หากลูกปวดท้องบริเวณสะดือเป็นๆ หายๆ แต่ยังคงร่าเริง วิ่งเล่นได้ กินอาหารได้ปกติ และไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่อาการที่

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เมื่อระบบย่อยอาหารของลูกกำลังปรับตัวกับอาหารชนิดใหม่ค่ะ หากลูกถ่ายบ่อยขึ้นแต่ลักษณะอุจจาระยังไม่ถึงกับเป็นน้ำ และ

เข้าใจเลยค่ะว่าเห็นลูกทรมานแล้วใจจะขาด วิธีช่วยเบื้องต้นที่ปลอดภัยและสามารถทำได้ทันทีคือ:
ให้อาบน้ำอุ่น: ความอุ่นของน้ำจะช่วยให้กล้ามเนื้อ

มีความเป็นไปได้สูงค่ะ หากคุณแม่สังเกตเห็นรูปแบบที่ชัดเจนว่าลูกมีอาการปวดท้อง, ท้องอืด, หรือท้องเสียทุกครั้งหลังจากทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง

การปวดท้องจนปลุกให้ลูกตื่นกลางดึกเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ สาเหตุอาจเป็นได้ตั้งแต่เรื่องที่ไม่รุนแรง เช่น อาหารไม่ย่อยจากมื้อเย็น ไป

นี่คือ "วงจรของความกลัว" ที่ต้องรีบแก้ไขค่ะ เพราะเมื่อลูกกลั้นอุจจาระก็จะยิ่งแข็งและยิ่งเจ็บในครั้งต่อไป วิธีการคือ:
ต้องทำให้อุจจาระนิ่มก่อ

ไม่ใช่ท้องเสียค่ะ และเป็นอาการที่ "ปกติมาก" สำหรับเด็กที่กินนมแม่ล้วนค่ะ ภาวะนี้เรียกว่า "Gastrocolic reflex" ซึ่งเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของ

หัวใจสำคัญในการแยกแยะคือ "ลักษณะของอุจจาระ" ไม่ใช่จำนวนครั้งค่ะ
การถ่ายปกติ: แม้จะถ่ายวันละ 3-4 ครั้ง แต่ถ้าอุจจาระยังคงมี "เนื้อ" ปนอยู่ มี

เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากเลยค่ะ! ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะระบบย่อยอาหารของน้องกำลังปรับตัวกับอาหารชนิดใหม่ที่ไม่ใช่นม และธาตุเหล็กที่เสริมเข้าไปก็อาจทำให้อุจจาระแข็งขึ้นได้ค่ะ

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ! จริงๆ แล้วทั้งมันเทศ ฟักทอง และแครอทต่างก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเหมือนกันค่ะ แต่จุดเด่นของมันเทศคือมีรสหวานตามธรรมชาติที่เด็กๆ

ปกติและเป็นสัญญาณที่ดีมากค่ะ! อาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยที่คุณแม่รู้สึกนั้นเรียกว่า "Afterpains" หรือ "อาการปวดมดลูกหลังคลอด" ซึ่งเกิดจากการที่มดลูกกำลัง "หดรัดตัวอย่างแข็งขัน"

เป็นเรื่องปกติมากเลยค่ะ! ตับมีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างเฉพาะตัวมากสำหรับเด็กๆ ค่ะ ลองเริ่มจากปริมาณน้อยมากๆ แค่ปลายช้อนชาผสมลงไปในข้าวบดที่เขาคุ้นเคยก่อน

เป็นความคิดที่ดีมากเลยค่ะเพื่อความสะดวก! สำหรับตัว 'ตับบด' สามารถต้มสุกแล้วบดเก็บเป็นก้อนเล็กๆ ในถาดน้ำแข็งแล้วแช่แข็งไว้ได้เลยค่ะ สะดวกมากๆ เวลาใช้ก็นำออกมาอุ่นทีละก้อน

เข้าใจความกังวลของคุณแม่เลยค่ะ! การที่ระบบย่อยอาหารของน้องต้องเจอกับอาหารชนิดใหม่ที่ไม่ใช่นม อาจจะทำให้มีอาการท้องอืดหรือมีลมในท้องได้บ้างในช่วงแรก

เป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ควรสังเกตอย่างใกล้ชิดเลยค่ะ! อาการแพ้หลังทานโยเกิร์ตครั้งแรกๆ อาจจะแสดงออกมาได้หลายรูปแบบค่ะ เช่น มีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง (ลมพิษ)

เข้าใจเลยค่ะว่าพอรู้ว่ามีสองชีวิตในท้องก็อยากจะบำรุงให้เต็มที่! แต่ไม่จำเป็นต้องกินเป็น "สองเท่า" นะคะ โดยทั่วไปแล้วคุณหมอจะแนะนำให้คุณแม่ท้องแฝดต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ

เป็นความอยากที่เข้าใจได้เลยค่ะ แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกน้อยในครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ "หลีกเลี่ยง" การทานผักสดหรือผักดิบที่ล้างไม่สะอาดไปก่อนค่ะ

เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามกันบ่อยมากเลยค่ะ! จริงๆ แล้วการมีเพศสัมพันธ์ "ทุกวัน" อาจจะทำให้อสุจิของคุณผู้ชายมีความเข้มข้นลดลงได้ค่ะ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้มีเพศสัมพันธ์แบบ

เป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของคุณแม่ท้องแฝดเลยค่ะ และก็เป็นความจริงที่ว่าการตั้งครรภ์แฝดมีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด "สูงกว่า" การตั้งครรภ์เดี่ยวค่ะ เนื่องจากมดลูกมีการขยายตัวมากกว่าปกติ

เข้าใจเลยค่ะว่าเป็นช่วงเวลาที่ลุ้นมากๆ! การมีเพศสัมพันธ์ตรงวันไข่ตกช่วยเพิ่ม "โอกาส" ในการตั้งครรภ์ได้สูงมากจริงๆ ค่ะ แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ 100% นะคะ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง

เป็นจุดสังเกตที่สำคัญมากเลยค่ะ "การเจ็บครรภ์เตือน" (Braxton Hicks) มักจะมาแบบไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้แรงขึ้นเรื่อยๆ และมักจะหายไปเมื่อคุณแม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ดื่มน้ำ หรือนอนพักค่ะ

มีค่ะ อาหารบางชนิดมีแนวโน้มทำให้ท้องผูกได้ง่ายกว่าปกติในเด็กเล็ก คุณแม่ควรสังเกตและอาจจะลดปริมาณอาหารเหล่านี้ในช่วงที่ลูกมีอาการถ่ายแข็ง:
กล

มีโอกาสค่ะคุณแม่! แม้ว่าคุณแม่ที่น้ำหนักตัวขึ้นเยอะจะมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ปัจจัยหลักของท้องแตกลายคือ "การยืดขยายของผิวหนังอย่างรวดเร็ว" และ "พันธุกรรม" ค่ะ

เข้าใจความรู้สึกของคุณแม่เลยค่ะ แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าในปัจจุบันยัง "ไม่มี" วิธีไหนที่สามารถทำให้รอยแตกลายหายไปได้อย่างสมบูรณ์ 100% นะคะ แต่ข่าวดีก็คือมีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้รอย

เข้าใจเลยค่ะว่าทรมานมาก แต่อยากให้คุณแม่ "พยายามอดทนไม่เกา" นะคะ! การเกาแรงๆ อาจจะไปทำลายเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวและยิ่งทำให้เกิดรอยแตกลายได้ง่ายขึ้นค่ะ วิธีบรรเทาอาการคันที่ดีที่สุดคือการ

เป็นความเชื่อที่ได้ยินกันมานานเลยค่ะ! แต่ในทางการแพทย์แล้ว "ไม่มีหลักฐาน" ที่ยืนยันว่าการนอนยกขาสูงจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญนะคะ อสุจิที่แข็งแรงสามารถว่ายเข้าไปในโพรงมดลูก

เป็นคำถามที่คุณแม่หลายท่านสงสัยค่ะ อาการเท้าบวมมักจะเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วง "ไตรมาสที่สาม" ของการตั้งครรภ์ค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงที่มดลูกขยายตัวใหญ่ที่สุดจนไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่

เป็นไปได้สูงมากเลยค่ะ!