
เด็กขาดธาตุเหล็ก เกิดจากอะไร พร้อมวิธีป้องกัน
หนูจะทำเมนูตับหรือเนื้อสัตว์ให้ลูกวัยเริ่มอาหารตามวัย (6 เดือน+) ทานยังไงดีคะ ไม่ให้เหม็นคาวและทานง่าย?
เป็นคำถามยอดฮิตเลยค่ะ! ลองนำตับไก่หรือเนื้อปลาไปนึ่งให้สุก แล้วนำมาบดหรือปั่นผสมกับข้าวบดของน้องและผักรสหวานอย่างฟักทองหรือแครอทดูสิคะ ความหวานของผักจะช่วยกลบกลิ่นคาวได้ดีเลยค่ะ เริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อน้องเริ่มคุ้นเคยค่ะ หากน้องไม่ทานจริงๆ เนื้อไก่ฉีกฝอยๆ หรือไข่แดงบดก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากเช่นกันค่ะ หากมีข้อสงสัยเรื่องโภชนาการ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการนะคะ
จริงไหมคะที่ให้ลูกวัย 1 ขวบขึ้นไปดื่มนมเยอะๆ แล้วจะทำให้ขาดธาตุเหล็ก?
จริงและสำคัญมากๆ เลยค่ะ! เพราะแคลเซียมในนมปริมาณมากจะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารมื้อหลักค่ะ และการดื่มนมเยอะๆ ยังทำให้น้องอิ่มจนไม่อยากทานข้าว ซึ่งเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่สำคัญด้วยค่ะ สำหรับเด็กวัย 1 ขวบขึ้นไปจึงไม่ควรดื่มนมเกินวันละ 2-3 แก้ว (ประมาณ 16-24 ออนซ์) เพื่อให้เขายังมีพื้นที่ในท้องสำหรับทานอาหารอื่นๆ ด้วยค่ะ
หนูจะรู้ได้ยังไงคะว่าลูก "ซีด" จริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นเด็กผิวขาว? มีวิธีสังเกตง่ายๆ ไหมคะ?
มีวิธีสังเกตง่ายๆ เลยค่ะ! ลองเปิด "เปลือกตาล่าง" ของน้องดูเบาๆ ค่ะ ถ้าด้านในเป็นสีชมพูระเรื่อก็โอเคค่ะ แต่ถ้าเป็นสีขาวซีดๆ แทบไม่มีสีชมพูเลย อาจเป็นสัญญาณว่าน้องมีภาวะซีดได้ค่ะ นอกจากนี้ลองดูที่ริมฝีปาก ฝ่ามือ หรือเล็บก็ได้ค่ะ ถ้าดูซีดกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ควรพาน้องไปปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจเลือดให้แน่ใจนะคะ
ธาตุเหล็ก สำคัญอย่างไร?
ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบในเซลล์เม็ดเลือด การที่เด็กขาดธาตุเหล็ก หรือมีภาวะที่ธาตุเหล็กในร่างกายไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการการทำงานในร่างกาย เช่น
- การสร้างเม็ดเลือดแดง
- การทำงานของเยื่อบุทางเดินอาหาร
- การทำงานของกล้ามเนื้อ
- การพัฒนาการของสมอง
สำหรับช่วงสำคัญของการพัฒนาสมอง คือ ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์จวบจนอายุ 2 ปี หากเด็กขาดธาตุเหล็กในช่วงวัยนี้ จึงอาจส่งผลเสียในระยะยาวได้
จะรู้ได้ยังไงว่า เด็กขาดธาตุเหล็ก
หากเด็กขาดธาตุเหล็กไม่รุนแรง จะมักไม่แสดงอาการ แต่เด็กขาดธาตุเหล็กในรายที่รุนแรง มักจะมีอาการแสดงออกทางร่างกาย (3) เช่น
- มีอาการซีด หรือพบภาวะซีด
- อ่อนเพลีย
- เฉื่อยชา สมาธิลดลง
- ใจสั่น
- ลักษณะเล็บผิดปกติ
- ลิ้นเลี่ยน (glossitis) มีสีและลักษณะของลิ้นที่เปลี่ยนไป คือ ปุ่มบนผิวลิ้นหาย ทำให้ลิ้นเรียบผิดปกติ
- ความอยากอาหารลดลง
- มีพฤติกรรมการรับประทานที่ผิดปกติ เช่น ชอบกินน้ำแข็งมาก ๆ อยากกินแป้ง หรือข้าวดิบ
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก
เมื่อธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยการทำงานของเอนไซน์หลายชนิด และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮีโมโกบินในเม็ดเลือดแดงมีไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะโลหิตจาง พบได้บ่อยในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี และในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจะมีอาการผิวซีดไม่มีเลือดฝาด เฉื่อยชา เหนื่อยง่าย ที่สำคัญ สมาธิในการเรียนหนังสือลดลง ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สาเหตุที่ทำให้เด็กขาดธาตุเหล็ก
เหตุที่ทำให้เด็กขาดธาตุเหล็ก เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจพบว่าเกิดตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ จนถึงเรื่องโภชนาการของเด็กในวัยเจริญเติบโต เช่น
- เกิดความเสี่ยงในช่วงปริกำเนิดของการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกมีธาตุเหล็กสะสมในร่างกายลดลง เพราะธาตุเหล็กจะสะสมตั้งแต่ช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ เป็นไปได้ว่าแม่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก ภาวะการคลอดก่อนกำหนด และภาวะครรภ์แฝดที่มีภาวะเลือดวิ่งถ่ายเทระหว่างทารกในครรภ์ (1)
- เด็กขาดธาตุเหล็ก เพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารก เด็กในวัยเรียน และช่วงวัยรุ่น ที่ร่างกายต้องการธาตุเหล็กที่มากขึ้น
- โรคที่ส่งผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็กของลำไส้ เช่น โรคที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมในการดูดซึมธาตุเหล็ก ลำไส้เล็กส่วนต้นอักเสบเรื้อรัง หรือมีการผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นออก
การป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็ก
- ทารกควรกินนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพราะน้ำนมแม่มีธาตุเหล็ก และสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน
- เมื่อทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป ควรเสริมอาหารตามวัย เพราะร้อยละ 90 ของธาตุเหล็กที่ทารกต้องการ จะได้จากอาหารเสริมตามวัย เช่น ตับ ไข่แดง และเนื้อสัตว์
- ทารกกลุ่มเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเสริมธาตุเหล็ก เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักตัวน้อย
- เด็กวัย 6 เดือน – 2 ปี อาจมีการเสริมธาตุเหล็ก กรณีได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย
- ธาตุเหล็กจะดูดซึมได้ดี เมื่อมีวิตามินซี จึงควรเสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
- ดูแลสุขภาพของลูกให้แข็งแรง อยู่เสมอ เพื่อป้องกันโรค
การตรวจคัดกรองภาวะการขาดธาตุเหล็กในเด็ก
แพทย์สามารถตรวจคัดกรองภาวะการขาดธาตุเหล็กในเด็กช่างอายุ 6 เดือน – 2 ปี ที่คลินิกเด็กี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูค่าของเม็ดเลือดแดงจาก CBC โดยจะตรวจในช่วงอายุ 9 – 12 เดือน กรณีเด็กอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก อาจตรวจซ้ำเมื่ออายุ 15 – 18 เดือน (1)
ดื่มนมแม่ และรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ช่วยป้องกันภาวะซีด
เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Hemoglobin และ myoglobin อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมอง หากทารกขาดธาตุเหล็ก อาจมีปัญหาด้านเชาวน์ปัญญา และสมาธิได้ แม้ว่าจะรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กแล้วก็ตาม ดังนั้น การได้รับนมแม่อย่างเพียงพอในวัยทารกจึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในนมแม่มีธาตุเหล็ก 0.35 mg/L จึงมีธาตุเหล็กอย่างเพียงพอสำหรับลูกในแต่ละวัน และธาตุเหล็กในน้ำนมแม่ยังดูดซึมได้เกือบ 50% (2)
- ทารกใน 6 เดือนแรก ควรได้รับธาตุเหล็ก 27 mg ต่อวันจากนมแม่ ซึ่งรวมกับธาตุเหล็กสะสมจากการแตกตัวของฮีโมโกลบินหรือเหล็กจากการแตกสลายของเม็ดเลือดแดง ก็ได้รับธาตุเหล็กเพียงพอแล้ว
- ทารกอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับธาตุเหล็ก 11 mg จากอาหารเสริมตามวัย
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ช่วยป้องกันภาวะซีด
- อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง ตับ เครื่องในสัตว์ เลือด ไข่แดง ส่วนผักใบเขียว เช่น ผักโขม บรอกโคลี ตำลึง และถั่วเมล็ดแห้ง
- หากเทียบปริมาณธาตุเหล็กในอาหาร 100 กรัม ตับ มีธาตุเหล็ก 6-10 mg และเนื้อสัตว์อื่นมี ธาตุเหล็ก 1-3 mg ต่อปริมาณ 100 กรัม
- ไข่แดงมีปริมาณธาตุเหล็ก 9 mg ต่อไข่แดง 1 ฟอง แต่การดูดซึมไม่ดีเท่าเนื้อสัตว์
- นอกจากอาหารที่มีธาตุเหล็กแล้ว ควรเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็กจากผักและไข่แดง คือ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี
อ้างอิง
- สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย | The Thai Society of Hematology (tsh.or.th)
- ธาตุเหล็กในนมแม่ ส่วนสำคัญพัฒนาสมอง - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) (thaihealth.or.th)
- ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
- Lara-Villoslada F. et. al., Br J Nutr. 2007 Oct;98 Suppl 1:S96-100
- Floch MH. et. al., J Clin Gastroenterol. 2015 Nov-Dec;49 Suppl 1:S69-73
อ้างอิง ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2566