
ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ผ่าคลอดมีลูกได้กี่คน ผ่าคลอดบ่อย อันตรายไหม
คำถามที่พบบ่อย
การผ่าคลอดครั้งที่ 2 หรือ 3 จะเจ็บกว่าครั้งแรกไหม?
ความรู้สึกเจ็บระหว่างผ่าตัดจะไม่ต่างกันเนื่องจากมีการใช้ยาชาหรือยาสลบ แต่การผ่าคลอดแต่ละครั้งอาจทำให้พังผืดหนาขึ้น ซึ่งทำให้การผ่าคลอดทำได้ยากขึ้น และอาจรู้สึกเจ็บปวดหลังผ่าตัดมากกว่าหรือนานกว่าในครั้งหลังๆ ได้ อย่างไรก็ตาม แพทย์จะมีวิธีการ เพื่อช่วยจัดการความเจ็บปวดให้คุณแม่อยู่แล้ว หากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์
แผลเป็นจากการผ่าคลอดซ้ำหลายครั้งจะดูแลยากขึ้นหรือไม่?
แผลเป็นจากการผ่าคลอดซ้ำอาจดูแลยากขึ้นเล็กน้อย แพทย์มักจะพยายามกรีดที่รอยแผลเดิมเพื่อไม่ให้เกิดแผลใหม่ รวมถึงตัดแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ออกอย่างระมัดระวัง ซึ่งจะทำให้โอกาสที่แผลเป็นคีลอยด์ จะกลับมาเป็นซ้ำลดลง การดูแลแผลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้แผลสวยงามและเรียบเนียนขึ้นได้ หากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์
การฟื้นตัวหลังผ่าคลอดครั้งที่ 3 แตกต่างจากครั้งแรกอย่างไร?
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการผ่าคลอดแต่ละครั้ง รวมถึงการเกิดพังผืด เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การฟื้นตัวในครั้งหลังๆ อาจใช้เวลานานกว่าเดิม คุณแม่อาจรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้นหรือเจ็บตึงแผลนานขึ้น ควรเคลื่อนไหวร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและพักผ่อนให้เพียงพอ หากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์
สรุป
- ไม่มีจำนวนครั้งที่แน่ชัด แต่แพทย์มักไม่แนะนำให้ผ่าคลอดมากกว่า 3 ครั้ง เพราะทุกครั้งที่ผ่าคลอด จะเกิดพังผืดซึ่งอาจจะไปรั้งให้อวัยวะอื่นๆ มาอยู่ใกล้กับมดลูกมากขึ้น เมื่อต้องผ่าคลอดครั้งต่อไป ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะผ่าไปโดนอวัยวะข้างเคียงได้
- ถึงแม้ท้องแรกคุณแม่จะผ่าคลอด ท้องที่สองก็ยังมีโอกาสคลอดเองได้ แต่ทั้งนี้ต้องผ่านการประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ก่อน
- เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่ได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่และพร้อมสำหรับลูกน้อยคนต่อไปแบบสมบูรณ์ที่สุด คุณแม่ควรเว้นช่วงการตั้งครรภ์ครั้งใหม่อย่างน้อย 1 ปี
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- คำตอบจากแพทย์ คุณแม่ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ผ่าคลอดมีลูกได้กี่คน
- คุณแม่ผ่าคลอดซ้ำหลายครั้ง อันตรายแค่ไหน
- ทำไมการผ่าตัดคลอด ถึงได้รับความนิยม
- การดูแลสุขภาพร่างกายคุณแม่หลังผ่าคลอด
- คลายข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าคลอด
- วิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอด
คำตอบจากแพทย์ คุณแม่ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ผ่าคลอดมีลูกได้กี่คน
สำหรับคุณแม่ที่สงสัยว่าผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ผ่าคลอดมีลูกได้กี่คน จริงๆ แล้วทางการแพทย์มักจะไม่แนะนำให้เกิน 3 ครั้งค่ะ เพราะทุกครั้งที่ผ่าคลอด จะเกิดพังผืดข้างในช่องท้อง ซึ่งพังผืดนี้อาจจะไปรั้งให้อวัยวะอื่นๆ มาอยู่ใกล้กับมดลูกมากขึ้น เมื่อต้องผ่าคลอดครั้งต่อไป ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะผ่าไปโดนอวัยวะข้างเคียงเช่น กระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหารค่ะ
คุณแม่ผ่าคลอดซ้ำหลายครั้ง อันตรายแค่ไหน
ถึงแม้ว่าการผ่าคลอดลูกในปัจจุบันจะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่การผ่าคลอดซ้ำหลายครั้งอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ กับร่างกายของคุณแม่ขึ้นได้
1. มดลูกแตก
การผ่าคลอดจะทำให้เกิดแผลเป็นที่มดลูก ซึ่งจะส่งผลกับการคลอดในครั้งต่อไปค่ะ เพราะความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมดลูกตรงที่เป็นแผลเป็นจะลดลง ซึ่งอาจทำให้มดลูกปริหรือมีโอกาสแตกได้ค่ะ
2. รกเกาะผิดปกติ
เมื่อมดลูกมีแผลเป็นจากการผ่าคลอด ก็อาจจะทำให้รกเกาะในตำแหน่งที่ผิดปกติได้ง่ายขึ้น เช่น ภาวะรกเกาะแน่น หรือรกเกาะต่ำ ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจทำให้คุณแม่ตกเลือดได้มากจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ
3. พังผืดในช่องท้อง
ทุกครั้งที่ผ่าคลอด ร่างกายจะสร้างพังผืดขึ้นมาในช่องท้อง ซึ่งพังผืดพวกนี้อาจไปดึงรั้งอวัยวะที่อยู่ใกล้ๆ มดลูกให้มาอยู่ชิดกันมากขึ้นค่ะ ผลที่ตามมาคือ อาจทำให้คุณแม่ปวดท้องเรื้อรังได้ และยังเพิ่มความเสี่ยงที่อวัยวะข้างเคียงอย่างกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้จะเกิดการบาดเจ็บในการผ่าตัดครั้งต่อๆ ไปด้วยค่ะ
4. การติดเชื้อ
การผ่าคลอดซ้ำแต่ละครั้ง จะเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทั้งที่แผลผ่าตัดด้านนอกและในมดลูกเลยค่ะ

ผ่าคลอดท้องแรก ท้องสอง ต้องผ่าคลอดจริงไหม?
หากคุณแม่เคยผ่าคลอดในครรภ์แรก แพทย์มักพิจารณาให้ผ่าคลอดในครรภ์ที่สองด้วย เนื่องจาก แผลเป็นที่มดลูกจากการผ่าตัดครั้งก่อน ทำให้เมื่อถึงเวลาเจ็บครรภ์ในท้องต่อไป มดลูกที่ขยายและบีบตัวจะมีความยืดหยุ่นน้อยลงและอาจเกิดการปริได้ โดยมีความเสี่ยงที่มดลูกจะแตกอยู่ที่ประมาณ 1% ค่ะ
ผ่าคลอดท้องแรก ท้องสอง คลอดธรรมชาติ (VBAC) ได้หรือไม่?
ถึงแม้ท้องแรกคุณแม่จะผ่าคลอด แต่หากคุณแม่ตั้งใจอยากจะคลอดเองในท้องที่สองจริงๆ ก็ยังมีโอกาสคลอดเองตามธรรมชาติได้นะคะ โดยต้องผ่านการประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ก่อนค่ะ
ในการประเมินความเสี่ยงเพื่อคลอดธรรมชาติหลังเคยผ่าคลอด จะต้องพิจารณาจากสาเหตุของการผ่าตัดในครั้งก่อนเป็นสำคัญเลยค่ะ
- กรณีที่อาจคลอดธรรมชาติได้: หากการผ่าคลอดครั้งก่อนมีสาเหตุมาจากปัญหาชั่วคราว เช่น ทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ หรือรกเกาะในตำแหน่งที่ผิดปกติ ในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ คุณแม่ก็อาจจะสามารถคลอดเองตามธรรมชาติได้โดยมีความเสี่ยงต่ำ
- กรณีที่อาจทำได้ยากและเสี่ยงสูงขึ้น: หากการผ่าคลอดครั้งก่อนมีสาเหตุมาจากปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เช่น อุ้งเชิงกรานของคุณแม่แคบหรือทารกตัวใหญ่มาก หรือมีการผ่าตัดมดลูกหลายครั้ง ระยะห่างจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อนไม่ถึง 1 ปี การคลอดธรรมชาติในท้องนี้ก็จะทำได้ยากขึ้นค่ะ
สำหรับการคลอดเอง หลังจากเคยผ่าคลอด ให้คุณแม่เตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ดังนี้
- ตั้งใจให้แน่วแน่ ว่าต้องการคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติ
- ปรึกษาการตั้งครรภ์กับสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ดูแลโภชนาการระหว่างการตั้งครรภ์ให้ดี เพื่อให้ทารกในครรภ์แข็งแรงและมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
- ระหว่างคลอด ควรอยู่ในการดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์
ทำไมการผ่าตัดคลอด ถึงได้รับความนิยม
ปัจจุบันคุณแม่หลายท่านเลือกการผ่าตัดคลอด ด้วยเหตุผลหลายข้อ ดังต่อไปนี้
1. ปลอดภัยสูง
การผ่าคลอดเป็นการวางแผนและหารือร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มีการเตรียมพร้อมอย่างดี ทั้งยังมีเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยดูแล เพิ่มความปลอดภัย ทั้งกับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
2. กำหนดเวลาได้
คุณแม่สามารถวางแผนวันคลอดล่วงหน้าได้ ใครที่ดูฤกษ์ผ่าคลอดเอาไว้ ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดวันและเวลาที่สะดวกได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็ต้องดูความพร้อมและความแข็งแรงของลูกน้อยเป็นหลักด้วยนะคะ ซึ่งคุณหมอจะแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่อายุครรภ์ 38 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ
3. ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน
สำหรับคุณแม่ที่สงสัยว่าผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดกี่ชั่วโมง ผ่าคลอดนานไหม คำตอบคือการผ่าตัดคลอดใช้เวลาเพียงประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ถือเป็นวิธีการที่สะดวกและรวดเร็วมากๆ
4. ลดความเจ็บปวดขณะคลอด
ข้อดีอีกอย่างคือ ขณะคลอดคุณแม่ไม่ต้องเจ็บท้องหรือออกแรงเบ่งเลย เพราะคุณหมอจะใช้วิธี การบล็อกหลัง หรือการใช้ยาสลบก่อนผ่าตัด ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการผ่าคลอด ทำให้คุณแม่รู้สึกสบายตัวขึ้น
5. ลดการยืดหย่อนของเชิงกราน
การผ่าคลอดช่วยลดผลกระทบต่อเส้นเอ็นยึดและเชิงกรานได้ดี เนื่องจากคุณแม่ไม่ต้องออกแรงเบ่งคลอดเองเหมือนการคลอดธรรมชาติ ซึ่งช่วยรักษาสภาพอุ้งเชิงกรานได้ดีกว่าในระยะยาว
การดูแลสุขภาพร่างกายคุณแม่หลังผ่าคลอด
ในช่วงวันแรกๆ หลังจากผ่าคลอด คุณแม่ควรค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยลุกขึ้นเดินขยับตัวเบาๆ รอบๆ เตียง เพื่อไม่ให้เกิดพังผืดยึดเกาะกับอวัยวะในช่องท้อง ทั้งยังช่วยป้องกันอาการท้องอืด และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีวิธีการดูแลร่างกายหลังผ่าคลอดที่จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็ว ดังนี้
1. นอนพักผ่อน
ในช่วงวันแรกๆ หลังผ่าคลอด ร่างกายของคุณแม่จะอ่อนเพลีย ดังนั้น ต้องพยายามหาเวลานอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มนะคะ โดยเฉพาะในช่วงที่ลูกหลับค่ะ

2. โภชนาการ
ในช่วงแรกหลังผ่าตัด คุณหมออาจจะให้คุณแม่งดน้ำและอาหารก่อนนะคะ จากนั้นจะให้คุณแม่เริ่มจิบน้ำหรือทานซุปใสๆ ก่อน พอร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้ว ค่อยปรับมาเป็นอาหารเหลว หรือโจ๊กที่โรงพยาบาลจัดให้ค่ะ ต่อมาคุณแม่ก็สามารถเริ่มทานอาหารปกติที่ย่อยง่ายและมีรสจืดได้เลยค่ะ
3. น้ำคาวปลา
คุณแม่จะมีน้ำคาวปลาออกมาตั้งแต่วันแรกหลังคลอด และจะมีไปจนถึงประมาณ 2-3 สัปดาห์เลยค่ะ ช่วงแรกๆ จะมีปริมาณมาก สีแดงสด แล้วจะค่อยๆ สีอ่อนลง และปริมาณน้อยลงจนหมดไปเอง เพื่อสุขอนามัยที่ดี คุณแม่ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ นะคะ
4. แผลผ่าคลอด
แผลผ่าคลอดของคุณแม่ ต้องระวังมากๆ อย่าให้แผลโดนน้ำ และคอยสังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดซึมออกมาไหม หรือรอบๆ แผลมีอาการบวม แดง ร้อน หรือเปล่า หากคุณแม่มีอาการแบบนี้ ควรกลับไปพบแพทย์ทันที
5. การปัสสาวะ
ในช่วง 1-2 วันแรก คุณแม่จะยังมีสายสวนปัสสาวะใส่ไว้อยู่ เมื่อแพทย์เอาสายสวนออกแล้ว คุณแม่จะต้องพยายามปัสสาวะด้วยตัวเองให้ได้ภายใน 6 ชั่วโมงนะคะ และเมื่อปัสสาวะได้เองแล้ว ก็อย่าลืมทำความสะอาดแผลให้ดีและซับให้แห้งทุกครั้งด้วยค่ะ
6. การขับถ่าย
ในระยะแรกๆ ลำไส้ของคุณแม่อาจจะยังไม่ค่อยขยับตัว เพราะก่อนผ่าตัดได้มีการสวนอุจจาระไปแล้ว แต่ถ้าเข้าวันที่ 3 แล้วคุณแม่ยังไม่ถ่ายเลย ควรแจ้งแพทย์หรือพยาบาล เพื่อพิจารณาให้ยาถ่ายช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นค่ะ
7. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
คุณแม่ไม่ควรยกของหนักเกินกว่าน้ำหนักของทารก จนกว่าจะผ่านการตรวจสุขภาพเมื่อครบ 6 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เกิดการเกร็งหน้าท้อง และแผลอาจปริได้
คลายข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าคลอด
ยังมีอีกหลายคำถามที่แม่ผ่าคลอดอยากรู้ เช่น ผ่าคลอดควรมีลูกห่างกันกี่ปี คลอดเองหรือผ่าคลอด แบบไหนดีกว่ากัน ผ่าคลอดต้องเตรียมตัวอย่างไร เราพาคุณแม่มาคลายข้อสงสัยกันค่ะ
หลังผ่าคลอด มีเพศสัมพันธ์ได้ตอนไหน
ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่เว้นการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน เนื่องจากแผลผ่าตัดทั้งข้างในและข้างนอกยังไม่หายสนิทดี อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บและรู้สึกไม่ดีกับการมีเพศสัมพันธ์ได้ค่ะ
ผ่าคลอด ควรมีลูกห่างกันกี่ปี จึงจะปลอดภัยที่สุด
เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่ได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการมีลูกน้อยคนต่อไปแบบสมบูรณ์ที่สุด คุณแม่ควรเว้นช่วงการตั้งครรภ์ครั้งใหม่อย่างน้อย 1 ปีค่ะ
คลอดเองหรือผ่าคลอด แบบไหนดีกว่ากัน
คุณแม่อาจสงสัยว่าระหว่าง การคลอดเองหรือการผ่าคลอด แบบไหนจะดีกว่ากัน จริงๆ แล้วทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปนะคะ
การคลอดเองตามธรรมชาติจะเหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และการตั้งครรภ์เป็นไปอย่างปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรค่ะ ส่วนการผ่าคลอดก็เป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณแม่ที่มีข้อจำกัดด้านร่างกาย หรือมีภาวะฉุกเฉิน รวมถึงคุณแม่ที่มีการกำหนดฤกษ์คลอดค่ะ
ดังนั้น การจะเลือกวิธีไหนดีที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่และความสมบูรณ์ของการตั้งครรภ์ในแต่ละครั้ง ซึ่งคุณหมอจะช่วยประเมินและให้คำแนะนำที่ดีที่สุดกับเราค่ะ
กรณีไหนบ้างที่คุณแม่จำเป็นต้องผ่าคลอด
กรณีที่แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ผ่าคลอดนั้น มักจะเกิดจากสาเหตุ และปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการคลอดต่าง ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น กรณีที่เกิดจากความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น ทารกไม่กลับหัวลงมา ลูกในครรภ์ไม่แข็งแรง มีภาวะขาดออกซิเจน หัวใจเต้นผิดปกติ หรือกรณีที่เกิดจากความผิดปกติของคุณแม่ ซึ่งอาจเป็นอันตรายระหว่างการคลอด เช่น อุ้งเชิงกรานแคบ รกเกาะต่ำขวางปากมดลูก เนื้องอกขวางทางคลอด หรือการตั้งครรภ์แฝด เป็นต้น
คุณแม่ต้องรอให้เจ็บท้องก่อนไหมจึงผ่าคลอดได้
ต้องรอให้เจ็บท้องก่อนไหมถึงผ่าคลอดได้ เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณแม่สงสัย คำตอบก็คือ ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ หากแพทย์ได้พิจารณาแล้วว่าจะผ่าคลอด คุณแม่สามารถไปโรงพยาบาลตามวันและเวลาที่คุณหมอนัดไว้ได้เลยค่ะ ไม่ต้องรอให้เจ็บท้องก่อน
ก่อนผ่าคลอด คุณแม่ควรเตรียมผ่าคลอดอย่างไร
ใกล้วันที่จะได้เจอหน้าลูกน้อยแล้วนะคะ! มาดูกันค่ะว่าก่อนจะถึงวันผ่าคลอด เราต้องเตรียมตัวอะไรกันบ้างเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุดค่ะ
1. ทำความเข้าใจเรื่องการผ่าคลอด
การที่คุณแม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าคลอดไว้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องวิธีการผ่าตัด ขั้นตอนต่างๆ หรือระยะเวลาที่ต้องใช้ จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกกังวลน้อยลงค่ะ แถมยังทำให้เรารู้ด้วยว่าต้องทำอะไรก่อน-หลังในวันจริงค่ะ
2. เรียนรู้สัญญาณเตือนใกล้คลอด
สัญญาณที่ชัดเจนว่าใกล้ถึงเวลาคลอดแล้วก็คือ การมีมูกเลือดออกจากช่องคลอด อาการเจ็บท้องที่มาเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้วค่อยๆ เจ็บถี่ขึ้นเรื่อยๆ หรืออาการน้ำเดิน คุณแม่ควรเรียนรู้และสังเกตอาการเหล่านี้ไว้นะคะ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเจ็บท้องคลอดก่อนวันนัดผ่าตัด
3. จัดกระเป๋าเตรียมไปโรงพยาบาล
คุณแม่สามารถเริ่มจัดกระเป๋าเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เลยตั้งแต่ช่วงเข้าเดือนที่ 8 หรือไตรมาสสุดท้ายนะคะ แนะนำให้เตรียมไว้ให้พร้อมทั้งของคุณแม่ ของใช้สำหรับทารก และเผื่อของคุณพ่อหรือคนที่จะไปเฝ้าไข้ด้วยเลยค่ะ
4. งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัด
โดยปกติคุณแม่จะต้องงดน้ำและอาหารทุกชนิดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่ระหว่างการผ่าตัดนะคะ
อาการผิดปกติหลังการผ่าคลอด ที่ควรพบแพทย์
นอกจากการเตรียมตัวก่อนคลอดแล้ว หลังจากผ่าคลอด คุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการของตัวเองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน หากคุณแม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ หรือเกิดความไม่สบายใจ ต้องรีบกลับไปพบแพทย์ทันทีนะคะ โดยตัวอย่างอาการที่ต้องคอยสังเกต เช่น
- มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- มีเลือดหรือมีก้อนเลือดขนาดใหญ่ออกจากช่องคลอด ในปริมาณที่มากผิดปกติ
- น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น หรือยังคงเป็นสีแดงสดตลอดช่วง 15 วันหลังคลอด
- มีอาการปวดท้องรุนแรง หรือปวดบิดจนทนไม่ไหว
- เวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกแสบขัด หรือปัสสาวะบ่อยๆ แต่รู้สึกว่าออกมาแบบกะปริบกะปรอย
- แผลผ่าตัดมีอาการผิดปกติ เช่น อักเสบ บวม แดง หรือมีหนองไหลออกมา
- เต้านมผิดปกติ เช่น มีก้อนที่เต้านม หรือเต้านมมีอาการบวมแดง
วิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอด
เนื่องจากเด็กผ่าคลอดนั้น จะพลาดโอกาสในการได้รับภูมิคุ้มกันตั้งต้นจากช่องคลอด แตกต่างจากเด็กคลอดธรรมชาติที่จะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่อาศัยอยู่ในบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าเด็กคลอดธรรมชาติ แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะคุณแม่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับลูกผ่าคลอดได้ ด้วยการให้โภชนาการที่ดีคือนมแม่ เพราะในน้ำนมแม่มีจุลินทรีย์สุขภาพหลากสายพันธุ์ เช่น บี แล็กทิส (B. lactis) ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย
นอกจากนี้ ในน้ำนมแม่ยังมีสารอาหารสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายกว่า 200 ชนิด รวมไปถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการสมอง เช่น ดีเอชเอ (DHA) เออาร์เอ (ARA) รวมถึง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) มีส่วนช่วยในการสร้างไมอีลิน ทำให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้ไวขึ้น และสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราก็ได้ไขข้อข้องใจกันไปแล้วนะคะว่า ผ่าคลอดมีลูกได้กี่คน ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที รวมถึง อันตรายจากการผ่าคลอดหลายครั้ง และการดูแลสุขภาพคุณแม่หลังผ่าคลอด นอกจากนี้ ก่อนที่จะถึงกำหนดคลอด คุณแม่มือใหม่อย่าลืมจัดกระเป๋าเตรียมของก่อนคลอดไปด้วยนะคะ เพื่อความสะดวกสบาย เมื่อต้องเตรียมตัวเดินทางไปคลอดลูกน้อยค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- Health check แบบประเมินสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของลูกน้อย
- หัวนมบอด คืออะไร ปัญหาหัวนมบอดของคุณแม่ให้นมที่แก้ไขได้
- หัวนมคนท้อง การเปลี่ยนแปลงของเต้านมคนท้องระหว่างตั้งครรภ์
- เจ็บเต้าจี๊ด ๆ เหมือนเข็มทิ่ม เจ็บเต้าจี๊ด ๆ ข้างซ้ายผู้หญิง
- วิธีให้นมลูกสำหรับคุณแม่มือใหม่ การให้นมลูกหลังคลอดที่ถูกต้อง
อ้างอิง:
- ตอบข้อสงสัย คลอดแบบไหนดี คลอดปกติ VS ผ่าคลอด, โรงพยาบาลนครธน
- ผ่าคลอดกี่ครั้งถึงไม่อันตราย?...รวมเรื่องน่ารู้ก่อนเตรียมตัวผ่าคลอด, โรงพยาบาลพญาไท 2
- การคลอดแบบธรรมชาติหลังจากเคยผ่าคลอดมาแล้ว, โรงพยาบาลสมิติเวช
- คลายข้อกังวลคุณแม่ ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง มีลูกได้อีกกี่คน ?, โรงพยาบาลวิมุต
- 5 ข้อดีของการ “ผ่าคลอด” ที่คุณแม่ควรทราบ, โรงพยาบาลเปาโล
- การดูแลหลังคลอด แบบผ่าตัดทางหน้าท้อง, โรงพยาบาลสมิติ
- คำถามยอดฮิตที่คุณแม่ผ่าคลอดอยากรู้, โรงพยาบาลศิครินทร์
- ข้อควรรู้หลังคลอดบุตร, โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
- ผ่าคลอด สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรู้
- คลอดลูกเองธรรมชาติ หรือผ่าคลอดดี เลือกแบบไหนดีกว่ากัน ?, โรงพยาบาล
- คลอดธรรมชาติหรือผ่าตัดคลอด ต่างกันอย่างไร?, โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
- คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังคลอด, โรงพยาบาลวิภาวดี
- Repeat C-sections: Is there a limit?, Mayo Clinic
- แม่หลังคลอด ดูแลสุขภาพและแผลผ่าคลอดอย่างไร ช่วยให้หายไว, โรงพยาบาลเมดพาร์ค
- 8 เคล็ดลับดูแลแผลผ่าคลอด แผลสวย คุณแม่หายไว ฟื้นตัวเร็ว, โรงพยาบาลวิมุต
- Keloid, Dr Gary Sykes
- Recovering from a C-Section: What to Expect Each Week, Parents
อ้างอิง ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2568