
น้ำนมไม่ไหล? รวมวิธีเพิ่มน้ำนมและอาหารกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่
คำถามที่พบบ่อย
ถ้าลูกหลับยาวตอนกลางคืน ควรปลุกมาเข้าเต้าเพื่อกระตุ้นน้ำนมหรือไม่?
ในช่วง 1-2 เดือนแรกที่กำลังสร้างปริมาณน้ำนม แนะนำให้ปลุกลูกมาเข้าเต้าทุก 2-3 ชั่วโมง หรือคุณแม่อาจจะปั๊มนมแทนก็ได้ เพื่อรักษาระดับการผลิตน้ำนมให้คงที่ แต่หากปริมาณน้ำนมคงที่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องปลุกก็ได้ค่ะ
Power Pumping คืออะไร และควรทำบ่อยแค่ไหน?
Power Pumping คือเทคนิคการปั๊มนมเลียนแบบการดูดของทารกเพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้น ทำโดยการ ปั๊ม 20 นาที พัก 10 นาที, ปั๊ม 10 นาที พัก 10 นาที, และปั๊มอีก 10 นาที (รวม 1 ชั่วโมง) แนะนำให้ทำวันละ 1-2 ครั้ง ติดต่อกัน 2-3 วันเพื่อกระตุ้นน้ำนมค่ะ
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าน้ำนมจะเพิ่มขึ้นหลังทำตามวิธีต่าง ๆ?
โดยทั่วไป คุณแม่อาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-7 วันหลังปฏิบัติตามวิธีต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การให้ลูกดูดบ่อยขึ้น การปั๊มนมอย่างมีวินัย และการทานอาหารกระตุ้นน้ำนม อย่างไรก็ตาม ร่างกายของคุณแม่แต่ละคนตอบสนองไม่เท่ากัน สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอและความอดทนค่ะ
สรุป
- เทคนิคสำคัญของการช่วยกระตุ้นเพิ่มน้ำนมแม่ คือ ต้องให้ลูกดูดนมหลังคลอดทันที ดูดต่อเนื่องและนานสม่ำเสมอทุก 2-3 ชั่วโมง จนรู้สึกอิ่ม และดูดให้ถูกวิธี ไม่ทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บ และลูกได้รับนมเพียงพอ
- สาเหตุที่อาจทำให้คุณแม่น้ำนมน้อย อาจเกิดได้จากไม่ให้ลูกเข้าเต้าทันทีหลังคลอด และลูกเข้าเต้าไม่ถูกวิธีจนทำให้ลูกไม่ยอมเข้าเต้า รวมถึงการให้นมทางขวดและหัวนมปลอม ซึ่งจะทำให้เด็กคุ้นเคยเนื่องจากนมจะไหลผ่านหัวนมปลอมได้คล่องตัวมากกว่า
- คุณแม่ให้นมควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และควรเลือกเมนูที่ช่วยเพิ่มน้ำนม นอกจากนี้ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน และนอนหลับพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงและสามารถผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นได้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- 9 สาเหตุ ทำไมคุณแม่น้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล?
- 12 วิธีเพิ่มน้ำนม กระตุ้นน้ำนมแบบธรรมชาติ ทำได้ทันที
- อาหารเพิ่มน้ำนมมีอะไรบ้าง? เมนูเรียกน้ำนมสำหรับคุณแม่
- ตอบคำถามคุณแม่น้ำนมไม่ไหล ที่ต้องการกระตุ้นน้ำนม
9 สาเหตุ ทำไมคุณแม่น้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล?
อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำนมแม่มีคุณค่าต่อลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด และยังมีคำแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต แต่ร่างกายของคุณแม่มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน บางคนอาจไม่สามารถสร้างน้ำนมให้เพียงพอในการเลี้ยงดูลูกได้ หรืออาจจะเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. ไม่ได้ให้ลูกเข้าเต้าทันทีหลังคลอด
หากหลังคลอดไปแล้วภายใน 72 ชั่วโมง และนมแม่ยังไม่มา โดยอาจมีสาเหตุจากการผ่าคลอด คุณแม่มีภาวะอ้วน หรืออายุเยอะ รวมถึงความผิดปกติของหัวนม ซึ่งส่งผลต่อการไม่เข้าเต้าของลูกน้อย ทำให้ไม่เกิดการกระตุ้นน้ำนมแม่ที่ดีเพียงพอ หากปล่อยไว้เมื่อลูกไม่กระตุ้นน้ำนม การผลิตนมของคุณแม่ก็จะลดน้อยลงได้
2. แม่ให้นมลูกไม่บ่อยพอ
นอกจากจะรีบให้ลูกเข้าเต้าหลังคลอดโดยทันทีเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนมแล้ว คุณแม่ควรให้ลูกเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอ 8-12 ครั้งต่อวัน หรือถ้าลูกงอแงหิวนม ก็สามารถนำเข้าเต้าได้ทันที และควรให้เข้าเต้าอย่างน้อยข้างละ 15 นาทีต่อรอบ หรือจนรู้สึกอิ่มไปเอง คุณแม่อย่าลืมว่าการให้ลูกดูดนมบ่อยเท่าไหร่ จะยิ่งช่วยกระตุ้นการเพิ่มน้ำนมเท่านั้น
3. ลูกไม่ยอมดูดนม
การให้ลูกดูดนมแม่บ่อย ๆ ถือเป็นวิธีช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ดีที่สุด แต่บางครั้งที่ลูกไม่ยอมดูดนม หรือเวลาดูดนมแล้วชอบงอแงอาจมาจากปัญหาหัวนมสั้น หรือหัวนมบอด รวมถึงท่าขณะให้นมของคุณแม่ที่ทำให้ลูกเข้าเต้าไม่ถนัด หรือปัญหาพังผืดใต้ลิ้นของลูก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ควรรีบแก้ไขด้วยการปรึกษาคลินิกนมแม่หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปค่ะ
4. ลูกดูดนมไม่ถูกวิธี
ท่าการให้นมและวิธีการดูดของลูก สามารถส่งผลต่อการกระตุ้นเพิ่มน้ำนมได้ เพราะหากลูกดูดนมได้ถูกต้องและเพียงพอ ร่างกายคุณแม่ก็จะผลิตน้ำนมออกมารองรับตามความต้องการของลูก ซึ่งเทคนิคที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการให้ลูกเข้าเต้าทำได้โดยเริ่มจากเอาหัวนมเขี่ยบริเวณปากล่างของลูกเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กอ้าปากกว้างขึ้น จากนั้นคุณแม่จึงนำลูกเข้าหาเต้านมและให้ลูกสามารถอมเต้านมได้ลึกมากที่สุด วิธีสังเกตอย่างหนึ่งถ้าเข้าเต้าถูกวิธี คือ คุณแม่ไม่ควรรู้สึกเจ็บในระหว่างการให้นม และลูกควรดูดอย่างต่อเนื่องช้า ๆ
5. ลูกกินนมแม่จากขวด
คุณแม่หลายท่านมักมีความกังวลว่าการที่ลูกเข้าเต้าจะไม่รู้ว่าลูกได้รับน้ำนมมากน้อยแค่ไหน หากน้ำนมน้อย ก็กลัวลูกไม่อิ่ม กินไม่พอ จึงใช้ขวดให้ลูกดูดแทนการเข้าเต้าเพราะสามารถรู้ปริมาณที่ลูกกินในแต่ละมื้อได้ อีกทั้งยังมีความสะดวกมากกว่า แต่การทำอย่างนี้อาจเป็นการลดการกระตุ้นน้ำนมจากการดูดนมลงไปเรื่อย ๆ จนเป็นสาเหตุให้นมน้อยลงได้ อีกทั้งเมื่อลูกได้กินจากขวดแล้วจะไม่อยากกลับมาเข้าเต้าเพราะการดื่มจากขวดออกแรงดูดน้อยกว่าการดูดจากเต้านั่นเอง
6. ให้ลูกดูดหัวนมปลอม
นอกจากการให้ลูกดื่มนมจากขวดแล้ว การให้ลูกดูดหัวนมปลอม ก็เป็นการทำให้ลูกเกิดความสับสนได้ เนื่องจากหัวนมปลอมหรือจุกปลอมดูดง่ายกว่าการเข้าเต้าแม่ ซึ่งหากลูกไม่คุ้นเคยไปนาน ๆ ก็อาจจะทำให้ไม่ยอมเข้าเต้าอีกเลย
7. ได้รับน้ำไม่เพียงพอ
น้ำถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการสร้างน้ำนมของคุณแม่ได้ดี ซึ่งในหนึ่งวันคุณแม่ควรดื่มน้ำให้ได้ 8-10 แก้ว เพราะหากคุณแม่ดื่มน้ำไม่มากเพียงพอ อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำนมได้เต็มที่ น้ำนมแม่จึงน้อยลงได้
8. ปัญหาสุขภาพ
สุขภาพของคุณแม่ให้นมถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งคุณแม่ที่มีปัญหาสุขภาพบางชนิดอาจส่งผลต่อการสร้างน้ำนมได้ อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะอ้วน ภาวะโลหิตจาง หรือคุณแม่ที่มีท่อน้ำนมน้อยผิดปกติ อีกทั้งความเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการผลิตน้ำนมของคุณแม่ทั้งสิ้นค่ะ
9. ยาบางชนิด
คุณแม่บางรายอาจะมีความจำเป็นต้องรับประทานยา รวมถึงอาหารเสริมบางชนิด ก็สามารถส่งผลต่อปริมาณน้ำนมที่คุณแม่ผลิตได้ ดังนั้นหากคุณแม่จำเป็นต้องทานยาแนะนำให้ปรึกษาคุณหมอและเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
12 วิธีเพิ่มน้ำนม กระตุ้นน้ำนมแบบธรรมชาติ ทำได้ทันที
เทคนิคการกระตุ้นน้ำนมที่ดีที่สุดตามธรรมชาติ คือ การให้ลูกดูดนมด้วยการเข้าเต้า โดยคุณแม่ยึดหลักว่า ต้องให้ลูกดูดนมให้เร็วหลังคลอด ดูดให้ต่อเนื่อง และดูดให้นานจนอิ่ม จะช่วยให้เส้นทางการให้นมแม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เราได้รวบรวมเทคนิค 12 วิธีกระตุ้นน้ำนมแบบธรรมชาติไว้ให้แล้ว ดังนี้
1. เริ่มให้นมลูกเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
เทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือ คุณแม่ควรให้ลูกได้ดูดนมทันทีหรือภายใน 15-30 นาทีหลังคลอด เพื่อเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ช่วยกระตุ้นน้ำนมให้มาเร็วที่สุด อีกทั้งการที่คุณแม่ได้โอบกอดลูกน้อยแบบแนบเนื้อหลังคลอด ถือเป็นการช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนโพรแลคติน (Prolactin) และฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในกระบวนการการสร้างน้ำนม และยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่ในระยะยาวได้อีกด้วย
2. ให้นมถี่ขึ้นหรือตามความต้องการของลูก
การให้ลูกดูดนมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่ให้เพิ่มขึ้นได้ ลูกควรได้รับนม โดยการเข้าเต้าวันละ 8-12 ครั้ง หรือคุณแม่อาจกำหนดเวลาเข้าเต้าทุก 2-3 ชั่วโมง และให้เข้าเต้าทุกครั้งที่ลูกมีอาการหิวหรืองอแง รวมถึงควรให้ลูกดูดนมให้หมดเต้าหรือจนรู้สึกอิ่มไปเอง ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ คือ ลูกจะหลับสบาย ไม่กวนงอแง และมีปริมาณอึ ฉี่ ที่เหมาะสม
3. ปั๊มนมระหว่างมื้อให้นม
ในบางครั้งลูกอาจดูดนมได้ไม่เกลี้ยงเต้า ซึ่งการที่มีน้ำนมค้างในเต้าจะส่งผลให้เกิดการคัดเต้าและทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บปวดได้ ดังนั้นหลังลูกเข้าเต้าแล้ว คุณแม่อาจจะทำให้น้ำนมเกลี้ยงเต้ามากขึ้นด้วยการปั๊มนมต่อไปอีกประมาณ 10 นาที เพื่อให้นมหมดและร่างกายจะได้ผลิตน้ำนมมากขึ้นอีกด้วย
4. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น
ในน้ำนมแม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยแบ่งเป็นน้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูงถึง 80% และน้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) ที่จะมีความเข้มข้นสูงกว่า น้ำจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตน้ำนม คุณแม่ในช่วงให้นมจึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือ 1-2 ลิตรต่อวัน และดื่มน้ำทุกครั้งหลังให้นมลูกหรือปั๊มนมแล้วเสร็จ
5. นอนพักให้มากขึ้น ลดสิ่งรบกวนที่ทำให้เครียดหรือเหนื่อย
การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ร่างกายสามารถเพิ่มการผลิตน้ำนมได้ดีมากขึ้น คุณแม่จึงควรหาเวลานอนหลับแบบสั้นในระหว่างวันบ้าง เช่น เมื่อลูกหลับคุณแม่ก็อาจจะงีบหลับสักพัก หรือบางครั้งอาจขอให้คนในครอบครัวช่วยดูแลลูกแทนสักพัก เพื่อคุณแม่จะได้พักผ่อนและไม่เครียดกับการเลี้ยงลูกจนเกินไปค่ะ
6. ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้พลังงานที่เพียงพอ
การรับประทานอาหารในช่วงให้นมลูกหลังคลอดไม่แตกต่างจากช่วงตั้งครรภ์มากนัก คุณแม่ควรเน้นให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และรับประทานให้ครบ 3 มื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงเพื่อป้องกันท่อน้ำนมอุดตัน และเพิ่มอาหารที่ช่วยบำรุงและกระตุ้นการผลิตน้ำนมและการไหล เช่น ขิง พริกไทย ใบกะเพรา เป็นต้น
7. ทานอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนม
พืชผักที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นเพิ่มน้ำนม และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมีมากมายหลายชนิด โดยอาจเป็นลักษณะของเครื่องเทศหรือสมุนไพรต่าง ๆ เช่น หัวปลี ขิง ฟักทอง กระเทียม ตำลึง ใบกะเพรา คุณแม่อาจนำมาคิดเมนูที่ชอบรับประทานประจำวันเพื่อช่วยให้ทั้งอร่อยถูกใจและเพิ่มน้ำนมให้ลูกน้อยได้ด้วยค่ะ
8. การทำ Power Pumping
เทคนิคการทำ Power Pumping คือ การเลียนแบบการดูดนมของทารก เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเทคนิคนี้เหมาะที่จะทำภายใน 3 สัปดาห์แรกหลังคลอด และทำต่อเนื่อง 3-7 วัน โดยควรทำช่วงเวลาทอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนโพรแลคติน (Prolactin) สูง คือ ระหว่างเวลา 02:00-06:00 น. แต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และแบ่งรอบการปั๊มออกเป็นรอบย่อย ๆ สลับการหยุดพัก ดังนี้
- รอบที่ 1 ปั๊มนม 20 นาที พัก 10 นาที
- รอบที่ 2 ปั๊มนม 10 นาที พัก 10 นาที
- รอบสุดท้าย ปั๊มนม 10 นาที
9. ทานสมุนไพรเพิ่มน้ำนม
ทฤษฎีการแพทย์ตะวันออกเชื่อว่าหลังคลอดบุตรร่างกายของคุณแม่จะมีภาวะเย็น จึงควรรับประทานสมุนไพรที่มีรสร้อนช่วยให้ร่างกายเกิดสมดุลขึ้นได้ อีกทั้งด้วยฤทธิ์ของสมุนไพรที่มีรสร้อนจะช่วยให้การทำงานของระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ช่วยให้ระบบย่อยและการดูดซึมสารอาหารดีขึ้นด้วย ส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณแม่ แต่เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการรับประทานสมุนไพรหรืออาหารที่ใส่สมุนไพรรสร้อน
10. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ หรือยาที่อาจลดการสร้างน้ำนม
คุณแม่หลังคลอดที่ให้นมลูกควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการซื้อยาหรืออาหารเสริมมารับประทานเอง เพราะยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการผลิตน้ำนม หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกผ่านน้ำนมแม่ได้
11.นวดเต้านม
วิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเพิ่มน้ำนม ด้วยการนวดเต้านมเพื่อช่วยให้ผลิตน้ำนมแม่มากขึ้น โดยก่อนที่คุณแม่จะทำการนวดควรล้างมือให้สะอาด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นมาประคบที่เต้านมประมาณ 1-3 นาที จากนั้นค่อย ๆ นวดตาม 6 ขั้นตอนนี้
1. ผีเสื้อขยับปีก (Butterfly stroke)
- แบมือแล้วยกมือแนบที่เต้านมทั้ง 2 ข้าง ยกข้อศอกขึ้น ค่อย ๆ นวดเต้านมจากด้านในออกไปด้านนอกเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา
2. หมุนวนปลายนิ้ว (Fingertip circles)
- ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งวางรองที่ใต้ราวนม ส่วนมืออีกข้างวางเหนือลานนม จากนั้นนวดเป็นวงกลม ทำแบบนี้ 5 ครั้ง
3. ประกายเพชร (Diamond stroke)
- ใช้ฝ่ามือทาบลงเต้านม โดยที่นิ้วโป้งอยู่ด้านบนเต้านมส่วนนิ้วทั้ง 4 อยู่ใต้เต้านม ลักษณะเป็นตัว C จากนั้นบีบมือทั้ง 2 เข้าหากันพร้อมกับเลื่อนมือลงไปที่ลานนม แล้วทำแบบนี้สลับขึ้นลง
4. กระตุ้นท่อน้ำนม (Acupressure point I)
- ยกแขนข้างเดียวกับเต้าที่ต้องการนวดเอาไว้ที่หลังศีรษะ แล้วใช้นิ้วชี้อีกข้างหนึ่งวางเหนือลานนมประมาณหนึ่งข้อนิ้ว จากนั้นกดนิ้วชี้ลงพร้อมกับใช้ปลายนิ้วหมุนวนในตำแหน่งเดียวกัน
5. เปิดท่อน้ำนม (Acupressure point II)
- ใช้ 3 นิ้วของมือข้างหนึ่งวางทาบเหนือลานนม ส่วนมืออีกข้างใช้ 3 นิ้ววางทาบต่อจากนิ้วสุดท้ายจึงจะได้ตำแหน่งที่ถูกต้อง จากนั้นให้ยกแขนข้างเดียวกับเต้านมขึ้นไว้หลังศีรษะ แล้วค่อย ๆ กดหมุนวนช้า ๆ ในลักษณะคลายและกด ทำแบบนี้ซ้ำ 5 ครั้ง
6. พร้อมบีบน้ำนม (Final steps)
ขั้นตอนสุดท้ายจะมี 4 ท่าย่อย ซึ่งคุณแม่ห้ามสัมผัสหัวนมโดยตรงนะคะ
- ท่าที่ 1: ใช้อุ้งมือประคองเต้านมข้างใดข้างหนึ่ง แล้วใช้นิ้วชี้อีกข้างกดและหมุนวนให้รอบลานนม
- ท่าที่ 2: วางนิ้วมือข้างใดข้างหนึ่งโดยให้นิ้วโป้งอยู่ด้านบน และนิ้ว 4 นิ้วที่เหลืออยู่ด้านล่าง จากนั้นค่อย ๆ รูดนิ้วเข้าหากันจนถึงลานหัวนม
- ท่าที่ 3: ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างวางลงเต้านมข้างใดข้างหนึ่งในลักษณะแนวตั้งขนานลานนม จากนั้นใช้นิ้วกดแล้วลากเข้าหากันในลักษณะบีบจนถึงลานนมและคลายออกสลับกัน
- ท่าที่ 4: ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับที่เต้าอีกข้าง โดยที่นิ้วโป้งอยู่ด้านบนเต้านม ส่วนอีก 4 นิ้วที่เหลืออยู่ใต้เต้านม ในลักษณะเป็นรูปตัว C แล้วกดนิ้วลากเข้าหาลานนมในลักษณะบีบและคลาย

12.จัดตารางให้นมและปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ
หากคุณแม่มีความจำเป็นต้องออกไปธุระนอกบ้านหรือกลับไปทำงานแล้ว คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถให้ลูกเข้าเต้าได้ตามรอบปกติแล้วน้ำนมจะลดลง เพราะคุณแม่สามารถจัดตารางการปั๊มนมกับการนำลูกเข้าเต้าที่เหมาะสมในกิจวัตรประจำวันโดยเป็นรอบทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงตามเดิมได้ตามนี้
- ช่วงเช้า: คุณแม่ก่อนออกไปธุระนอกบ้านควรให้ลูกเข้าเต้าดูดนมเมื่อตื่นนอน และหากพอมีเวลาคุณแม่อาจปั๊มนมเก็บไว้ระหว่างวันได้อีกด้วย
- ช่วงกลางวัน: พยายามปั๊มนมให้ลูกน้อยได้ตามรอบทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมอย่างต่อเนื่อง
- ช่วงเย็น: หลังจากกลับมาถึงบ้านคุณแม่ควรชำระล้างร่างกายให้สะอาดและให้นมลูกด้วยการเข้าเต้าเท่าที่ทำได้ และคุณแม่ไม่เครียดจนเกินไป
- ช่วงดึก: คุณแม่สามารถปั๊มนมทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อเก็บไว้ให้ลูกน้อยดื่มกินระหว่างวัน อีกทั้งในช่วงเวลา 02:00 – 06:00 น. ถือเป็นช่วงเวลาที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำนมได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
อาหารเพิ่มน้ำนมมีอะไรบ้าง? เมนูเรียกน้ำนมสำหรับคุณแม่
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรับประทานอาหารในช่วงที่คุณแม่ให้นมลูก คือ ต้องได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่และมีปริมาณเหมาะสมเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวัน เนื่องจากร่างกายจะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 500 กิโลแคลอรี รวมถึงต้องเป็นอาหารที่สดสะอาด และปรุงสุกอยู่เสมอ ซึ่งการคัดสรรอาหารที่มีความหลากหลายและมีประโยชน์ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำนมให้คุณแม่ที่อยู่ในระหว่างช่วงให้นมลูกนั้น ถือเป็นสิ่งที่คุณแม่ควรรู้ รวมถึงไอเดียเมนูอาหารเรียกน้ำนมมีดังนี้

อาหารจำพวกผลไม้
ผลไม้ ถือเป็นอาหารที่มีวิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย แต่ผลไม้บางชนิดอาจมีน้ำตาลสูง ซึ่งคุณแม่อาจจะต้องเลือกรับประทานผลไม้ที่ช่วยเพิ่มน้ำนมแต่มีน้ำตาลไม่สูงมากนัก
- มะละกอสุก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินเอ บี ซี ธาตุเหล็ก และแคลเซียมสูง ช่วยสร้างภูมิต้านทาน และมีเส้นใยอาหารสูง
- เมล็ดขนุน มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ช่วยกระตุ้นเพิ่มน้ำนมให้มีมากขึ้น
- อินทผลัม อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มสารอาหารในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด บรรเทาภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย
อาหารจำพวกผัก
- หัวปลี สุดยอดผักเรียกน้ำนม มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงเลือด รักษาโรคกระเพาะและลำไส้
เมนูแนะนำ: แกงเลียงหัวปลี, ยำหัวปลีกุ้งสด, ทอดมันหัวปลี - ขิง สรรพคุณช่วยขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมัน ลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยลดอาการปวดท้องเกร็ง เพิ่มการไหลเวียนโลหิต อีกทั้งยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บีหนึ่ง และบีสอง
เมนูแนะนำ: ไก่ผัดขิง, โจ๊กใส่ขิง - ฟักทอง นอกจากบำรุงสายตาแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มน้ำนมในคุณแม่หลังคลอดได้ มีวิตามินเอ ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน
เมนูแนะนำ: ฟักทองผัดไข่, ไข่ตุ๋นฟักทอง
อาหารจำพวกธัญพืช
คุณแม่ให้นมควรรับประทานอาหารประเภทธัญพืช และอาหารประเภทแป้งที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เนื่องจากมีกากใยสูง ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายดีขึ้น ลดปัญหาท้องผูก
อาหารจำพวกผลิตภัณฑ์จากนม
นม ถือเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง ซึ่งโปรตีนถือเป็นสารอาหารสำคัญในน้ำนม มีบทบาทช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแก่ลูกน้อย โดยคุณแม่ควรดื่มนมประมาณ 3 แก้วต่อวัน
อาหารจำพวกเนื้อสัตว์
คุณแม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่หลากหลาย รวมถึงปลาทะเลที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 (Omega 3) และ ดีเอชเอ (DHA) สูงซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทของลูกน้อย เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลากะพง โดยควรได้รับเนื้อสัตว์ประมาณ 2 ช้อนกินข้าวต่อมื้อจะช่วยให้ได้โปรตีนที่ครบถ้วนมากขึ้น
ตอบคำถามคุณแม่น้ำนมไม่ไหล ที่ต้องการกระตุ้นน้ำนม
คุณแม่หลังคลอดหลายคนมีความกังวลว่าน้ำนมจะไม่เพียงพอสำหรับลูก ก่อนอื่นคุณแม่ต้องเข้าใจว่าเป็นกลไกตามธรรมชาติ หากพยายามฝึกลูกเข้าเต้าอย่างถูกวิธี และคุณแม่ปฏิบัติตัวถูกต้องเหมาะสม รวมถึงไม่เครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมให้ลูกได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยมีรวบรวมคำตอบคลายข้อกังวลคุณแม่ ดังนี้
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวของคุณแม่ให้นมบุตร
รับประทานให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายทุกวัน และงดอาหารหมักดอง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ประเภทแอลกอฮอล์ ยาดองเหล้า ทุกชนิด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
- งดอาหารรสจัด เช่นหวานจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยพยายามหาเวลางีบหลับ หรือฝากคนในครอบครัวดูแลลูกแทนเพื่อให้คุณแม่ได้พักผ่อนบ้าง
- ออกกำลังกายไม่หนักมากจนเกินไป
- กินยาบำรุงตามแพทย์สั่ง สำหรับยาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- เมื่อมีอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยทันที
อาหารที่คุณแม่ให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยง
คุณแม่ให้นมลูกควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจส่งผลเสียต่อลูกน้อยได้ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คุณแม่ต้องเว้นระยะก่อนให้นมลูกอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงต่อการดื่มเพียง 1 แก้ว รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้ลูกมีปัญหาเรื่องการนอนและการทำงานของหัวใจลูกได้ นอกจากนี้คุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกน้อยว่ามีลักษณะแพ้อาหารหรือไม่ โดยดูจากอาการน้ำมูก เสมหะ ขึ้นผื่นตามร่างกาย หรือลักษณะของอุจจาระหลังได้รับนมแม่ และลองหยุดอาหารประเภทนั้น ๆ ดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้หากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการต่อไปอย่างถูกวิธี
เครื่องดื่มบำรุงคุณแม่หลังคลอดที่สามารถดื่มได้
เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่หลังคลอด คงไม่พ้นน้ำสะอาด แต่หากคุณแม่ต้องการกระตุ้นการเพิ่มน้ำนมแม่ด้วย เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ร้อนก็สามารถช่วยได้ เช่น น้ำขิง นอกจากเพิ่มน้ำนมให้ลูกได้ ยังสามารถช่วยคุณแม่ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยกระบวนการเผาผลาญ ทำให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนดีขึ้น และน้ำหัวปลี ซึ่งหัวปลีมีสรรพคุณที่โดดเด่นในการบำรุงน้ำนมแม่ได้เป็นอย่างดี เพราะมีแคลเซียมสูง โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด บรรเทาโรคกระเพาะอาหาร และยังบำรุงเลือดได้ดีอีกด้วย
เส้นทางการให้นมแม่อาจจะราบรื่นสำหรับคุณแม่หลายคน แต่กับคุณแม่บางคนที่มีน้ำนมน้อยอาจมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะคุณแม่ทุกคนต่างทราบดีว่า น้ำนมแม่มีความสำคัญสำหรับการเลี้ยงลูกน้อยโดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก อีกทั้งอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างการเจริญเติบโตให้ลูกน้อยได้อย่างแข็งแรงสมบูรณ์โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญสำหรับสมองอย่าง ดีเอชเอ (DHA) เออาร์เอ (ARA) โคลีน (Choline) และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อและส่งสัญญาณประสาทอย่างรวดเร็ว เสริมสร้างการเรียนรู้ ความจำ เพื่อให้เด็กเจนใหม่ สร้างสมองไว ได้มากกว่าที่แม่คิด ซึ่งเทคนิคกระตุ้นน้ำนมต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งให้คุณแม่สามารถให้น้ำนมแม่แก่ลูกได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่องมากที่สุด แต่ไม่ลืมว่านมแม่ที่ดีต้องมาจากคุณแม่ที่มีความสุขด้วยเช่นกัน
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
อ้างอิง:
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด: อะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก?, Unicef Thailand
- ทำไมคุณแม่หลายคนจึงมีน้ำนมน้อย !?, Facebook: เลี้ยงลูกตามใจหมอ
- เทคนิคจัดการน้ำนมแม่ ให้ลูกอิ่มหนำสำราญ, โรงพยาบาลเวชธานี
- แนะคุณแม่มือใหม่! เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่แบบถูกวิธี, โรงพยาบาลพญาไท 2
- ปัญหาน้ำนมน้อย สาเหตุและวิธีเพิ่มน้ำนมสำหรับคุณแม่มือใหม่, PobPad
- การทำ Power Pump (พาวเวอร์ ปั๊ม) เพื่อกระตุ้นน้ำนม, Premiere Home Health Care
- น้ำนมส่วนหน้า และน้ำนมส่วนหลัง ต่างกันอย่างไร, Premiere Home Health Care
- อาหารเพิ่มน้ำนม คุณแม่หลังคลอด, โรงพยาบาลพิษณุเวช
- อาหารและสมุนไพร กระตุ้นน้ำนม, หมอชาวบ้าน
- เทคนิคการนวดเต้านม, โรงพยาบาลวิภาวดี
- อาหารสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- อาหารคุณแม่หลังคลอด อยากเพิ่มน้ำนมกินอะไรดี, โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย
- สมุนไพรบำรุงน้ำนม, โรงพยาบาลพญาไท 2
- โภชนาการแม่หลังคลอดระยะให้นมลูก, โรงพยาบาลนครธน
อ้างอิง ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2568