ในช่วงแรก ฮอร์โมน HCG (ฮอร์โมนการตั้งครรภ์) จะเพิ่มขึ้นคล้ายกับการตั้งครรภ์ปกติ เนื่องจากถุงการตั้งครรภ์มีการสร้างฮอร์โมนออกมา ทำให้ผลตรวจ

กาแฟดีแคฟไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัย 100% เนื่องจากยังคงมีคาเฟอีนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย (ประมาณ 2-15 มิลลิกรัมต่อแก้ว) แม้จะน้อยกว่ากาแฟปกติอย่าง

อาการนี้ก็เจอบ่อยไม่แพ้กันเลยค่ะ! สาเหตุหลักๆ มักจะมาจากขนาดหน้าอกที่ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ร่างกายต้องแบกรับน้ำหนักด้านหน้าเพิ่ม บวกกับท่าทางของ

เพราะตอนกลางวันเรามีการขยับตัวอยู่ตลอด ทำให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่น แต่พอตกกลางคืนเรานอนนิ่งๆ นานๆ กล้ามเนื้อหลังที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันก็จะ

ไม่เป็นอะไรเลยค่ะคุณแม่! การที่คุณแม่ไม่รู้สึกไม่ได้แปลว่าน้องไม่สะอึกนะคะ บางทีน้องอาจจะสะอึกเบาๆ หรือตอนที่คุณแม่กำลังยุ่งๆ เดินไปมาอยู่

สังเกตง่ายๆ เลยค่ะ ถ้าเป็นอาการปวดเมื่อยธรรมดา มักจะปวดตื้อๆ เมื่อยๆ ที่กลางหลังหรือหลังส่วนล่าง แต่ถ้าเป็น Sciatica จะมีอาการเด่นคือ ปวดแบบ

อันนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมายืนยันค่ะว่าอาหารที่คุณแม่ทานจะกระตุ้นให้น้องสะอึกได้โดยตรง การสะอึกเป็นกลไกตามธรรมชาติของน้อง

เทคนิคง่ายๆ คือให้ลองเอามือวางบนท้องนิ่งๆ แล้วจับจังหวะดูค่ะ ถ้าเป็น "การดิ้น" จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาผลุบๆ โผล่ๆ หรือกวาดไปมาแบบไม่เป็น

แยกไม่ยากเลยค่ะ! "ฉี่เล็ด" มักจะไหลออกมาตอนที่เราไอ จาม หรือหัวเราะ และจะมีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ค่ะ ส่วน "ตกขาว" จะมีลักษณะข้นๆ หนืดๆ คล้าย

เป็นเรื่องปกติมากๆ ค่ะ ไม่ต้องตกใจเลย เป็นไปได้ว่าเต้านมข้างนั้นอาจจะมีการพัฒนาของต่อมน้ำนมหรือมีเลือดไปเลี้ยงเยอะกว่าเล็กน้อย ทำให้รู้สึกไว

เป็นเรื่องปกติมากๆ เลยค่ะ! ตอนที่คุณแม่พลิกตัวหรือเปลี่ยนท่าเร็วๆ กล้ามเนื้อมดลูกอาจจะเกร็งตัวขึ้นมาแป๊บเดียวทำให้รู้สึกท้องแข็งได้ ซึ่งมัก

เข้าใจเลยค่ะว่ามันทำให้นอนไม่สบายตัวจริงๆ ลองเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ หรือใช้หมอนรองครรภ์มาช่วยพยุงท้องดูนะคะ การลูบท้องเบาๆ หรือเปิดเพลงกล่อมเบาๆ

อันนี้เป็นความเชื่อที่เล่าต่อกันมาเฉยๆ ไม่จริงเลยค่ะ! รูปร่างของท้องขึ้นอยู่กับสรีระของคุณแม่ล้วนๆ เลยค่ะ เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงแค่

โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายค่ะ การถึงจุดสุดยอดอาจทำให้มดลูกบีบตัวและรู้สึกท้องแข็งได้ชั่วครู่ ซึ่งอาการจะหายไปเองในไม่กี่นาที แต่ถ้าคุณแม่มีภาวะ

ช่วงท้องอ่อนๆ ที่รู้สึกว่าพุงป่องออกมา ส่วนใหญ่มักจะเป็น "ท้องอืด" จากฮอร์โมนมากกว่าเป็นขนาดของมดลูกจริงๆ ค่ะ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่พุ่งสูง

อันนี้ตอบยากมากเลยค่ะ เพราะขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยจริงๆ บางคนหลังให้นมลูกแล้ว ขนาดอาจจะเล็กลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่บางคนก็อาจจะใหญ่ขึ้นกว่าตอนก่อน

เป็นไปได้และส่วนใหญ่ไม่เป็นไรค่ะ! อาการคัดเต้ามักจะมาๆ หายๆ ได้ เพราะร่างกายกำลังปรับตัวกับฮอร์โมนที่พุ่งสูงในช่วงแรก หลายคนจะมีอาการคัดเต้า

ทานได้ค่ะ แต่มีจุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ "น้ำปลาร้า" และ "ข้าวคั่ว" ค่ะ ต้องมั่นใจว่าน้ำปลาร้าเป็นแบบต้มสุกที่สะอาด และไม่เค็มจนเกินไป

คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ นี่เป็นปฏิกิริยาปกติมากเมื่อเจอรสชาติและเนื้อสัมผัสที่เป็นของใหม่สำหรับเขาค่ะ ลองผสมกับนมแม่หรือนมผงที่น้องคุ้นเคยเพื่อให้มีรสชาติที่คุ้นเคยมากขึ้น

แม้ว่ามันเทศจะมีประโยชน์มาก แต่การทานอาหารที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ การให้ทานเมนูเดิมซ้ำๆ ทุกวันอาจทำให้น้องขาดสารอาหารชนิดอื่นและอาจจะเบื่ออาหารชนิดนั้นไปเลยก็ได้ค่ะ

เป็นปัญหาคลาสสิกเลยค่ะ! คุณแม่ลองเปลี่ยนจากการสับเป็นการ "ขูดฝอย" ให้ละเอียดที่สุดแล้วผสมเนียนไปกับหมูสับดูนะคะ เขาอาจจะไม่ทันสังเกตก็ได้ค่ะ หรือสามารถเปลี่ยนเป็นผักชนิดอื่นที่มีสีสันสวยงาม

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ!

เป็นปัญหาคลาสสิกของวัยนี้เลยค่ะที่เด็กๆ มักจะปฏิเสธผัก คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดวิตามินในทันทีนะคะ เพราะเขายังสามารถได้รับวิตามินและแร่ธาตุจาก "ผลไม้" ที่เขายอมทานได้อยู่ค่ะ

เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะที่คุณแม่ใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้! ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้เริ่มจาก "ธัญพืชชนิดเดียว" (Single-grain) ก่อนค่ะ โดยเฉพาะ "ข้าว"

เป็นเมนูที่เนื้อสัมผัสนุ่ม ทานง่าย เหมาะกับเด็กๆ ที่เริ่มเคี้ยวอาหารได้คล่องแล้วค่ะ โดยทั่วไปแล้วเด็กวัย 1 ปีขึ้นไปก็สามารถทานได้สบายเลยค่ะ เพราะส่วนผสมต่างๆ ทั้งเต้าหู้ หมูสับ และแครอทสับละเอียด