แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เจ็บแผลผ่าตัดข้างใน อันตรายไหม
คุณแม่ผ่าคลอดหลายคนมีความกังวลเรื่องแผลการผ่าคลอด ไม่ว่าจะเป็นแผลผ่าคลอดนูนไม่สวย แผลผ่าคลอดปริ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณแม่ควรใส่ใจเป็นพิเศษคือ “การดูแลทำความสะอาดแผลผ่าคลอดให้สะอาดอยู่เสมอ” หากคุณแม่ดูแลแผลผ่าคลอดได้ไม่ดีหรือไม่ดีพอ อาจทำให้แผลผ่าคลอดเกิดการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลหายช้าได้ หากคุณแม่พบว่าแผลผ่าคลอดอักเสบ หรือแผลผ่าคลอดปริให้เข้าพบแพทย์ทันที
สรุป
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การดูแลรักษาความสะอาดแผลผ่าคลอดที่ไม่ดีพอ การยกของที่หนักเกินไป โรคบางประเภทอย่างโรคเบาหวาน ความดัน เป็นต้น
- เจ็บแผลผ่าตัดข้างใน เป็นอาการที่เกิดขึ้นข้างในโดยที่คุณแม่ไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนกับแผลอักเสบข้างนอก แต่คุณแม่สามารถรับรู้ได้จากสัญญาณของแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เช่น ปวดท้องมาก ๆ แผลปูดนูนออกมา เป็นต้น
- วิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลผ่าคลอดอักเสบข้างในคุณแม่สามารถทำได้โดยการหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของแผลผ่าคลอดอยู่เสมอ พยายามเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย งดอาหารจำพวกหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการสูบบุรี่ และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่แผลผ่าคลอดยังไม่หายสนิท
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร
- แผลผ่าคลอดอักเสบ มีกี่แบบ
- อาการของแม่ผ่าคลอด เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
- ดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด ป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
- วิธีดูแลแผลผ่าคลอดอักเสบข้างในไม่ให้อักเสบซ้ำ
แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร
สาเหตุของแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน อาจมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
1. พฤติกรรมการดูแลแผลผ่าคลอดของคุณแม่
การดูแลรักษาความสะอาดแผลผ่าคลอดที่ไม่ดีพอจนแผลผ่าคลอดเกิดการติดเชื้อแล้วเกิดการอักเสบขึ้นได้ การยกของหรือออกกำลังกายที่หนักหน่วงจนเกินไป การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดแรงกดทับหรือแรงดันที่บริเวณแผลผ่าคลอดจนอาจกระทบถึงแผลผ่าคลอดภายในมดลูก ทำให้แผลเกิดการอักเสบอยู่ข้างใน
2. ปัญหาสุขภาพของคุณแม่เองอาจทำให้เกิดแผลผ่าคลอดอักเสบได้
โรคบางประเภทอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลอักเสบข้างในให้กับคุณแม่โดยไม่รู้ตัว เช่น ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดัน โรคอ้วน ภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ เป็นต้น
แผลผ่าคลอดอักเสบ มีกี่แบบ
ลักษณะของแผลผ่าคลอดอักเสบ ที่คุณแม่หลังคลอดสามารถสังเกตได้ คือ บริเวณแผลผ่าคลอดมีอาการบวมแดง แผลเปิดออกหรือไหมเย็บปริ เจ็บปวดบริเวณแผล คุณแม่บางคนอาจมีเลือดออกบริเวณแผลผ่าคลอด หรือมีไข้ร่วมด้วย
โดยทั่วไปแล้วแผลผ่าคลอดอักเสบมีทั้งหมด 2 แบบ คือ
1. แผลผ่าคลอดอักเสบข้างนอก
- เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาจมาจากการดูแลและทำความสะอาดแผลไม่สะอาด ทำให้แผลหลังผ่าตัดคลอดเกิดการติดเชื้อ ปัญหาสุขภาพบางอย่างของคุณแม่ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และแรงกดทับที่บริเวณแผลผ่าคลอดบริเวณหน้าท้อง ทำให้แผลผ่าคลอดเกิดการปริ แยกหรือฉีกขาดได้ เช่น การอุ้มลูกน้อย ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือการยกของที่หนักเกินไป เป็นต้น
2. แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
- เป็นอาการที่เกิดขึ้นข้างใน โดยที่คุณแม่ไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนกับแผลอักเสบข้างนอก โดยสัญญาณของอาการแผลอักเสบข้างใน เช่น ปวดท้องมาก ๆ แผลปูดนูนออกมา และมีไข้ร่วมด้วย เป็นต้น ซึ่งสาเหตุสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการดูแลตัวเองของคุณแม่หลังคลอดหรือปัญหาสุขภาพบางอย่าง
อาการของแม่ผ่าคลอด เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
เมื่อคุณแม่เกิดอาการแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างออกมาให้คุณแม่หลังผ่าคลอดรับรู้ ดังนี้
- คุณแม่จะรู้สึกถึงอาการปวดท้องอย่างรุนแรง บางครั้งอาจรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อมีการขับถ่ายทั้งปัสสาวะหรืออุจจาระ
- มีไข้ และอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
- คุณแม่มีน้ำคาวปลามากกว่าปกติ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็น และอาจมีเลือดออกปนมาด้วย
- บริเวณแผลผ่าคลอดมีรอยนูนออกมา หรืออาจมีก้อนที่บริเวณท้องส่วนล่างของคุณแม่
ดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด ป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
คุณแม่หลังคลอดทุกคนต่างต้องการให้แผลผ่าคลอดหายเร็วที่สุด เพราะในระหว่างที่แผลยังไม่แห้งสนิทอาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลปริ แผลอักเสบ อาการเจ็บปวดแผลบ่อย ๆ และยังทำให้คุณแม่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ค่อยสะดวกด้วย ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่เกิดแผลอักเสบที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุแผลผ่าคลอดหายช้า คุณแม่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
1. รักษาแผลให้สะอาด
คุณแม่ควรหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของแผลผ่าคลอดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าคลอดเกิดการอักเสบทั้งข้างในและด้านนอก และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด
2. งดการมีเพศสัมพันธ์
ในช่วงที่แผลผ่าคลอดยังไม่หายสนิทดี คุณแม่ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน จนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูกลับสู่ภาวะปกติ เพราะอาจทำให้มดลูกเกิดการกระทบกระเทือนหรือแรงกดที่แรงจนเกินไป จนอาจทำให้แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในได้
3. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดอาจส่งผลต่อแผลผ่าคลอด โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานที่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แผลผ่าคลอดหายช้าลงได้
4. ควบคุมน้ำหนักตัว
คุณแม่หลังคลอดควรควบคุมน้ำหนักตัวให้สมดุล เพราะการที่คุณแม่มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป อาจส่งผลต่อการเกิดแผลอักเสบข้างในขึ้นได้
5. ไม่สูบบุหรี่
ในช่วงที่ร่างกายของคุณแม่กำลังฟื้นฟู คุณแม่ควรงดการสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีที่อยู่ในบุหรี่ส่งผลต่อการสมานตัวของแผลผ่าคลอดโดยตรง ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพลูกน้อยของคุณแม่ด้วย
6. หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด
หลังคลอดเป็นช่วงที่ร่างกายของคุณแม่ต้องการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว การทานอาหารหลังผ่าคลอดที่ดีและมีประโยชน์เพื่อช่วยบำรุงร่างกายของคุณแม่หลังคลอดเป็นสิ่งที่คุณแม่ควรให้ความใส่ใจ และคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของแผลผ่าคลอด เช่น อาหารหมักดอง อาหารกึ่งดิบกึ่งสุก เป็นต้น
7. ดื่มน้ำให้เยอะขึ้น
การดื่มน้ำจะช่วยให้คุณแม่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ดี ทั้งยังช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นและผิวพรรณด้วย ดังนั้น คุณแม่ที่ผ่าคลอดควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
วิธีดูแลแผลผ่าคลอดอักเสบข้างในไม่ให้อักเสบซ้ำ
สำหรับคุณแม่ผ่าคลอดที่เคยมีประสบการณ์แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในมาก่อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลอักเสบข้างในซ้ำ
1. ทานอาหารที่ช่วยให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว
คุณแม่ผ่าคลอดต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนในการฟื้นฟูร่างกาย และช่วยให้แผลผ่าคลอดหายเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกโปรตีนเพราะโปรตีนมีส่วนช่วยซ่อมแซมร่างกาย ทำให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว รวมถึงการหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารประเภทแป้งหรือไขมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. ดูแลแผลผ่าคลอดให้ดี
หากคุณแม่ไม่ต้องการให้เกิดแผลอักเสบข้างในซ้ำ ควรดูแลแผลผ่าคลอดให้เนียนสวย พยายามทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์ ตรวจสอบแผลผ่าคลอดดูว่าเปียกน้ำหรือมีน้ำซึมหรือไม่ ถ้าพบว่าแผลผ่าคลอดเปียกน้ำให้รีบซับเบา ๆ ให้แห้งโดยทันที เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลผ่าคลอดอักเสบซ้ำได้ หากไม่มั่นใจ ให้ไปพบแพทย์เพื่อทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีต่อไป
3. ไม่ควรยกของหนัก
คุณแม่หลังคลอดบางคนอาจเผลอยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่ส่งผลต่อแรงกดทับที่หน้าท้อง ทำให้แผลผ่าคลอดเกิดการปริแตก หรืออักเสบขึ้นมาได้ ดังนั้น ก่อนที่คุณแม่จะทำกิจกรรมอะไรต้องคำนึงว่าจะส่งผลต่อแผลผ่าคลอดที่หน้าท้องหรือไม่ โดยพยายามหาผู้อื่นมาช่วยยกของ หรือแบ่งยกของเบา ๆ เพื่อไม่ให้แผลผ่าคลอดเกิดการอักเสบข้างในซ้ำ
4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป
แม้ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายกระชับสัดส่วนได้ดี แต่สำหรับคุณแม่หลังผ่าคลอด การออกกำลังกายที่หนักเกินไปอาจส่งผลต่อร่างกาย ทำให้แผลผ่าคลอดกระทบกระเทือน และเหงื่อที่ไหลออกมาจะทำให้เกิดการหมักหมมบริเวณแผลผ่าคลอด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการติดเชื้อและเกิดแผลผ่าคลอดอักเสบขึ้นอีกครั้งได้
5. งดสูบบุหรี่เด็ดขาด
การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งของตัวคุณแม่เองและลูกน้อย อีกอย่างสารเคมีที่อยู่ในบุหรี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการชะงักการซ่อมแซมเซลล์บริเวณแผลผ่าคลอด ทำให้แผลผ่าคลอดหายช้าและเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออักเสบเพิ่มขึ้นด้วย
ช่วงหลังคลอดคุณแม่อาจให้ความสนใจในการดูแลลูกน้อยแรกคลอด จนทำให้ไม่มีเวลาในการใส่ใจดูแลตัวเองมากนัก แต่ความเป็นจริงแล้วคุณแม่หลังผ่าคลอดไม่ควรละเลยในการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะบริเวณแผลผ่าคลอดที่ทำให้คุณแม่เจ็บแผลผ่าตัดข้างใน ควรดูแลรักษาแผลผ่าคลอดให้สะอาดอยู่เสมอ พยายามอย่าให้แผลเปียกหรือโดนน้ำ หรือทำกิจกรรมที่หนักจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลติดเชื้อจนส่งผลให้แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในและข้างนอก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คุณแม่มีอาการปวดแผลผ่าคลอด ไม่สบาย และแผลหายช้าด้วย
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด
- สมองและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอด
- ฤกษ์คลอด ฤกษ์ผ่าคลอด วันมงคล เวลาดี สำหรับลูกรัก
- Colostrum คือ น้ำนมสีหลืองที่มีสฟิงโกไมอีลิน เสริมภูมิคุ้มกันลูก
- อาหารบำรุงน้ำนม เมนูเพิ่มน้ำนม กระตุ้นน้ำนมแม่ให้มีคุณภาพ
- น้ำนมใส คืออะไร สีน้ำนมแม่ ประโยชน์ของน้ำนมส่วนหน้าที่แม่ควรรู้
- น้ำนมส่วนหน้าและน้ำนมส่วนหลังต่างกันอย่างไร เรื่องน้ำนมที่แม่ต้องรู้
- น้ำนมแม่อยู่ได้กี่ชั่วโมง เก็บได้นานแค่ไหน พร้อมการเก็บนมแม่ให้ถูกวิธี
- อาการคัดเต้านม คัดเต้ากี่วันหาย พร้อมวิธีบรรเทาอาการเต้านมคัด
- หัวนมแตก อาการเจ็บหัวนมดูแลอย่างไร คุณแม่ให้นมลูกต่อได้ไหม
- ท่อน้ำนมอุดตัน ท่อน้ำนมตัน ปัญหาคุณแม่หลังคลอด ที่คุณแม่แก้ไขได้
- วิธีนวดเปิดท่อน้ำนม นวดเต้าหลังคลอด แก้ไขปัญหาคุณแม่น้ำนมน้อย
อ้างอิง:
- แผลผ่าคลอดปริ เกิดจากอะไร คุณแม่ควรดูแลแผลอย่างไร, hellokhunmor
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน สาเหตุและการดูแล, hellokhunmor
- ข้อปฏิบัติหลังคลอด ที่คุณแม่ควรรู้, โรงพยาบาลเปาโล
- การดูแลแผลผ่าตัด, โรงพยาบาลพิษณุโลก
อ้างอิง ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2567
บทความที่เกี่ยวข้อง