
ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ทำยังไงดี พร้อมวิธีช่วยให้ลูกดูดเต้าได้สำเร็จ
คำถามที่พบบ่อย
การให้ลูกเข้าเต้า มีประโยชน์อย่างไร?
การให้ลูกน้อยเข้าเต้าตั้งแต่แรกคลอดมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่ทำให้ได้รับสารอาหาร แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันและกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยอีกด้วยค่ะ
- กระตุ้นประสาทสัมผัส การเข้าเต้าช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกน้อยให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาการค้นหา (Rooting Reflex) ซึ่งช่วยในการหาหัวนมของคุณแม่ ทำให้ลูกหันหน้าเข้าหาเต้านมและพร้อมที่จะดูดนมได้เองตามธรรมชาติ
- ได้รับน้ำนมเร็วขึ้น การให้ลูกได้ดูดนมแม่ทันทีหลังจากคลอดจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทารกแรกเกิด
- สร้างความคุ้นเคย การให้ลูกได้เข้าเต้าและดูดนมด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม จะช่วยให้ลูกเรียนรู้และคุ้นเคยกับการดูดนมแม่ได้ดีกว่าการแยกจากกันในช่วงแรกหลังคลอดค่ะ
ถ้าลูกไม่ยอมเข้าเต้าเลย น้ำนมแม่จะหดหายไหม?
หากไม่มีการกระตุ้นจากทารกหรือการปั๊มนม ร่างกายจะผลิตน้ำนมน้อยลงและอาจหดหายไปได้ เพื่อรักษาระดับน้ำนมไว้ คุณแม่ควรปั๊มนมออกให้เกลี้ยงเต้าทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเลียนแบบความถี่ในการดูดของทารกตามปกติ จนกว่าจะสามารถพาลูกกลับมาเข้าเต้าได้สำเร็จ
ทารกแรกเกิดไม่ยอมเข้าเต้า ควรทำอย่างไรเป็นอันดับแรก?
เมื่อลูกแรกเกิดไม่ยอมเข้าเต้า ควรเริ่มต้นด้วยการทำ "Skin-to-skin" หรือการอุ้มลูกให้แนบเนื้อกับคุณแม่ เพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับกลิ่นตัวของคุณแม่และใกล้ชิดกับเต้านม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการให้นมได้ จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
- ประคองศีรษะลูก: ใช้มือข้างหนึ่งประคองที่ท้ายทอยและต้นคอของลูกเบา ๆ ให้ลูกเงยหน้าเล็กน้อย
- เคลื่อนเข้าหาเต้า: ขยับลูกเข้ามาหาเต้านม โดยให้คางของลูกแตะชิดกับเต้านมส่วนล่าง และจมูกอยู่ตรงกับหัวนม
- กระตุ้นให้ลูกอ้าปาก: หากลูกไม่อ้าปาก ให้ใช้หัวนมเขี่ยเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างเพื่อกระตุ้น
- ให้ลูกเข้าเต้า: เมื่อลูกอ้าปากกว้างแล้ว ให้รีบนำหัวนมเข้าปากลูกโดยเร็ว
หากลองทำตามขั้นตอนแล้วยังไม่สำเร็จ ควรปรึกษาคลินิกนมแม่หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
สรุป
- การเข้าเต้า เป็นการให้นมแม่โดยตรงจากเต้านมแม่ ที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยลูกน้อยจะใช้ปากแนบเข้ากับเต้านมและลานนมของคุณแม่เพื่อดูดนม
- หลังจากคลอดสามารถให้นมลูกได้ทันที ให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นน้ำนม ยิ่งเข้าเต้าบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้ดีขึ้น
- หลังการให้นมคุณแม่จะพบว่าเต้านมของคุณแม่ที่คัดตึงจะนิ่มลง นอกจากนี้คุณแม่ยังสามารถสังเกตจากจำนวนครั้งที่ลูกขับถ่ายเพื่อประเมินว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ โดยปกติแล้วถ้าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ จะปัสสาวะสีเหลืองใสวันละ 6-8 ครั้ง และอุจจาระวันละประมาณ 5-6 ครั้ง
- เมื่อลูกได้รับน้ำนมแม่ไม่พอ อาจสังเกตได้จากอาการเหล่านี้ ได้แก่ น้ำหนักลดลง ปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวันปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม และมีตะกอนสีส้ม ถ้าลูกมีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมแม่เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องและเหมาะสม
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- การเข้าเต้าคืออะไร
- ให้ลูกเข้าเต้าบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?
- ลูกไม่ยอมเข้าเต้า สาเหตุและการรับมือที่คุณแม่ควรรู้
- เคล็ดลับช่วยลูกเข้าเต้า เมื่อลูกน้อยไม่ยอมดูดนมแม่
- 6 ท่าให้นมสุดปัง ช่วยให้ลูกน้อยเข้าเต้าได้ดีขึ้น
- สังเกตอย่างไรว่าลูกน้อยกินนมแม่อิ่ม
- สัญญาณเตือน! เมื่อลูกน้อยได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ
- อุ้มเรออย่างไรให้ลูกสบายท้องหลังดูดนม?
- ปัญหาลูกไม่ยอมเข้าเต้า
การเข้าเต้าคืออะไร
การเข้าเต้า คือช่วงเวลาแสนพิเศษที่คุณแม่ได้ใกล้ชิดกับลูกน้อยมากที่สุด เป็นการให้นมแม่โดยตรงจากเต้านมแม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยลูกน้อยจะใช้ปากแนบเข้ากับเต้านมและลานนมของคุณแม่เพื่อดูดนม เมื่อลูกน้อยอมหัวนมและลานนมได้ถูกวิธี เหงือกของลูกจะอยู่บริเวณลานหัวนม ขณะที่ลิ้นจะอยู่ใต้ลานหัวนมซึ่งเป็นตำแหน่งของท่อน้ำนม (Lactiferous Sinus) เมื่อลูกกดลานหัวนมแนบกับเพดานปาก หัวนมจะไปกระตุ้น ปฏิกิริยาการดูด (Sucking Reflex) ทำให้ลูกน้อยเริ่มดูดนมออกมาได้เองตามธรรมชาติค่ะ
หลังจากคลอด คุณแม่สามารถให้นมลูกได้ทันที การให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่เป็นการส่งต่อสารอาหารและภูมิคุ้มกัน แต่ยังช่วยกระตุ้นน้ำนมอีกด้วย ยิ่งเข้าเต้าบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่น้ำนมมาน้อยค่ะ
ให้ลูกเข้าเต้าบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?
คุณแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อยแค่ไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด คำแนะนำง่าย ๆ คือ ให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน เคล็ดลับสำคัญคือ ยิ่งลูกดูดนมจากเต้าบ่อยและสม่ำเสมอเท่าไหร่ ร่างกายของคุณแม่ก็จะยิ่งผลิตน้ำนมได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะการดูดของลูกน้อยจะไปกระตุ้นการสร้างน้ำนมตามธรรมชาติ
ทารกควรกินนมแม่ปริมาณเท่าไหร่ใน 1 วัน
อายุเด็ก | ปริมาณน้ำนม | จำนวน |
1-2 วัน | 1 ช้อนชาหรือ 5 ซีซี | 8-10ครั้ง/วัน |
3 วัน ถึง 1 เดือน | 1-1.5 ออนซ์ | 8-10 ครั้ง/วัน |
1 เดือน | 2-4 ออนซ์ | 7-8 ครั้ง/วัน |
2-6 เดือน | 4-6 ออนซ์ | 5-6 ครั้ง/วัน |
6-12 เดือน | 6-8 ออนซ์ | 4-5 ครั้ง |
1 ขวบขึ้นไป | 6-8 ออนซ์ | 3-4 ครั้ง |
ดังนั้น ในช่วงแรกที่น้ำนมยังไม่เยอะมาก การให้ลูกเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้น้ำนมมาเยอะขึ้นและเพียงพอสำหรับลูกน้อยค่ะ

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า สาเหตุและการรับมือที่คุณแม่ควรรู้
เมื่อลูกน้อยไม่ยอมเข้าเต้า คุณแม่หลายท่านอาจกังวลใจ เพราะการให้นมลูกไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป บางครั้งสาเหตุอาจมาจากปัญหาทางร่างกายของคุณแม่เอง การทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รับมือได้อย่างมั่นใจและสบายใจยิ่งขึ้นค่ะ
1. ปัญหาหัวนมแตก
สาเหตุหลักของหัวนมแตกคือลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณหัวนมมาก จนบางครั้งอาจมีเลือดซึมออกมา เมื่อเจ็บมากก็จะทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้ลูกเข้าเต้าได้นานพอ
วิธีป้องกันและรับมือ
- ให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธี: อุ้มลูกให้ชิดตัว โดยให้แก้ม จมูก และคางของลูกสัมผัสกับเต้านม เพื่อให้ลูกอมหัวนมและลานนมได้ลึกพอ
- ไม่ดึงหัวนมออกจากปากลูกทันที: หากต้องการนำลูกออกจากเต้า ให้ใช้นิ้วค่อย ๆ สอดเข้ามุมปากลูกเบา ๆ เพื่อคลายแรงดูดก่อน แล้วจึงค่อยดึงหัวนมออก
2. ท่อน้ำนมอุดตัน
ท่อน้ำนมอุดตันจะทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก มีน้ำนมค้างอยู่ในเต้านม คุณแม่จะคลำพบก้อนแข็ง ๆ ที่เต้านม กดแล้วเจ็บ หรืออาจบวมแดงได้ นอกจากนี้บางครั้งอาจมีจุดสีขาวเล็ก ๆ ที่หัวนม ซึ่งเป็นสัญญาณของ "White Dot" หรือท่อน้ำนมที่อุดตัน
วิธีป้องกันและรับมือ
- ประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่น: ประคบประมาณ 5-10 นาที ก่อนให้ลูกเข้าเต้า
- ให้ลูกดูดจากเต้าที่อุดตันก่อน: ช่วงที่ลูกหิวจะมีแรงดูดมาก จะช่วยระบายน้ำนมที่อุดตันได้ดี
- ให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น: ควรให้ลูกดูดนมวันละ 8-12 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที
3. เต้านมอักเสบ
เต้านมอักเสบมักเริ่มต้นจากการคัดตึงเต้านม คลำแล้วเจอก้อนแข็งและเจ็บปวด จากนั้นเต้านมจะเริ่มบวมแดงและมีอาการปวดกระจายไปทั่ว ทำให้คุณแม่ไม่สบายตัวและให้นมลูกได้ลำบาก
วิธีป้องกันและรับมือ
- ป้องกันน้ำนมค้างเต้า: ให้ลูกดูดนมข้างละ 15-20 นาที อย่างสม่ำเสมอ วันละ 8-12 ครั้ง
- ให้ลูกดูดจากเต้าที่มีปัญหาก่อน: แรงดูดของลูกขณะหิวจะช่วยให้น้ำนมในเต้าที่มีปัญหาระบายออกมาได้ดี
- ปั๊มนมสลับกับให้ลูกดูด: ในช่วงที่เจ็บมาก อาจใช้วิธีปั๊มนมป้อนลูกแทนประมาณ 3-4 มื้อ เพื่อให้เต้านมได้พัก แล้วค่อยกลับมาให้ลูกเข้าเต้าเมื่อรู้สึกดีขึ้น
4. ปัญหาน้ำนมน้อย
ถึงแม้ร่างกายคุณแม่จะสามารถผลิตน้ำนมได้เพียงพอ แต่บางครั้งอาจเกิดปัญหาน้ำนมน้อยได้จากหลายปัจจัย เช่น ลูกดูดนมไม่ถูกวิธี หรือให้ลูกเข้าเต้าน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน ทำให้การกระตุ้นน้ำนมไม่เพียงพอ
วิธีป้องกันและรับมือ
- ให้ลูกเข้าเต้าหลังคลอดทันที: ควรให้ลูกดูดนมเลยใน 30 นาทีแรก เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม
- สอนให้ลูกเข้าเต้าอย่างถูกวิธี: ให้ลูกอมหัวนมได้ลึกพอ เพื่อให้มีแรงดูดที่เหมาะสม
- เพิ่มความถี่ในการให้นม: ให้ลูกดูดนมนานขึ้นและบ่อยขึ้น โดยไม่ควรน้อยกว่าวันละ 8 ครั้ง
- ปั๊มนมสม่ำเสมอ: หากคุณแม่ต้องออกไปทำงาน ควรปั๊มนมออกให้หมดเต้าทุก ๆ 3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้เพียงพอ
หากคุณแม่ได้ลองแก้ไขตามวิธีข้างต้นแล้ว แต่ลูกยังไม่ยอมเข้าเต้า ทำให้การให้นมแม่ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ แนะนำให้รีบไปปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกนมแม่ เพื่อขอคำแนะนำและรับการดูแลแก้ไขอย่างถูกต้องค่ะ
เคล็ดลับช่วยลูกเข้าเต้า เมื่อลูกน้อยไม่ยอมดูดนมแม่
การที่ลูกไม่ยอมเข้าเต้าอาจทำให้คุณแม่รู้สึกเหนื่อยใจ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ดู เพื่อให้ช่วงเวลาให้นมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขมากขึ้นค่ะ
1. ปลุกเจ้าตัวน้อยให้ตื่นมาดูดนม
หากลูกนอนหลับนานเกินไป ควรปลุกลูกขึ้นมาให้ดูดนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าลูกจะง่วงหรือยังดูดไม่ถนัดก็ตาม การกระตุ้นนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้สม่ำเสมอค่ะ
2. ชวนเล่นก่อนเริ่มให้นม
หากลูกงอแงและไม่ยอมเข้าเต้า ลองหาของเล่นที่ลูกชอบมาหลอกล่อ หรืออุ้มลูกแนบอกและโยกตัวเบา ๆ เพื่อให้ลูกสงบลง เมื่อลูกอารมณ์ดีแล้วค่อยลองให้ดูดนมอีกครั้ง หรือลองให้ลูกเข้าเต้าตอนที่ลูกเริ่มง่วงนอน อาจทำให้ยอมดูดนมได้ง่ายขึ้นค่ะ
3. บีบน้ำนมเรียกน้ำย่อย
ก่อนให้นม ลองบีบน้ำนมออกมาสัก 2-3 หยดให้มีกลิ่นและรสชาติติดอยู่ที่หัวนม กลิ่นหอม ๆ ของนมแม่จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของลูกได้ดีค่ะ
4. สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ
การให้นมในที่ที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนจากทีวีหรือคนรอบข้าง จะช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการดูดนมมากขึ้น และไม่ถูกดึงความสนใจไปจากเต้านมของคุณแม่ค่ะ
5. ลองเปลี่ยนท่าให้นม
บางครั้งลูกอาจไม่ชอบท่าเดิม ๆ ลองเปลี่ยนท่าให้นมเป็นท่าใหม่ ๆ ดู เช่น ท่านอนตะแคง ท่าเอนหลัง หรือท่าอุ้มฟุตบอล การเปลี่ยนท่าจะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายขึ้นและยอมดูดนมได้ง่ายขึ้นค่ะ
6. เช็กให้ชัวร์ว่าลูกดูดถูกวิธี
ให้แน่ใจว่าลูกอ้าปากกว้างพอที่จะงับหัวนมและลานนมจนมิด โดยที่ไม่มีเสียงดูดแจ๊บ ๆ (ซึ่งเป็นสัญญาณว่าลูกอมไม่ลึกพอ) หากลูกดูดถูกวิธีคุณแม่จะได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะค่ะ
7. หลีกเลี่ยงการใช้จุกหลอกเร็วเกินไป
ควรรออย่างน้อย 1 เดือนหลังจากคลอดเพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับการดูดเต้านมคุณแม่ก่อน การใช้จุกหลอกเร็วเกินไปอาจทำให้ลูกเกิดภาวะ “สับสนหัวนม” (Nipple Confusion) ซึ่งทำให้ลูกไม่ยอมดูดเต้าค่ะ
8. ล้างจมูกให้โล่งก่อนกินนม
หากลูกมีอาการคัดจมูก ควรล้างจมูกให้ลูกด้วยน้ำเกลือก่อน ด้วยวิธีที่ถูกต้องตามที่คุณหมอแนะนำ เพื่อให้น้ำมูกไหลออก ทำให้ลูกหายใจคล่องขึ้นและดูดนมได้อย่างสบายใจค่ะ
9. สังเกตกลิ่นกายและรสชาติของนม
หากลูกงอแงตอนให้นมทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลองสังเกตว่าคุณแม่ได้เปลี่ยนสบู่ น้ำหอม หรืออาหารที่รับประทานหรือไม่ เพราะกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ลูกไม่คุ้นเคยและไม่อยากดูดนมค่ะ
10. ทำตัวลูกให้แนบเนื้อคุณแม่
ลองวางตัวลูกให้สัมผัสกับผิวของคุณแม่แบบเนื้อแนบเนื้อ หรือที่เรียกว่า "Skin-to-Skin" จะช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้ลูกดูดเต้าได้ง่ายขึ้นค่ะ
6 ท่าให้นมสุดปัง ช่วยให้ลูกน้อยเข้าเต้าได้ดีขึ้น
การให้นมลูกอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคุณแม่มือใหม่ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะการจัดท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกน้อยเข้าเต้าได้ดี ดูดนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันคุณแม่จากอาการเจ็บเต้านมด้วยค่ะ ลองมาดู 6 ท่าฮิตที่เรานำมาฝากกันเลย
1. ท่าอุ้มนอนขวางบนตัก (Cradle Hold)
ท่านี้เป็นท่าพื้นฐานที่ง่ายที่สุดค่ะ เพียงแค่อุ้มลูกน้อยนอนขวางบนตัก ให้ศีรษะของลูกอยู่บนแขนของคุณแม่ โดยใช้ปลายแขนช้อนไปที่หลังและก้นของลูก จากนั้นตะแคงตัวลูกเข้าหาเต้านมให้หน้าอกลูกและคุณแม่ชิดกัน มืออีกข้างใช้ประคองเต้านมเพื่อให้ลูกเข้าเต้าได้ง่ายขึ้นค่ะ
2. ท่านอนขวางบนตักแบบประยุกต์ (Modified/Cross Cradle Hold)
ท่านี้คล้ายกับท่าแรก แต่จะช่วยให้คุณแม่ควบคุมศีรษะของลูกได้ดีขึ้น โดยใช้มือด้านตรงข้ามกับเต้านมที่คุณจะให้ลูกดูด ช้อนบริเวณท้ายทอยและคอของลูกแทน จากนั้นใช้มืออีกข้างประคองเต้านมให้ลูกเข้าเต้า ท่านี้เหมาะสำหรับลูกที่ยังเล็กและต้องการการประคองที่ศีรษะเป็นพิเศษค่ะ
3. ท่าอุ้มลูกฟุตบอล (Clutch Hold/Football Hold)
ท่านี้อาจฟังดูแปลกแต่ทำง่ายมากค่ะ ให้นึกภาพเหมือนคุณกำลังอุ้มลูกฟุตบอลไว้ข้างลำตัว โดยวางหมอนหนา ๆ ไว้ด้านข้าง จัดตำแหน่งให้ลำตัวลูกอยู่ใต้แขนของคุณแม่ แล้วใช้มือประคองที่ท้ายทอยและคอของลูก ท่านี้จะช่วยให้คุณแม่เห็นปากของลูกได้ชัดเจน และควบคุมการเข้าเต้าได้ง่ายขึ้น
4. ท่านอนตะแคง (Side Lying Position)
ท่านี้เป็นท่าที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องการพักผ่อนไปพร้อม ๆ กับการให้นมลูก เพียงแค่นอนตะแคงเข้าหาลูกน้อย โดยจัดให้ศีรษะของคุณแม่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นเล็กน้อย วางลูกให้ปากตรงกับหัวนม มือด้านบนประคองเต้านมให้ลูกเข้าปาก เมื่อลูกดูดได้ดีแล้วก็สามารถขยับมือมาประคองต้นคอและหลังได้ค่ะ
5. ท่าเอนตัว (Laid-back Hold)
เป็นท่าที่อบอุ่นและช่วยให้ลูกดูดนมได้ดีตามธรรมชาติ คุณแม่แค่นอนเอนตัวสบาย ๆ แล้ววางลูกไว้บนหน้าอก ใช้มือโอบลูกไว้เบา ๆ จัดศีรษะของลูกให้เอียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันการหายใจติดขัด ท่านี้จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัยและดูดนมได้อย่างผ่อนคลายที่สุดค่ะ
6. ท่าตั้งตรง (Upright or Standing Baby)
คุณแม่อุ้มลูกน้อยตั้งตรง โดยให้ขาลูกคร่อมต้นขาของคุณแม่ ศีรษะและลำตัวของลูกเอนเล็กน้อย จากนั้นใช้มือประคองศีรษะและเต้านม ท่านี้จะช่วยให้ลูกกลืนน้ำนมได้ง่ายและสะดวกขึ้นค่ะ
การลองเปลี่ยนท่าให้นมลูกจะช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยได้ค้นพบท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง และทำให้ช่วงเวลาของการให้นมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขค่ะ
สังเกตอย่างไรว่าลูกน้อยกินนมแม่อิ่ม
คุณแม่มือใหม่อาจจะกังวลใจว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ไม่ต้องห่วงนะคะ เรามีวิธีสังเกตง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่คลายความกังวลและมั่นใจได้ว่าลูกน้อยอิ่มและมีความสุขค่ะ
- เต้านมของคุณแม่ ลองสังเกตเต้านมก่อนและหลังให้นมค่ะ หากเต้านมที่เคยรู้สึกคัดตึงนุ่มลงหลังให้นม แสดงว่าลูกน้อยดูดน้ำนมไปได้เป็นอย่างดี
- เสียงของลูกน้อย ขณะที่ลูกดูดนม ลองฟังเสียงกลืนน้ำนมเป็นจังหวะ และลูกควรจะดูดนมไม่น้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน
- อาการของลูก เมื่อลูกน้อยอิ่มแล้วจะแสดงอาการสงบ ผ่อนคลาย และดูมีความสุข อาจจะหลับพักผ่อนได้นานขึ้นหลังดูดนม
- ปัสสาวะและอุจจาระ หลังอายุ 3-4 วัน หากลูกได้รับนมเพียงพอ ปัสสาวะจะมีสีเหลืองใสประมาณ 6-8 ครั้งต่อวัน และอุจจาระประมาณ 5-6 ครั้งต่อวัน
- สุขภาพโดยรวม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตสุขภาพของลูกน้อยค่ะ หากลูกมีสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉง และมีผิวพรรณสดใส ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ค่ะ
การสังเกตสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่รู้ว่าลูกน้อยได้รับนมอย่างพอเพียงแล้ว และทำให้คุณแม่มีความสุขไปกับช่วงเวลาสุดพิเศษของการให้นมลูกค่ะ
สัญญาณเตือน! เมื่อลูกน้อยได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ
คุณแม่หลายคนอาจกังวลใจว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ลองมาสังเกตสัญญาณเหล่านี้กันดูค่ะ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจและสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที
สัญญาณจากเต้านมของคุณแม่
- หากหลังให้นมลูกแล้ว เต้านมของคุณแม่ยังคงคัดตึงหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าลูกน้อยอาจจะดูดนมไม่หมดเต้า อาจทำให้ได้รับน้ำนมไม่เพียงพอค่ะ
สัญญาณจากลูกน้อย
นอกจากนี้ คุณแม่สามารถสังเกตอาการของลูกน้อยได้ ดังนี้
1. น้ำหนักตัว:
- น้ำหนักลดลงเกิน 7-10% จากน้ำหนักแรกเกิด
- น้ำหนักยังคงลดลงต่อเนื่องหลังจากอายุ 3-5 วัน
- น้ำหนักยังไม่กลับมาเท่ากับตอนแรกเกิดเมื่ออายุ 7-10 วัน
2. การขับถ่าย:
- อุจจาระ: หลังจากอายุ 4 วัน หากลูกยังคงถ่ายอุจจาระสีเขียวเข้ม (ขี้เทา) หรือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อวัน แสดงว่าลูกอาจได้รับนมไม่เพียงพอ
- ปัสสาวะ: หากลูกปัสสาวะน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวัน หรือมีปัสสาวะสีเหลืองเข้มและมีตะกอนสีส้ม ก็เป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังค่ะ
หากคุณแม่สังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้หลายข้อพร้อมกัน ควรปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมต่อไปนะคะ
อุ้มเรออย่างไรให้ลูกสบายท้องหลังดูดนม?
การอุ้มเรอเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรทำทันทีหลังจากให้ลูกน้อยดูดนมเสร็จในแต่ละครั้ง เพื่อไล่ลมที่ลูกกลืนเข้าไปขณะดูดนม และป้องกันไม่ให้ลูกแหวะนมออกมาค่ะ เรามี 2 ท่าอุ้มเรอที่ทำได้ง่าย ๆ มาแนะนำค่ะ
1. ท่าอุ้มพาดบ่า
ท่านี้เป็นท่าที่นิยมมากค่ะ เพียงแค่อุ้มลูกน้อยพาดบ่าโดยให้คางของลูกอยู่บริเวณบ่าของคุณแม่ จากนั้นใช้ฝ่ามือลูบหลังลูกขึ้นไปเบา ๆ จนกว่าจะได้ยินเสียงเรอ ท่านี้จะช่วยให้ลมในท้องลูกถูกดันออกมาได้ง่ายขึ้นค่ะ
2. ท่าอุ้มลูกนั่งบนตัก
สำหรับคุณแม่ที่อยากเปลี่ยนท่า ลองให้ลูกนั่งบนตักดูค่ะ โน้มตัวลูกไปด้านหน้าเล็กน้อย ใช้มือข้างหนึ่งประคองคางลูกไว้เบา ๆ เพื่อพยุงศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างลูบหลังลูกเบา ๆ เป็นจังหวะ ท่านี้ก็ช่วยให้ลูกเรอได้อย่างสบายตัวเช่นกันค่ะ
ไม่ว่าคุณแม่จะเลือกท่าไหน สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างอ่อนโยนและสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิดนะคะ
ปัญหาลูกไม่ยอมเข้าเต้า
คุณแม่หลายท่านอาจกำลังเผชิญปัญหาลูกไม่ยอมเข้าเต้าและต้องการคำปรึกษาที่เข้าใจง่าย เราพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดที่จะช่วยตอบทุกข้อสงสัยและเป็นกำลังใจให้คุณแม่ผ่านช่วงเวลาสำคัญนี้ไปได้อย่างมั่นใจและมีความสุขค่ะ
ทำไมต้องกำหนดเวลาให้ลูกเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอ?
การกำหนดเวลาให้ลูกน้อยเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้อย่างเพียงพอค่ะ โดยธรรมชาติแล้ว ยิ่งลูกดูดนมจากเต้าบ่อยเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งได้รับสัญญาณให้ผลิตน้ำนมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่จึงควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน และให้ลูกดูดนมจนหมดในแต่ละครั้ง เพื่อให้ปริมาณน้ำนมมีเพียงพอสำหรับลูกน้อยอยู่เสมอค่ะ
สังเกตอย่างไรเมื่อลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง
การให้ลูกเข้าเต้าอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมอย่างเต็มที่และคุณแม่ไม่เจ็บเต้านมค่ะ คุณแม่สามารถสังเกตได้จากสิ่งเหล่านี้
- ท่าทางการอุ้ม: คุณแม่ควรตะแคงตัวลูกเข้าหาตัวให้กระชับ โดยให้ศีรษะและลำตัวของลูกอยู่ในแนวเดียวกัน
- การงับเต้า: ลูกจะอ้าปากกว้างเพื่องับหัวนมและลานนมให้ลึก เหงือกของลูกจะกดลงบนลานนมที่มีกระเปาะน้ำนม และลิ้นจะอยู่ใต้ลานนมเพื่อรีดน้ำนมออกมา
- ลักษณะการดูด: ริมฝีปากของลูกจะไม่เม้มเข้าด้านใน ขณะที่ลูกดูดนมจะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และจะมีเสียงกลืนน้ำนมเบา ๆ เป็นระยะ ๆ
หากคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีอาการเหล่านี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าลูกน้อยกำลังดูดนมอย่างถูกต้องและได้รับน้ำนมอย่างเต็มที่
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่สามารถผลิตน้ำนมได้เพียงพอกับความต้องการของลูกน้อย ซึ่งในระหว่างที่คุณแม่พาลูกเข้าเต้าควรจัดท่าให้นมลูกน้อยให้ถูกวิธีเพื่อลดความเจ็บปวดเต้านมของคุณแม่และยังช่วยให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย เพราะในนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ทั้งดีเอชเอ (DHA) วิตามิน แคลเซียม และ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และยังมีสารภูมิคุ้มกันและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลายชนิดอย่าง บี แล็กทิส (B. lactis) ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับทารกอีกด้วย
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- โปรแกรม Baby Development เช็คพัฒนาการลูกน้อยแต่ละช่วงวัย
- วิธีจับลูกเรอ ท่าอุ้มเรอเมื่อลูกไม่เรอ ช่วยให้ลูกสบายท้องหลังอิ่มนม
- น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง พร้อมการเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง
- เทคนิคการปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า พร้อมตารางปั๊มนมและวิธีปั๊มนมให้ลูก
- ท่าให้นมลูก ท่านอนให้นม พร้อมท่าจับเรอ ป้องกันลูกน้อยท้องอืด
อ้างอิง:
- What Is Breastfeeding?, Medifem Hospital
- Breastfeeding, Cleveland Clinic
- ข้อควรรู้เกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติ, โรงพยาบาลสมิติเวช
- คู่มือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลสมิติเวช
- ลูกกินนมแบบไหนเรียก Over breastfeeding, โรงพยาบาลสมิติเวช
- ปัญหาและวิธีแก้ กับเรื่อง “นมแม่” ที่ต้องอ่าน, โรงพยาบาลสมิติเวช
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (Breastfeeding), คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- วิธีให้ลูกดูดเต้า ช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ ทำได้อย่างไรบ้าง, helloคุณหมอ
- เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต
- การให้นมแม่แก่ลูกน้อย, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- ท่าในการให้นมแม่ที่ถูกต้องและการอุ้มเรอ, โรงพยาบาลแมคคอร์มิค
- 8 วิธีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ, โรงพยาบาลกรุงเทพ
- ลูกได้น้ำนมแม่เพียงพอหรือไม่, โรงพยาบาลรามาธิบดี
- ประโยชน์ ของการให้ทารกเข้าเต้า และการอบกรอบแบบแนบเนื้อ, โรงพยาบาลธนบุรี
- ห้องนมแม่ ตอน น้ำนมแม่กู้คืนได้ แม้หยุดให้ เพราะโควิด, มูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย
- เข้าเต้าอย่างไร ให้ถูกวิธี ไม่เจ็บหัวนม, Premiere Home Health Care โรงพยาบาลธนบุรี
ชธานี
อ้างอิง ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2568