ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำยังไงดี พร้อมวิธีช่วยให้ลูกดูดเต้าได้สำเร็จ

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำยังไงดี พร้อมวิธีช่วยให้ลูกดูดเต้าได้สำเร็จ

คุณแม่ให้นมบุตร
บทความ
ต.ค. 3, 2025
12นาที

การให้นมลูกในช่วง 6 เดือนแรกสำคัญอย่างมาก แต่คุณแม่มือใหม่อาจต้องเผชิญปัญหาหลายอย่าง เช่น ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ควรให้นมบ่อยแค่ไหน หรือจะรู้ได้ยังไงว่าลูกกินนมอิ่มแล้ว ? เราจะมาหาคำตอบและคลายความกังวลไปพร้อมกัน เพื่อให้คุณแม่มั่นใจในการให้นมลูกน้อยอย่างเต็มที่

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำยังไงดี พร้อมวิธีช่วยให้ลูกดูดเต้าได้สำเร็จ

คำถามที่พบบ่อย

การให้ลูกเข้าเต้า มีประโยชน์อย่างไร?

การให้ลูกน้อยเข้าเต้าตั้งแต่แรกคลอดมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่ทำให้ได้รับสารอาหาร แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันและกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยอีกด้วยค่ะ

  • กระตุ้นประสาทสัมผัส การเข้าเต้าช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกน้อยให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาการค้นหา (Rooting Reflex) ซึ่งช่วยในการหาหัวนมของคุณแม่ ทำให้ลูกหันหน้าเข้าหาเต้านมและพร้อมที่จะดูดนมได้เองตามธรรมชาติ
  • ได้รับน้ำนมเร็วขึ้น การให้ลูกได้ดูดนมแม่ทันทีหลังจากคลอดจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทารกแรกเกิด
  • สร้างความคุ้นเคย การให้ลูกได้เข้าเต้าและดูดนมด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม จะช่วยให้ลูกเรียนรู้และคุ้นเคยกับการดูดนมแม่ได้ดีกว่าการแยกจากกันในช่วงแรกหลังคลอดค่ะ

ถ้าลูกไม่ยอมเข้าเต้าเลย น้ำนมแม่จะหดหายไหม?

หากไม่มีการกระตุ้นจากทารกหรือการปั๊มนม ร่างกายจะผลิตน้ำนมน้อยลงและอาจหดหายไปได้ เพื่อรักษาระดับน้ำนมไว้ คุณแม่ควรปั๊มนมออกให้เกลี้ยงเต้าทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเลียนแบบความถี่ในการดูดของทารกตามปกติ จนกว่าจะสามารถพาลูกกลับมาเข้าเต้าได้สำเร็จ

ทารกแรกเกิดไม่ยอมเข้าเต้า ควรทำอย่างไรเป็นอันดับแรก?

เมื่อลูกแรกเกิดไม่ยอมเข้าเต้า ควรเริ่มต้นด้วยการทำ "Skin-to-skin" หรือการอุ้มลูกให้แนบเนื้อกับคุณแม่ เพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับกลิ่นตัวของคุณแม่และใกล้ชิดกับเต้านม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการให้นมได้ จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ประคองศีรษะลูก: ใช้มือข้างหนึ่งประคองที่ท้ายทอยและต้นคอของลูกเบา ๆ ให้ลูกเงยหน้าเล็กน้อย
  • เคลื่อนเข้าหาเต้า: ขยับลูกเข้ามาหาเต้านม โดยให้คางของลูกแตะชิดกับเต้านมส่วนล่าง และจมูกอยู่ตรงกับหัวนม
  • กระตุ้นให้ลูกอ้าปาก: หากลูกไม่อ้าปาก ให้ใช้หัวนมเขี่ยเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างเพื่อกระตุ้น
  • ให้ลูกเข้าเต้า: เมื่อลูกอ้าปากกว้างแล้ว ให้รีบนำหัวนมเข้าปากลูกโดยเร็ว
     

หากลองทำตามขั้นตอนแล้วยังไม่สำเร็จ ควรปรึกษาคลินิกนมแม่หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

สรุป

  • การเข้าเต้า เป็นการให้นมแม่โดยตรงจากเต้านมแม่ ที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยลูกน้อยจะใช้ปากแนบเข้ากับเต้านมและลานนมของคุณแม่เพื่อดูดนม
  • หลังจากคลอดสามารถให้นมลูกได้ทันที ให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นน้ำนม ยิ่งเข้าเต้าบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้ดีขึ้น
  • หลังการให้นมคุณแม่จะพบว่าเต้านมของคุณแม่ที่คัดตึงจะนิ่มลง นอกจากนี้คุณแม่ยังสามารถสังเกตจากจำนวนครั้งที่ลูกขับถ่ายเพื่อประเมินว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ โดยปกติแล้วถ้าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ จะปัสสาวะสีเหลืองใสวันละ 6-8 ครั้ง และอุจจาระวันละประมาณ 5-6 ครั้ง
  • เมื่อลูกได้รับน้ำนมแม่ไม่พอ อาจสังเกตได้จากอาการเหล่านี้ ได้แก่ น้ำหนักลดลง ปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวันปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม และมีตะกอนสีส้ม ถ้าลูกมีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมแม่เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องและเหมาะสม

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

การเข้าเต้าคืออะไร

การเข้าเต้า คือช่วงเวลาแสนพิเศษที่คุณแม่ได้ใกล้ชิดกับลูกน้อยมากที่สุด เป็นการให้นมแม่โดยตรงจากเต้านมแม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยลูกน้อยจะใช้ปากแนบเข้ากับเต้านมและลานนมของคุณแม่เพื่อดูดนม เมื่อลูกน้อยอมหัวนมและลานนมได้ถูกวิธี เหงือกของลูกจะอยู่บริเวณลานหัวนม ขณะที่ลิ้นจะอยู่ใต้ลานหัวนมซึ่งเป็นตำแหน่งของท่อน้ำนม (Lactiferous Sinus) เมื่อลูกกดลานหัวนมแนบกับเพดานปาก หัวนมจะไปกระตุ้น ปฏิกิริยาการดูด (Sucking Reflex) ทำให้ลูกน้อยเริ่มดูดนมออกมาได้เองตามธรรมชาติค่ะ

หลังจากคลอด คุณแม่สามารถให้นมลูกได้ทันที การให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่เป็นการส่งต่อสารอาหารและภูมิคุ้มกัน แต่ยังช่วยกระตุ้นน้ำนมอีกด้วย ยิ่งเข้าเต้าบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่น้ำนมมาน้อยค่ะ

 

ให้ลูกเข้าเต้าบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

คุณแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อยแค่ไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด คำแนะนำง่าย ๆ คือ ให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน เคล็ดลับสำคัญคือ ยิ่งลูกดูดนมจากเต้าบ่อยและสม่ำเสมอเท่าไหร่ ร่างกายของคุณแม่ก็จะยิ่งผลิตน้ำนมได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะการดูดของลูกน้อยจะไปกระตุ้นการสร้างน้ำนมตามธรรมชาติ

ทารกควรกินนมแม่ปริมาณเท่าไหร่ใน 1 วัน

อายุเด็ก

ปริมาณน้ำนม

จำนวน

1-2 วัน1 ช้อนชาหรือ 5 ซีซี8-10ครั้ง/วัน
3 วัน ถึง 1 เดือน1-1.5 ออนซ์8-10 ครั้ง/วัน
1 เดือน2-4 ออนซ์7-8 ครั้ง/วัน
2-6 เดือน4-6 ออนซ์5-6 ครั้ง/วัน
6-12 เดือน6-8 ออนซ์4-5 ครั้ง
1 ขวบขึ้นไป6-8 ออนซ์3-4 ครั้ง

 

ดังนั้น ในช่วงแรกที่น้ำนมยังไม่เยอะมาก การให้ลูกเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้น้ำนมมาเยอะขึ้นและเพียงพอสำหรับลูกน้อยค่ะ

 

คุณแม่อุ้มลูกน้อย

 

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า สาเหตุและการรับมือที่คุณแม่ควรรู้

เมื่อลูกน้อยไม่ยอมเข้าเต้า คุณแม่หลายท่านอาจกังวลใจ เพราะการให้นมลูกไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป บางครั้งสาเหตุอาจมาจากปัญหาทางร่างกายของคุณแม่เอง การทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รับมือได้อย่างมั่นใจและสบายใจยิ่งขึ้นค่ะ

1. ปัญหาหัวนมแตก

สาเหตุหลักของหัวนมแตกคือลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณหัวนมมาก จนบางครั้งอาจมีเลือดซึมออกมา เมื่อเจ็บมากก็จะทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้ลูกเข้าเต้าได้นานพอ

วิธีป้องกันและรับมือ

  • ให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธี: อุ้มลูกให้ชิดตัว โดยให้แก้ม จมูก และคางของลูกสัมผัสกับเต้านม เพื่อให้ลูกอมหัวนมและลานนมได้ลึกพอ
  • ไม่ดึงหัวนมออกจากปากลูกทันที: หากต้องการนำลูกออกจากเต้า ให้ใช้นิ้วค่อย ๆ สอดเข้ามุมปากลูกเบา ๆ เพื่อคลายแรงดูดก่อน แล้วจึงค่อยดึงหัวนมออก

 

2. ท่อน้ำนมอุดตัน

ท่อน้ำนมอุดตันจะทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก มีน้ำนมค้างอยู่ในเต้านม คุณแม่จะคลำพบก้อนแข็ง ๆ ที่เต้านม กดแล้วเจ็บ หรืออาจบวมแดงได้ นอกจากนี้บางครั้งอาจมีจุดสีขาวเล็ก ๆ ที่หัวนม ซึ่งเป็นสัญญาณของ "White Dot" หรือท่อน้ำนมที่อุดตัน

วิธีป้องกันและรับมือ

  • ประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่น: ประคบประมาณ 5-10 นาที ก่อนให้ลูกเข้าเต้า
  • ให้ลูกดูดจากเต้าที่อุดตันก่อน: ช่วงที่ลูกหิวจะมีแรงดูดมาก จะช่วยระบายน้ำนมที่อุดตันได้ดี
  • ให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น: ควรให้ลูกดูดนมวันละ 8-12 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที

 

3. เต้านมอักเสบ

เต้านมอักเสบมักเริ่มต้นจากการคัดตึงเต้านม คลำแล้วเจอก้อนแข็งและเจ็บปวด จากนั้นเต้านมจะเริ่มบวมแดงและมีอาการปวดกระจายไปทั่ว ทำให้คุณแม่ไม่สบายตัวและให้นมลูกได้ลำบาก

วิธีป้องกันและรับมือ

  • ป้องกันน้ำนมค้างเต้า: ให้ลูกดูดนมข้างละ 15-20 นาที อย่างสม่ำเสมอ วันละ 8-12 ครั้ง
  • ให้ลูกดูดจากเต้าที่มีปัญหาก่อน: แรงดูดของลูกขณะหิวจะช่วยให้น้ำนมในเต้าที่มีปัญหาระบายออกมาได้ดี
  • ปั๊มนมสลับกับให้ลูกดูด: ในช่วงที่เจ็บมาก อาจใช้วิธีปั๊มนมป้อนลูกแทนประมาณ 3-4 มื้อ เพื่อให้เต้านมได้พัก แล้วค่อยกลับมาให้ลูกเข้าเต้าเมื่อรู้สึกดีขึ้น

 

4. ปัญหาน้ำนมน้อย

ถึงแม้ร่างกายคุณแม่จะสามารถผลิตน้ำนมได้เพียงพอ แต่บางครั้งอาจเกิดปัญหาน้ำนมน้อยได้จากหลายปัจจัย เช่น ลูกดูดนมไม่ถูกวิธี หรือให้ลูกเข้าเต้าน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน ทำให้การกระตุ้นน้ำนมไม่เพียงพอ

วิธีป้องกันและรับมือ

  • ให้ลูกเข้าเต้าหลังคลอดทันที: ควรให้ลูกดูดนมเลยใน 30 นาทีแรก เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม
  • สอนให้ลูกเข้าเต้าอย่างถูกวิธี: ให้ลูกอมหัวนมได้ลึกพอ เพื่อให้มีแรงดูดที่เหมาะสม
  • เพิ่มความถี่ในการให้นม: ให้ลูกดูดนมนานขึ้นและบ่อยขึ้น โดยไม่ควรน้อยกว่าวันละ 8 ครั้ง
  • ปั๊มนมสม่ำเสมอ: หากคุณแม่ต้องออกไปทำงาน ควรปั๊มนมออกให้หมดเต้าทุก ๆ 3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้เพียงพอ

หากคุณแม่ได้ลองแก้ไขตามวิธีข้างต้นแล้ว แต่ลูกยังไม่ยอมเข้าเต้า ทำให้การให้นมแม่ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ แนะนำให้รีบไปปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกนมแม่ เพื่อขอคำแนะนำและรับการดูแลแก้ไขอย่างถูกต้องค่ะ

 

เคล็ดลับช่วยลูกเข้าเต้า เมื่อลูกน้อยไม่ยอมดูดนมแม่

การที่ลูกไม่ยอมเข้าเต้าอาจทำให้คุณแม่รู้สึกเหนื่อยใจ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ดู เพื่อให้ช่วงเวลาให้นมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขมากขึ้นค่ะ

1. ปลุกเจ้าตัวน้อยให้ตื่นมาดูดนม

หากลูกนอนหลับนานเกินไป ควรปลุกลูกขึ้นมาให้ดูดนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าลูกจะง่วงหรือยังดูดไม่ถนัดก็ตาม การกระตุ้นนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้สม่ำเสมอค่ะ

 

2. ชวนเล่นก่อนเริ่มให้นม

หากลูกงอแงและไม่ยอมเข้าเต้า ลองหาของเล่นที่ลูกชอบมาหลอกล่อ หรืออุ้มลูกแนบอกและโยกตัวเบา ๆ เพื่อให้ลูกสงบลง เมื่อลูกอารมณ์ดีแล้วค่อยลองให้ดูดนมอีกครั้ง หรือลองให้ลูกเข้าเต้าตอนที่ลูกเริ่มง่วงนอน อาจทำให้ยอมดูดนมได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

3. บีบน้ำนมเรียกน้ำย่อย

ก่อนให้นม ลองบีบน้ำนมออกมาสัก 2-3 หยดให้มีกลิ่นและรสชาติติดอยู่ที่หัวนม กลิ่นหอม ๆ ของนมแม่จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของลูกได้ดีค่ะ

 

4. สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ

การให้นมในที่ที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนจากทีวีหรือคนรอบข้าง จะช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการดูดนมมากขึ้น และไม่ถูกดึงความสนใจไปจากเต้านมของคุณแม่ค่ะ

 

5. ลองเปลี่ยนท่าให้นม

บางครั้งลูกอาจไม่ชอบท่าเดิม ๆ ลองเปลี่ยนท่าให้นมเป็นท่าใหม่ ๆ ดู เช่น ท่านอนตะแคง ท่าเอนหลัง หรือท่าอุ้มฟุตบอล การเปลี่ยนท่าจะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายขึ้นและยอมดูดนมได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

6. เช็กให้ชัวร์ว่าลูกดูดถูกวิธี

ให้แน่ใจว่าลูกอ้าปากกว้างพอที่จะงับหัวนมและลานนมจนมิด โดยที่ไม่มีเสียงดูดแจ๊บ ๆ (ซึ่งเป็นสัญญาณว่าลูกอมไม่ลึกพอ) หากลูกดูดถูกวิธีคุณแม่จะได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะค่ะ

 

7. หลีกเลี่ยงการใช้จุกหลอกเร็วเกินไป

ควรรออย่างน้อย 1 เดือนหลังจากคลอดเพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับการดูดเต้านมคุณแม่ก่อน การใช้จุกหลอกเร็วเกินไปอาจทำให้ลูกเกิดภาวะ “สับสนหัวนม” (Nipple Confusion) ซึ่งทำให้ลูกไม่ยอมดูดเต้าค่ะ

 

8. ล้างจมูกให้โล่งก่อนกินนม

หากลูกมีอาการคัดจมูก ควรล้างจมูกให้ลูกด้วยน้ำเกลือก่อน ด้วยวิธีที่ถูกต้องตามที่คุณหมอแนะนำ เพื่อให้น้ำมูกไหลออก ทำให้ลูกหายใจคล่องขึ้นและดูดนมได้อย่างสบายใจค่ะ

 

9. สังเกตกลิ่นกายและรสชาติของนม

หากลูกงอแงตอนให้นมทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลองสังเกตว่าคุณแม่ได้เปลี่ยนสบู่ น้ำหอม หรืออาหารที่รับประทานหรือไม่ เพราะกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ลูกไม่คุ้นเคยและไม่อยากดูดนมค่ะ

 

10. ทำตัวลูกให้แนบเนื้อคุณแม่

ลองวางตัวลูกให้สัมผัสกับผิวของคุณแม่แบบเนื้อแนบเนื้อ หรือที่เรียกว่า "Skin-to-Skin" จะช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้ลูกดูดเต้าได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

6 ท่าให้นมสุดปัง ช่วยให้ลูกน้อยเข้าเต้าได้ดีขึ้น

การให้นมลูกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคุณแม่มือใหม่ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะการจัดท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกน้อยเข้าเต้าได้ดี ดูดนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันคุณแม่จากอาการเจ็บเต้านมด้วยค่ะ ลองมาดู 6 ท่าฮิตที่เรานำมาฝากกันเลย

1. ท่าอุ้มนอนขวางบนตัก (Cradle Hold)

ท่านี้เป็นท่าพื้นฐานที่ง่ายที่สุดค่ะ เพียงแค่อุ้มลูกน้อยนอนขวางบนตัก ให้ศีรษะของลูกอยู่บนแขนของคุณแม่ โดยใช้ปลายแขนช้อนไปที่หลังและก้นของลูก จากนั้นตะแคงตัวลูกเข้าหาเต้านมให้หน้าอกลูกและคุณแม่ชิดกัน มืออีกข้างใช้ประคองเต้านมเพื่อให้ลูกเข้าเต้าได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

2. ท่านอนขวางบนตักแบบประยุกต์ (Modified/Cross Cradle Hold)

ท่านี้คล้ายกับท่าแรก แต่จะช่วยให้คุณแม่ควบคุมศีรษะของลูกได้ดีขึ้น โดยใช้มือด้านตรงข้ามกับเต้านมที่คุณจะให้ลูกดูด ช้อนบริเวณท้ายทอยและคอของลูกแทน จากนั้นใช้มืออีกข้างประคองเต้านมให้ลูกเข้าเต้า ท่านี้เหมาะสำหรับลูกที่ยังเล็กและต้องการการประคองที่ศีรษะเป็นพิเศษค่ะ

 

3. ท่าอุ้มลูกฟุตบอล (Clutch Hold/Football Hold)

ท่านี้อาจฟังดูแปลกแต่ทำง่ายมากค่ะ ให้นึกภาพเหมือนคุณกำลังอุ้มลูกฟุตบอลไว้ข้างลำตัว โดยวางหมอนหนา ๆ ไว้ด้านข้าง จัดตำแหน่งให้ลำตัวลูกอยู่ใต้แขนของคุณแม่ แล้วใช้มือประคองที่ท้ายทอยและคอของลูก ท่านี้จะช่วยให้คุณแม่เห็นปากของลูกได้ชัดเจน และควบคุมการเข้าเต้าได้ง่ายขึ้น

 

4. ท่านอนตะแคง (Side Lying Position)

ท่านี้เป็นท่าที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องการพักผ่อนไปพร้อม ๆ กับการให้นมลูก เพียงแค่นอนตะแคงเข้าหาลูกน้อย โดยจัดให้ศีรษะของคุณแม่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นเล็กน้อย วางลูกให้ปากตรงกับหัวนม มือด้านบนประคองเต้านมให้ลูกเข้าปาก เมื่อลูกดูดได้ดีแล้วก็สามารถขยับมือมาประคองต้นคอและหลังได้ค่ะ

 

5. ท่าเอนตัว (Laid-back Hold)

เป็นท่าที่อบอุ่นและช่วยให้ลูกดูดนมได้ดีตามธรรมชาติ คุณแม่แค่นอนเอนตัวสบาย ๆ แล้ววางลูกไว้บนหน้าอก ใช้มือโอบลูกไว้เบา ๆ จัดศีรษะของลูกให้เอียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันการหายใจติดขัด ท่านี้จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัยและดูดนมได้อย่างผ่อนคลายที่สุดค่ะ

 

6. ท่าตั้งตรง (Upright or Standing Baby)

คุณแม่อุ้มลูกน้อยตั้งตรง โดยให้ขาลูกคร่อมต้นขาของคุณแม่ ศีรษะและลำตัวของลูกเอนเล็กน้อย จากนั้นใช้มือประคองศีรษะและเต้านม ท่านี้จะช่วยให้ลูกกลืนน้ำนมได้ง่ายและสะดวกขึ้นค่ะ

การลองเปลี่ยนท่าให้นมลูกจะช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยได้ค้นพบท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง และทำให้ช่วงเวลาของการให้นมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขค่ะ

 

สังเกตอย่างไรว่าลูกน้อยกินนมแม่อิ่ม

คุณแม่มือใหม่อาจจะกังวลใจว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ไม่ต้องห่วงนะคะ เรามีวิธีสังเกตง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่คลายความกังวลและมั่นใจได้ว่าลูกน้อยอิ่มและมีความสุขค่ะ

  1. เต้านมของคุณแม่ ลองสังเกตเต้านมก่อนและหลังให้นมค่ะ หากเต้านมที่เคยรู้สึกคัดตึงนุ่มลงหลังให้นม แสดงว่าลูกน้อยดูดน้ำนมไปได้เป็นอย่างดี
  2. เสียงของลูกน้อย ขณะที่ลูกดูดนม ลองฟังเสียงกลืนน้ำนมเป็นจังหวะ และลูกควรจะดูดนมไม่น้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน
  3. อาการของลูก เมื่อลูกน้อยอิ่มแล้วจะแสดงอาการสงบ ผ่อนคลาย และดูมีความสุข อาจจะหลับพักผ่อนได้นานขึ้นหลังดูดนม
  4. ปัสสาวะและอุจจาระ หลังอายุ 3-4 วัน หากลูกได้รับนมเพียงพอ ปัสสาวะจะมีสีเหลืองใสประมาณ 6-8 ครั้งต่อวัน และอุจจาระประมาณ 5-6 ครั้งต่อวัน
  5. สุขภาพโดยรวม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตสุขภาพของลูกน้อยค่ะ หากลูกมีสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉง และมีผิวพรรณสดใส ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ค่ะ

การสังเกตสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รู้ว่าลูกน้อยได้รับนมอย่างพอเพียงแล้ว และทำให้คุณแม่มีความสุขไปกับช่วงเวลาสุดพิเศษของการให้นมลูกค่ะ

 

สัญญาณเตือน! เมื่อลูกน้อยได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ

คุณแม่หลายคนอาจกังวลใจว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ลองมาสังเกตสัญญาณเหล่านี้กันดูค่ะ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจและสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที

สัญญาณจากเต้านมของคุณแม่

  • หากหลังให้นมลูกแล้ว เต้านมของคุณแม่ยังคงคัดตึงหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าลูกน้อยอาจจะดูดนมไม่หมดเต้า อาจทำให้ได้รับน้ำนมไม่เพียงพอค่ะ

 

สัญญาณจากลูกน้อย

นอกจากนี้ คุณแม่สามารถสังเกตอาการของลูกน้อยได้ ดังนี้

 1.  น้ำหนักตัว:

  • น้ำหนักลดลงเกิน 7-10% จากน้ำหนักแรกเกิด
  • น้ำหนักยังคงลดลงต่อเนื่องหลังจากอายุ 3-5 วัน
  • น้ำหนักยังไม่กลับมาเท่ากับตอนแรกเกิดเมื่ออายุ 7-10 วัน

2.    การขับถ่าย:

  • อุจจาระ: หลังจากอายุ 4 วัน หากลูกยังคงถ่ายอุจจาระสีเขียวเข้ม (ขี้เทา) หรือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อวัน แสดงว่าลูกอาจได้รับนมไม่เพียงพอ
  • ปัสสาวะ: หากลูกปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวัน หรือมีปัสสาวะสีเหลืองเข้มและมีตะกอนสีส้ม ก็เป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังค่ะ

หากคุณแม่สังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้หลายข้อพร้อมกัน ควรปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมต่อไปนะคะ

 

อุ้มเรออย่างไรให้ลูกสบายท้องหลังดูดนม?

การอุ้มเรอเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรทำทันทีหลังจากให้ลูกน้อยดูดนมเสร็จในแต่ละครั้ง เพื่อไล่ลมที่ลูกกลืนเข้าไปขณะดูดนม และป้องกันไม่ให้ลูกแหวะนมออกมาค่ะ เรามี 2 ท่าอุ้มเรอที่ทำได้ง่าย ๆ มาแนะนำค่ะ

1. ท่าอุ้มพาดบ่า

ท่านี้เป็นท่าที่นิยมมากค่ะ เพียงแค่อุ้มลูกน้อยพาดบ่าโดยให้คางของลูกอยู่บริเวณบ่าของคุณแม่ จากนั้นใช้ฝ่ามือลูบหลังลูกขึ้นไปเบา ๆ จนกว่าจะได้ยินเสียงเรอ ท่านี้จะช่วยให้ลมในท้องลูกถูกดันออกมาได้ง่ายขึ้นค่ะ

2. ท่าอุ้มลูกนั่งบนตัก

สำหรับคุณแม่ที่อยากเปลี่ยนท่า ลองให้ลูกนั่งบนตักดูค่ะ โน้มตัวลูกไปด้านหน้าเล็กน้อย ใช้มือข้างหนึ่งประคองคางลูกไว้เบา ๆ เพื่อพยุงศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างลูบหลังลูกเบา ๆ เป็นจังหวะ ท่านี้ก็ช่วยให้ลูกเรอได้อย่างสบายตัวเช่นกันค่ะ

ไม่ว่าคุณแม่จะเลือกท่าไหน สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างอ่อนโยนและสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิดนะคะ

 

ปัญหาลูกไม่ยอมเข้าเต้า

คุณแม่หลายท่านอาจกำลังเผชิญปัญหาลูกไม่ยอมเข้าเต้าและต้องการคำปรึกษาที่เข้าใจง่าย เราพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดที่จะช่วยตอบทุกข้อสงสัยและเป็นกำลังใจให้คุณแม่ผ่านช่วงเวลาสำคัญนี้ไปได้อย่างมั่นใจและมีความสุขค่ะ

ทำไมต้องกำหนดเวลาให้ลูกเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอ?

การกำหนดเวลาให้ลูกน้อยเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้อย่างเพียงพอค่ะ โดยธรรมชาติแล้ว ยิ่งลูกดูดนมจากเต้าบ่อยเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งได้รับสัญญาณให้ผลิตน้ำนมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่จึงควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน และให้ลูกดูดนมจนหมดในแต่ละครั้ง เพื่อให้ปริมาณน้ำนมมีเพียงพอสำหรับลูกน้อยอยู่เสมอค่ะ

 

สังเกตอย่างไรเมื่อลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง

การให้ลูกเข้าเต้าอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมอย่างเต็มที่และคุณแม่ไม่เจ็บเต้านมค่ะ คุณแม่สามารถสังเกตได้จากสิ่งเหล่านี้

  • ท่าทางการอุ้ม: คุณแม่ควรตะแคงตัวลูกเข้าหาตัวให้กระชับ โดยให้ศีรษะและลำตัวของลูกอยู่ในแนวเดียวกัน
  • การงับเต้า: ลูกจะอ้าปากกว้างเพื่องับหัวนมและลานนมให้ลึก เหงือกของลูกจะกดลงบนลานนมที่มีกระเปาะน้ำนม และลิ้นจะอยู่ใต้ลานนมเพื่อรีดน้ำนมออกมา
  • ลักษณะการดูด: ริมฝีปากของลูกจะไม่เม้มเข้าด้านใน ขณะที่ลูกดูดนมจะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และจะมีเสียงกลืนน้ำนมเบา ๆ เป็นระยะ ๆ

หากคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีอาการเหล่านี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าลูกน้อยกำลังดูดนมอย่างถูกต้องและได้รับน้ำนมอย่างเต็มที่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่สามารถผลิตน้ำนมได้เพียงพอกับความต้องการของลูกน้อย ซึ่งในระหว่างที่คุณแม่พาลูกเข้าเต้าควรจัดท่าให้นมลูกน้อยให้ถูกวิธีเพื่อลดความเจ็บปวดเต้านมของคุณแม่และยังช่วยให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย เพราะในนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ทั้งดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และยังมีสารภูมิคุ้มกันและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลายชนิดอย่าง บี แล็กทิส (B. lactis) ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับทารกอีกด้วย

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

อ้างอิง:

  1. What Is Breastfeeding?, Medifem Hospital
  2. Breastfeeding, Cleveland Clinic
  3. ข้อควรรู้เกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติ, โรงพยาบาลสมิติเวช
  4. คู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลสมิติเวช
  5. ลูกกินนมแบบไหนเรียก Over breastfeeding, โรงพยาบาลสมิติเวช
  6. ปัญหาและวิธีแก้ กับเรื่อง “นมแม่” ที่ต้องอ่าน, โรงพยาบาลสมิติเวช
  7. การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (Breastfeeding), คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  8. วิธีให้ลูกดูดเต้า ช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ ทำได้อย่างไรบ้าง, helloคุณหมอ
  9. เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต
  10. การให้นมแม่แก่ลูกน้อย, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
  11. ท่าในการให้นมแม่ที่ถูกต้องและการอุ้มเรอ, โรงพยาบาลแมคคอร์มิค
  12. 8 วิธีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  13. ลูกได้น้ำนมแม่เพียงพอหรือไม่, โรงพยาบาลรามาธิบดี
  14. ประโยชน์ ของการให้ทารกเข้าเต้า และการอบกรอบแบบแนบเนื้อ, โรงพยาบาลธนบุรี
  15. ห้องนมแม่ ตอน น้ำนมแม่กู้คืนได้ แม้หยุดให้ เพราะโควิด, มูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย
  16. เข้าเต้าอย่างไร ให้ถูกวิธี ไม่เจ็บหัวนม, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
    ชธานี

 

อ้างอิง ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2568