
ลูกเป็นลำไส้อักเสบกี่วันหาย? วิธีดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย
ลำไส้อักเสบในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายทางปาก โดยมักมาจากการที่เด็กเอามือหรือสิ่งของที่ไม่สะอาดเข้าปาก อาการที่พบได้คือ ลูกถ่ายบ่อย ท้องเสีย อาเจียน และอาจมีไข้ร่วมด้วย กรณีที่ทารกท้องเสียไม่รุนแรง สามารถดูแลอาการได้เองที่บ้าน หากอาการรุนแรง เช่น ลูกท้องเสียถ่ายมีมูกเลือด หรือมีภาวะขาดน้ำ ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สรุป
- ลำไส้อักเสบ คือ การอักเสบของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร และลำไส้บีบตัวเร็วขึ้น ส่งผลให้ปวดท้อง ท้องเสีย และอาเจียน
- ลูกเป็นลำไส้อักเสบกี่วันหาย? เด็กอาจมีอาการท้องเสียอยู่ประมาณ 3-7 วัน แต่หากอาการรุนแรง อาจใช้เวลานานถึง 10 วันจึงจะหายดี
- อาการที่ควรเฝ้าระวัง สัญญาณภาวะขาดน้ำ ได้แก่ เบ้าตาลึก ปากแห้ง น้ำลายน้อย ตัวซีด ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยผิดปกติ ง่วงซึม และตัวเย็น ควรรีบพาไปพบแพทย์
- การป้องกันลำไส้อักเสบในเด็กทำได้โดยรักษาความสะอาด เลือกอาหารที่สุกสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ และให้วัคซีนป้องกันเชื้อโรต้าไวรัสตามกำหนด
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- ลำไส้อักเสบคืออะไร?
- ลูกเป็นลำไส้อักเสบกี่วันหาย?
- วิธีสังเกตอาการลำไส้อักเสบในเด็ก
- วิธีดูแลลูกเมื่อเป็นลำไส้อักเสบ
- ลำไส้อักเสบ ห้ามกินอะไร?
- เด็กทารกท้องเสีย: ต้องดูแลอย่างไร?
- เมื่อลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ควรทำอย่างไร?
- การป้องกันลำไส้อักเสบในเด็ก
ลำไส้อักเสบคืออะไร?
ลำไส้อักเสบ คือ การอักเสบของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร และลำไส้บีบตัวเร็วขึ้น ส่งผลให้ปวดท้อง โรคนี้มักพบบ่อยในเด็กเล็ก สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส ประมาณ 50-60% ทำให้มีอาการท้องเสียและอาเจียนมากโดยเฉพาะในเด็กอายุ 2-5 ปี เด็กอาจถ่ายมากจนก้นแดงและอาเจียนมากจนอ่อนเพลียและกินนมได้น้อย นอกจากนี้ยังเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในอาหาร ประมาณ 30% หรือสาเหตุอื่น ๆ เช่น อาหารเป็นพิษ เป็นต้น
ลูกเป็นลำไส้อักเสบกี่วันหาย?
ลูกเป็นลำไส้อักเสบ จะเริ่มแสดงอาการหลังติดเชื้อ 1-2 วัน โดยเริ่มจากปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย ซึ่งอาการท้องเสียโดยทั่วไปจะอยู่ 3-7 วัน แต่หากอาการรุนแรง อาจใช้เวลานานถึง 10 วันจึงจะหายดี คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลอย่างใกล้ชิดให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย และจิบน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
วิธีสังเกตอาการลำไส้อักเสบในเด็ก
หลังจากลูกได้รับเชื้อที่ทำให้ลำไส้อักเสบ อาจแสดงอาการดังนี้
- อาการเริ่มต้น เมื่อได้รับเชื้อ จะทำให้ลูกอาเจียน ปวดท้อง และอาจมีไข้ร่วมด้วย
- อาการต่อมา ลูกจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ หรือมีมูกปน
- หากติดเชื้อไวรัส ลูกอาจมีอาการไอและมีน้ำมูกไหลร่วมด้วย
- ไม่อยากอาหาร เมื่อลูกอาเจียนและท้องเสีย อาจทำให้กินนม กินข้าว และดื่มน้ำได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากจนอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ภาวะขาดน้ำ อาการที่ควรเฝ้าระวัง สัญญาณภาวะขาดน้ำ ได้แก่ เบ้าตาลึก ปากแห้ง น้ำลายน้อย ตัวซีด ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยผิดปกติ ง่วงซึม และตัวเย็น
เช็กลิสต์ อาการที่ต้องรีบลูกพาไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
- มีไข้สูง ลูกดูไม่ร่าเริง ซึมลง
- อาเจียนซ้ำ ๆ ไม่หยุด ดูอ่อนเพลีย
- ดื่มน้ำนมน้อยลง หรือไม่ยอมดื่มน้ำ
- ตาโหล หรือกระหม่อมบุ๋ม
- ปัสสาวะออกน้อยลง ใน 6 ชั่วโมง
- ถ่ายเป็นมูกเลือด อุจจาระสีดำ มีเลือดหรือหนองปน
วิธีดูแลลูกเมื่อเป็นลำไส้อักเสบ
เมื่อลูกเป็นลำไส้อักเสบที่มีอาการไม่รุนแรง คุณแม่สามารถดูแลเบื้องต้นที่บ้าน ได้ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบน้ำบ่อย ๆ ทีละน้อย เพื่อช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น
- จิบน้ำเกลือแร่ แพทย์อาจแนะนำให้จิบน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
- ทานอาหารอ่อน เลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม
- แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อต่อวัน แทนการกินมื้อใหญ่ครั้งเดียว จะช่วยให้ลูกกินอาหารได้มากขึ้น และร่างกายยังได้รับพลังงานและสารอาหารครบถ้วน
- เด็กที่กินนมแม่ ให้คุณแม่ปั๊มนมส่วนหน้าทิ้งก่อน แล้วให้ลูกกินนมส่วนหลังแทน เพราะนมส่วนหน้ามีน้ำตาลแลคโตสสูง อาจทำให้ลูกยิ่งถ่ายมากขึ้น
- เด็กกินนมผง ควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมในช่วงลำไส้อักเสบ
- ไม่ซื้อยาให้ลูกเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ และใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะกับลำไส้อักเสบจากไวรัส เพราะยาปฏิชีวนะใช้สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
- ไม่ควรให้ยาหยุดถ่ายหรือยาแก้ท้องเสีย เพราะการอาเจียนและท้องเสียเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามกำจัดเชื้อโรค หากให้ยาหยุดถ่าย เชื้อโรคจะไม่ถูกกำจัดออกจากร่างกาย
ลำไส้อักเสบ ห้ามกินอะไร?
ลูกเป็นลำไส้อักเสบ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหาร หรือกระตุ้นลำไส้ให้อาการกำเริบขึ้นได้ ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์จากนม อาจทำให้ท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะเด็กที่แพ้น้ำตาลแลคโตส
- อาหารที่มีกากใยสูง ผักดิบ ผลไม้สด ผลไม้แห้ง เบอร์รี่ ข้าวโพด ธัญพืช เพราะทำให้เกิดแก๊ส กระตุ้นลำไส้ ทำให้อาการแย่ลง
- อาหารไขมันสูง ของทอด ของมัน ทำให้ท้องเสีย
- น้ำอัดลม โซดา ทำให้ท้องอืด ระคายเคืองทางเดินอาหาร อีกทั้งยังมีน้ำตาลและคาเฟอีน ทำให้อาการกำเริบ
- อาหารมีกำมะถัน เนื้อแดง ชีส ขนมปัง อัลมอนด์ ลูกเกด ลูกพรุน ผักตระกูลกะหล่ำ ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
- ของหมักดอง อาจทำให้ระคายเคืองระบบย่อยอาหาร
- อาหารเผ็ด ทำให้ท้องเสีย และอาการแย่ลงได้
เพื่อช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ ควรให้ลูกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย มีกากใยน้อย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ดังนี้
- อาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหมู โจ๊กไก่ ปลา และไข่
- ผลไม้ที่มีกากใยน้อย เช่น มะละกอ องุ่น แตงโม
- ผักปรุงสุก เช่น แตงกวา มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง
- ธัญพืชขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว ข้าวโอ๊ต ซีเรียล แป้งสาลี
- โปรตีนไขมันต่ำ เช่น อกไก่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ เต้าหู้
- อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาการอักเสบ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาจาระเม็ดขาว ปลาสำลี ปลากระพง ปลาช่อน ถั่ว อะโวคาโด และกล้วย
เด็กทารกท้องเสีย: ต้องดูแลอย่างไร?
เด็กทารกท้องเสียเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ติดเชื้อไวรัส เช่น โรต้าไวรัส อะดิโนไวรัส โนโรไวรัส และไข้หวัดใหญ่ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ หนาวสั่น และปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซาลโมเนลลา เชื้ออีโคไล ทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง ปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด อาเจียน และมีไข้
- ติดเชื้อที่หู เกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ทำให้ทารกท้องเสีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เป็นหวัด สังเกตได้จากการจับหรือดึงหูตนเองบ่อย ๆ
- ติดเชื้อปรสิต เชื้อปรสิตในลำไส้ ทำให้ทารกท้องเสีย ท้องอืด หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหาร
- ท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะ อาจเป็นได้ทั้งกรณีที่ทารกต้องใช้ยาหรือคุณแม่ใช้ยาในช่วงให้นมบุตร ทำให้ทารกท้องเสียจากยาหรือจากฤทธิ์ของยาที่ทำให้แบคทีเรียดีในลำไส้ถูกกำจัด หากสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา
- ดื่มน้ำผลไม้มากเกินไป โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูงหรือน้ำตาลซอร์บิทอล ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและท้องเสีย
- แพ้โปรตีนนมวัว ทารกอาจแพ้โปรตีนนมวัว ทำให้ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด อาเจียน หรือมีผื่นขึ้น
- แพ้อาหาร เช่น ไข่ ถั่ว ถั่วเหลือง ธัญพืช ปลา อาหารทะเล ทำให้ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ปวดท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร บางรายมีผื่นคัน หายใจลำบาก หรือแพ้อาหารแฝง เช่น น้ำตาลแลคโตส ทำให้ท้องเสีย ปวดท้อง ท้องอืด หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหารได้
- ได้รับสารพิษ สารเคมี จากพืช ยา หรือการนำของเล่นเข้าปาก ทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ หายใจไม่ออก ชัก หรือหมดสติได้
คุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการเด็กทารกท้องเสียได้ โดยดูแลด้วยวิธีต่อไปนี้
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนให้ลูกดื่มผงเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
- หากลูกไม่อาเจียน สามารถให้นมแม่ได้ตามปกติ
- หากลูกอาเจียนและดื่มนมไม่ได้ แพทย์อาจให้สารละลายอิเล็กโทรไลต์สำหรับทารก
- งดของหวาน เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือขนมหวานต่าง ๆ เพราะน้ำตาลอาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- เปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ เพื่อลดการอับชื้น ป้องกันผื่น และลดอาการก้นแดงจากการท้องเสีย
- กอดลูกอย่างอ่อนโยน อาการท้องเสียทำให้ทารกไม่สบายตัว การกอดช่วยให้ลูกร้องไห้งอแงน้อยลงได้
เมื่อลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว ควรทำอย่างไร?
โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อลูกเป็นไข้ถ่ายเหลว มักดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา ซึ่งคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยให้อาการดีขึ้นได้หลายวิธี เช่น
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการถ่ายเหลวและอาเจียน ป้องกันภาวะขาดน้ำ
- เช็ดตัวลดไข้ ในกรณีที่ลูกมีไข้ และรับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์
- รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น กล้วย ข้าวขาว ขนมปัง โจ๊ก ข้าวต้ม
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากอาจแพ้แลคโตสในนม ทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น
ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้สูงไม่ลด
- ท้องเสียรุนแรงหรือนานเกิน 3 วัน
- อุจจาระหรืออาเจียนมีเลือดปน
- ปวดท้องมาก
- สัญญาณขาดน้ำรุนแรง เช่น ปากแห้ง ผิวแห้ง อ่อนเพลียมาก หายใจเร็ว ปัสสาวะสีเข้ม เป็นต้น
การป้องกันลำไส้อักเสบในเด็ก
การป้องกันลำไส้อักเสบในเด็กทำได้โดยรักษาความสะอาด เลือกอาหารที่สุกสะอาด และให้วัคซีนป้องกันเชื้อโรต้าไวรัสตามกำหนด ดังนี้
- รักษาความสะอาดและสุขอนามัยพื้นฐาน
คุณพ่อคุณแม่ควรปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง ดูแลความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม น้ำแข็ง ห้องครัว และอุปกรณ์ทำอาหาร ให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ และทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- ให้วัคซีนโรต้า
วัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนชนิดหยอดเข้าทางปาก เพื่อป้องกันลำไส้อักเสบจากเชื้อโรต้าได้ โดยทารกจะได้รับวัคซีน 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของวัคซีนที่เลือกใช้ ช่วงอายุที่เหมาะสม ครั้งแรกควรได้รับก่อนอายุ 15 สัปดาห์ ครั้งสุดท้ายควรได้รับก่อนอายุ 8 เดือน
สำหรับวัคซีนชนิด 2 ครั้ง ควรให้เมื่อทารกอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน หากเป็นวัคซีนชนิด 3 ครั้ง ควรให้เมื่อทารกอายุ 2 เดือน, 4 เดือน และ 6 เดือน
- ให้ลูกทานนมแม่ เพียงอย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน
เพราะนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ วิตามิน แคลเซียม แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน รวมทั้งยังมีสารภูมิคุ้มกันและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลายชนิด
ลำไส้อักเสบในเด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากเกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้น การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกดีขึ้นและหายป่วยได้เร็วขึ้น
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่
- ลูกถ่ายไม่ออกร้องไห้ พร้อมวิธีดูแลลูกท้องผูก
- ลูกถ่ายวันละ 3-4 ครั้งปกติไหม ลูกถ่ายบ่อย อันตรายแค่ไหน
- ลูกท้องผูก ลูกไม่ถ่าย ทำไงดี พร้อมวิธีนวดท้องให้ทารกถ่าย
- ทารกอุจจาระมีมูก ลูกท้องเสียถ่ายมีมูกเลือด ปกติไหม แบบไหนที่ต้องระวัง
- ทารกท้องเสีย ทารกถ่ายเหลว อุจจาระทารกท้องเสีย อันตรายไหม
อ้างอิง:
- ลำไส้อักเสบ ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม, โรงพยาบาลเพชร
- ที่ลูกน้อยร้องไห้จ้า...อาจเป็นเพราะ 5 โรค ลำไส้ในเด็กเล็กนี้, โรงพยาบาลพญาไท
- มีโรคอะไรบ้างนะที่ต้องระวังเมื่อลูกน้อยปวดท้อง, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- ความรู้..เรื่องลำไส้อักเสบในเด็ก, โรงพยาบาลวิชัยเวช
- “ลำไส้อักเสบ” โรคที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแค่อาการท้องเสียธรรมดา, โรงพยาบาลนครธน
- ลำไส้อักเสบ กับอาหารที่ควรเลือกและควรเลี่ยง, pobpad
- รู้จัก “ลำไส้อักเสบ” อาการเบื้องต้นและวิธีรักษา, โรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา
- ลําไส้อักเสบ ห้ามกินอะไร และวิธีดูแลตัวเองที่เหมาะสม, helloคุณหมอ
- ทารกท้องเสีย พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร ?, pobpad
- ท้องเสียมีไข้อ่อน ๆ 6 สาเหตุและวิธีดูแลตัวเอง, pobpad
- ลูกเป็นลำไส้อักเสบ กี่วันหาย และรักษาได้อย่างไร, Helloคุณหมอ
- 4 อาการสำคัญของโรคท้องเสียในเด็กที่ต้องรีบมาพบแพทย์, โรงพยาบาลนครธน
- โรคท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะ, BDMS Heath Research Center
- ห่างไกลโรคอุจจาระร่วงในเด็กจากไวรัสโรต้า ด้วย “วัคซีนโรต้า”, โรงพยาบาลนครธน
อ้างอิง ณ วันที่ 6 เมษายน 2568 / 22 มิถุนายน 2568