่ลูก ช่วยปกป้องทารกจากการเจ็บป่วย การติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องหู อีกทั้งนมแม่ยังช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคอ้วน และภาวะไหลตายในทารก (SIDS) ได้
- เป็นแหล่งสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด นมแม่มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด ทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และสารจำเป็นอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของทารกในแต่ละช่วงวัย
- ระบบย่อยอาหารแข็งแรงและขับถ่ายง่าย นมแม่ย่อยง่าย และมีโพรไบโอติก (Probiotics) ที่ช่วยสร้างสมดุลของแบคทีเรียดีในลำไส้ ทำให้ลูกน้อยมีระบบขับถ่ายที่เป็นปกติ ห่างไกลท้องผูก
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง นมแม่มีสารอาหารสำคัญอย่าง ดีเอชเอ โอเมก้า 3,6 (Omega 3,6) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างเซลล์สมองและการมองเห็น ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่ดีและเฉลียวฉลาด และในน้ำนมแม่ยังมีสารอาหารที่ชื่อว่า แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาท ส่งเสริมการสร้างปลอกไมอีลิน เพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทและการเชื่อมโยงของสมอง ทำให้การเรียนรู้และพัฒนาสมองของลูกเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
สารอาหารในนมแม่มีอะไรบ้าง และสำคัญอย่างไรสำหรับลูกน้อย
มีงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งจากการศึกษาเชิงสังเกตของ Dr. Chetham และ Dr. Sheppard ที่มหาวิทยาลัย North Carolina ประเทศ สหรัฐอเมริกา วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่าสารอาหารในนมแม่ช่วยเรื่องความจำของทารกได้อย่างไรบ้าง โดยนักวิจัยได้ทำการเก็บน้ำนมของคุณแม่ให้นมบุตรอายุ 3 -4 เดือน ไปตรวจดูสารอาหาร 3 ตัวสำคัญคือ ดีเอชเอ โคลีน (Choline) และลูทีน (Lutein) ค่ะ จากนั้น เมื่อทารกอายุ 6 เดือน ก็ได้ทำการทดสอบความจำในทารก 67 คนที่ดื่มนมแม่ เพื่อดูความสัมพันธ์ของผลการทำงานร่วมกันของ ดีเอชเอ โคลีน และลูทีน กับความจำของทารก
ผลลัพธ์การศึกษาเด็กที่ได้รับสารอาหารในนมแม่
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อสารอาหารในนมแม่อย่าง ดีเอชเอทำงานคู่กับโคลีน หรือ โคลีนทำงานคู่กับลูทีน จะช่วยให้ระบบความจำของลูกน้อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งในน้ำนมแม่มีระดับโคลีน ดีเอชเอ และลูทีนที่สูงขึ้นก็ยิ่งมีความสัมพันธ์กับการจดจำที่ดีขึ้นด้วย
3 ระยะของน้ำนมแม่ สารอาหารที่ปรับเปลี่ยนตามวัยลูก
ในแต่ละช่วงวัย ลูกน้อยต้องการสารอาหารไม่เหมือนกัน นมแม่จึงปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีสารอาหารที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายของทารกที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในช่วงที่ภูมิคุ้มกันของลูกยังทำงานไม่เต็มที่ นมแม่ยังเป็นแหล่งสำคัญของแอนติบอดี หรือ ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ (Antibodies) ช่วยปกป้องทารกจากเชื้อโรคและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้อีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว น้ำนมแม่ที่ร่างกายผลิตจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ซึ่งแต่ละระยะก็จะมีสารอาหารแตกต่างกันไป เรามาดูกันเลยค่ะ
น้ำนมระยะที่ 1 หรือน้ำนมเหลือง (Colostrum)
น้ำนมระยะแรกนี้จะมาเพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น แต่เป็นน้ำนมที่อุดมไปด้วยประโยชน์ของนมแม่ จุดเด่นคือน้ำนมจะเป็นสีเหลือง ซึ่งทั้งมีโปรตีนและแร่ธาตุสูง ช่วยให้ลูกน้อยแข็งแรง และยังมีแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน หนึ่งในสารอาหารที่สำคัญของน้ำนมเหลืองที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของสมองอีกด้วย
น้ำนมระยะที่ 2 หรือระยะน้ำนมปรับเปลี่ยน (Transition milk)
เป็นระยะที่น้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงจากหัวน้ำนมไปเป็นน้ำนม โดยลักษณะของน้ำนมจะเริ่มมีสีขาวขึ้น น้ำนมแม่ในระยะนี้จะเริ่มหลั่งประมาณวันที่ 5 หลังคลอด และต่อเนื่องไปจนถึง 2 สัปดาห์แรก ซึ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก ในช่วงนี้ค่ะ
น้ำนมระยะที่ 3 หรือระยะน้ำนมแม่ (Mature milk)
หลังจากผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำนมของคุณแม่ก็จะเข้าสู่ระยะน้ำนมแม่ค่ะ คุณแม่จะสังเกตได้ว่าน้ำนมจะมี สีขาวข้นขึ้น และร่างกายก็จะผลิตน้ำนมในปริมาณที่มากขึ้นด้วยนะคะ ในระยะนี้ น้ำนมแม่ประกอบด้วยสาอาหารหลักที่จำเป็น ทั้งโปรตีน ไขมัน และน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นสารอาหารหลักในการเสริมสร้างความแข็งแรงและการเจริญเติบโตของลูกน้อยค่ะ
อย่างไรก็ตาม ปริมาณสารอาหารในน้ำนมแม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารที่คุณแม่ทาน น้ำหนักตัว การมีประจำเดือน หรือแม้กระทั่งความถี่ที่ลูกเข้าเต้าค่ะ
แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน อีก 1 สารอาหารสำคัญที่พบในน้ำนมแม่
เป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำนมแม่เป็นแหล่งสารอาหารพัฒนาสมองหลายอย่าง เช่น ดีเอชเอ เออาร์เอ (ARA) ลูทีน ธาตุเหล็ก (Iron) และหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญคือ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน สารอาหารสำคัญที่พบได้ในนมแม่ มีส่วนช่วยสร้างสารสื่อประสาท เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท และเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการคิดอย่างรวดเร็ว และสมาธิของเด็ก ทำให้การทำงานของสมองของเด็กเจนใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

8 เคล็ดลับสู่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ
การเริ่มต้นที่ดีจะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ง่ายขึ้น เราจึงมี 8 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างมีความสุขและสำเร็จมาฝากกันค่ะ
1. เริ่มให้ลูกดูดนมแม่ให้เร็วที่สุดหลังคลอด
เหตุผลที่ควรให้ลูกดูดนมแม่เร็วที่สุดก็เพราะในช่วง 1-3 วันแรกหลังคลอด ร่างกายของคุณแม่จะผลิตน้ำนมชุดแรก ที่เรียกว่า น้ำนมเหลือง (Colostrum) ออกมาค่ะ น้ำนมหยดแรกนี้อุดมไปด้วยสารภูมิคุ้มกันซึ่งจะช่วยปกป้องลูกน้อยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้น การให้ลูกได้ดูดนมแม่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงสำคัญมาก ๆ ค่ะ
การให้ลูกได้ดูดนมแม่โดยเร็วที่สุด หรือภายในครึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด เป็นการมอบความอบอุ่นผ่านอ้อมกอดแรก และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกคุ้นเคยกับการดูดนม ขณะเดียวกันแม่ก็ได้เรียนรู้จังหวะและความต้องการของลูก ช่วยสร้างความผูกพันแม่ลูกอันลึกซึ้งอีกด้วยค่ะ
2. เรียนรู้วิธีให้นมและท่าอุ้มที่ถูกต้อง
ก่อนอื่นให้คุณแม่จัดท่าอุ้มโดยตะแคงลำตัวลูกให้หันเข้าหาตัวคุณแม่ และอุ้มให้กระชับอก จัดให้ศีรษะและลำตัวของลูกอยู่ในแนวเดียวกัน จากนั้น นำลูกน้อยเข้าเต้าโดยประคองศีรษะของลูก แล้วช่วยให้ลูกอมหัวนมและลานนมให้ลึกที่สุด
เมื่อลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้องแล้ว เหงือกของลูกจะกดลงบนลานนมซึ่งเป็นบริเวณที่มีท่อน้ำนม ลิ้นของลูกจะอยู่ใต้ลานนมและทำหน้าที่รีดน้ำนมออกมา คุณแม่สามารถสังเกตได้จาก ริมฝีปากของลูกจะไม่เม้มเข้าด้านใน ลูกจะดูดนมเป็นจังหวะ และมีเสียงกลืนน้ำนมเบา ๆ เป็นระยะค่ะ
3. ให้ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
ในช่วง 6 เดือนแรก ลูกน้อยควรได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียว ไม่ควรให้น้ำ อาหาร หรือเครื่องดื่มอื่นใดนะคะ เว้นแต่จะมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เหตุผลสำคัญคือ กระเพาะอาหารของทารกยังมีขนาดเล็ก การให้สิ่งอื่นจะทำให้ลูกดูดนมแม่น้อยลง ซึ่งนมแม่เพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าเพียงพอแล้ว ลูกไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าเลยนะคะ เพราะในนมแม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเพียงพอที่ลูกต้องการแล้วค่ะ
4. อยู่กับลูกตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงแรกเกิดเพื่อสร้างความคุ้นเคย
เมื่อแรกเกิดทารกกำลังตื่นตัวกับสิ่งรอบตัว คุณแม่ควรได้อยู่กับลูกตลอดช่วงเวลา 24 ชั่วโมงหลังคลอด และอุ้มลูกน้อยไว้แนบอกจะช่วยให้ลูกได้รับความอบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจค่ะ ซึ่งการทำเช่นนี้จะเพิ่มโอกาสให้ลูกได้ดูดนมจากเต้าของแม่ได้เร็ว และเป็นการฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับหัวนมแม่ ซึ่งเป็นผลดีต่อการให้นมแม่ในระยะยาวด้วยค่ะ
5. ให้ลูกดูดนมบ่อยตามที่ต้องการ
ควรให้ลูกได้ดูดนมแม่บ่อยเท่าที่ต้องการ การทำเช่นนี้มีประโยชน์หลายด้านเลยค่ะ ทั้งต่อตัวลูกที่จะได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีความชำนาญในการดูดนม และต่อตัวคุณแม่ที่ช่วยป้องกันอาการคัดตึงเต้านม ทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้เพิ่มขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
หลังคลอดลูกควรอยู่ร่วมห้องเดียวกับคุณแม่ เพื่อให้ลูกได้ดูดนมบ่อยตามต้องการ ทั้งนี้คุณแม่ไม่ควรเว้นระยะห่างระหว่างมื้อนมเกิน 3 ชั่วโมงนะคะ ในกรณีที่คุณแม่อ่อนเพลีย ก็สามารถให้นมในท่านอนตะแคงได้ โดยให้พยาบาลช่วยจัดท่าให้ลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ และคุณแม่ได้นอนหลับพักผ่อนไปพร้อมกัน

6.หลีกเลี่ยงการใช้หัวนมยางหรือจุกหลอกในช่วงแรก
การใช้หัวนมยางหรือจุกหลอกให้ลูกดูดนั้น อาจทำให้ลูกเกิดความสับสนและปฏิเสธการดูดนมจากเต้าได้ เนื่องจากวิธีการดูดนั้นแตกต่างกันค่ะ การดูดนมแม่ต้องอาศัยการใช้ลิ้นและการขยับกรามเพื่อรีดน้ำนมออกมา แต่การดูดหัวนมยางนั้นง่ายกว่าเพราะน้ำนมจะไหลออกมาทันทีโดยไม่ต้องออกแรง เมื่อลูกคุ้นเคยกับความง่ายนี้ ก็อาจทำให้ไม่คุ้นเคยกับการดูดนมแม่และอาจปฏิเสธเต้านมของแม่ในที่สุด
7.วางแผนการปั๊มนมสำหรับคุณแม่วัยทำงาน
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ยุคใหม่ที่เป็น Working Mom นะคะ แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งคุณแม่ต้องกลับไปทำงานอีกครั้ง การวางแผนให้นมลูกเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ลูกได้รับน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ คุณแม่ควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการปั๊มนม และสต็อกน้ำนมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะเตรียมน้ำนมให้ลูกได้อย่างเพียงพอค่ะ
8. ปรึกษาคลินิกนมแม่
การได้รับการอบรมการให้นมแม่อย่างถูกวิธีนั้นมีความสำคัญอย่างมากค่ะ คุณแม่จึงควรเลือกฝากครรภ์กับโรงพยาบาลมาตรฐานที่มีคลินิกนมแม่ ซึ่งจะมีการอบรมเกี่ยวกับการให้นมแม่อย่างถูกต้องตั้งแต่ก่อนคลอด รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อเนื่องในช่วงเวลาหลังคลอด หากมีคุณแม่มีปัญหาที่ทำให้กังวลในการให้นมลูก ก็สามารถปรึกษาได้ตลอด เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณแม่ในการดูแลลูกน้อย และช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณแม่ประสบความสำเร็จในการให้นมลูกอย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ
รับมืออย่างไร? เมื่อเจอปัญหาที่พบบ่อยในการให้นม
บางครั้งก็อาจมีอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทักทายได้เหมือนกันค่ะ คุณแม่อย่าเพิ่งกังวลใจไปนะคะ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและมีวิธีรับมืออยู่ค่ะ มาดูกันเลยว่าปัญหาที่คุณแม่มักเจอบ่อย ๆ และวิธีแก้ไขเบื้องต้นมีอะไรบ้าง
หัวนมเจ็บ
หัวนมเจ็บ หรือแตก มักเกิดจากการให้นมลูกในท่าที่ไม่ถูกต้อง ลูกอมหัวนมและลานหัวนมได้ไม่ลึกพอ การแก้ไขจึงขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการค่ะ
หากคุณแม่เจ็บไม่มากหรือไม่มีแผลแตกชัดเจน ควรแก้ไขโดยการปรับท่าอุ้มและกระตุ้นให้ลูกอมลึกถึงลานนม แต่ถ้าเจ็บมากหรือหัวนมแตก ควรให้ลูกดูดนมข้างที่เจ็บน้อยกว่าก่อนและลองเปลี่ยนท่าอุ้ม หากเต้านมคัดตึงให้บีบน้ำนมออกก่อน ในกรณีที่เจ็บจนทนให้นมไม่ได้ ให้งดดูดข้างนั้นชั่วคราว และรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อคุณแม่จะได้กลับมาให้นมลูกได้ตามปกติค่ะ
เต้านมคัด
เต้านมคัดมักเกิดจากการที่น้ำนมไม่ได้ระบายออกร่วมกับมีเลือดและน้ำเหลืองคั่งค้าง ทำให้เกิดอาการเต้านมตึง บวม แข็ง ร้อน แดง ปวด และอาจมีไข้ร่วมด้วย หากอาการเต้านมคัดรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์ทันทีนะคะ
อย่างไรก็ตาม คุณแม่สามารถป้องกันไม่ให้เต้านมคัด ได้โดยการให้ลูกดูดนมทันทีหลังคลอด ดูดบ่อยทุก 2-3 ชั่วโมง ดูดให้เกลี้ยงเต้าทีละข้าง และไม่ให้นมผสมเสริมค่ะ
ท่อน้ำนมอุดตัน
เกิดจากน้ำนมคั่งค้าง หรือไหลไม่สะดวกและอุดตันในท่อน้ำนม จนเกิดเป็นก้อนไตแข็ง ๆ ที่บริเวณเต้านม เมื่อคุณแม่กดจะรู้สึกเจ็บและอาจมีอาการบวมแดงเฉพาะที่ แต่จะไม่มีไข้นะคะ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการใส่เสื้อชั้นในที่รัดเกินไปได้เช่นกันค่ะ
ในเบื้องต้น คุณแม่สามารถดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท่อน้ำนมอุดตันได้โดยการประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่นก่อนให้นม แล้วให้ลูกดูดข้างที่มีปัญหาก่อน โดยจัดท่าให้คางลูกชี้ไปที่ก้อนเพื่อช่วยรีดน้ำนมออก ขณะลูกดูดให้นวดเบา ๆ ไล่จากก้อนไปหาหัวนม ควรให้ลูกดูดบ่อย ๆ ทุก 2-2.5 ชั่วโมง นานอย่างน้อย 15-20 นาที และเมื่อดูดเสร็จให้บีบน้ำนมที่เหลือออกให้หมดนะคะ
เพราะนมแม่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ยังช่วยพัฒนาสมองให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ให้ลูกกล้าที่จะเปิดรับทุกโอกาสสำคัญในชีวิต และก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในแบบฉบับของตัวเองในอนาคตค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- โปรแกรม Baby Development เช็คพัฒนาการลูกน้อยแต่ละช่วงวัย
- จุกหลอก ดีกับลูกน้อยจริงไหม จุกนมหลอก ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง
- สายสะดือทารก สะดือใกล้หลุดเป็นแบบไหน พร้อมวิธีทำความสะอาด
- โรคซางในเด็กเล็กมีจริงไหม เกิดจากอะไร ดูแลและป้องกันได้หรือเปล่า
- ลูกหัวแบน ทารกหัวแบน คุณแม่ทำอย่างไรได้บ้าง พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น
อ้างอิง:
- 8 ประโยชน์จากการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ ที่คุณแม่ต้องรู้, โรงพยาบาลวิมุต
- Synergistic Effects of Human Milk Nutrients in the Support of Infant Recognition Memory: An Observational Study, PubMed
- น้ำนมแม่ ประโยชน์อเนกอนันต์, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- Nutritional and physiologic significance of alpha-lactalbumin in infants, PubMed
- 8 วิธีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ, โรงพยาบาลกรุงเทพ
- Breastfeeding (การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่), สูติศาสตร์ล้านนา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- อาหารสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- น้ำนมส่วนหน้า และน้ำนมส่วนหลัง ต่างกันอย่างไร, คลินิกนมแม่ โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง
- แม่เป็นหวัด ให้นมลูกอยู่ ลูกจะติดหรือไม่, มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
อ้างอิง ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2568