ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที พร้อมข้อดี-ข้อเสีย คลอดเองกับผ่าคลอด

ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที พร้อมข้อดี-ข้อเสีย คลอดเองกับผ่าคลอด

15.04.2020

หากคุณแม่มีความจำเป็นต้องผ่าคลอด คุณหมอจะให้คำแนะนำและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าคลอดเบื้องต้น เช่น การผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดนานไหม รวมถึงขั้นตอนในการผ่าคลอด และประเภทของการคลอด รวมถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการผ่าคลอดและคลอดธรรมชาติ ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จัก และเรียนรู้สิ่งสำคัญที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ เกี่ยวกับการผ่าคลอด เพื่อให้ว่าที่คุณแม่ทุกคนสามารถเตรียมพร้อมรับมือได้ดียิ่งขึ้น

headphones

PLAYING: ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที พร้อมข้อดี-ข้อเสีย คลอดเองกับผ่าคลอด

อ่าน 8 นาที

สรุป

  • การคลอดธรรมชาติ เป็นการคลอดผ่านช่องคลอดโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง และทารกอยู่ในท่าปกติ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-12 ชั่วโมง แต่สามารถสั้นหรือยาวนานกว่านี้ได้
  • การผ่าคลอด เป็นการคลอดผ่านการผ่าตัดหน้าท้อง เหมาะกับกรณีที่มีความเสี่ยงต่อทั้งแม่และลูก การผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ระยะเวลาที่แน่นอนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของการผ่าคลอด ขนาดของทารกและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • การเลือกวิธีคลอดที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่และลูก ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาว่าวิธีการคลอดแบบใดเหมาะสมกับคุณแม่และลูกน้อยมากที่สุด

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

การผ่าคลอด คืออะไร

การผ่าคลอด หรือการผ่าตัดคลอด เป็นหนึ่งวิธี ในการคลอดบุตรนอกเหนือจากการคลอดตามธรรมชาติ โดยปกติแล้วจะเป็นวิธีการที่แพทย์จะเลือกใช้ในกรณีที่มีความจำเป็น  เนื่องจากลูกไม่สามารถคลอดผ่านทางช่องคลอดได้ตามธรรมชาติด้วยความเสี่ยงที่อาจส่งผลเป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งตัวคุณแม่ และลูกในครรภ์   การผ่าคลอดจะผ่านการหารือและวางแผนร่วมกันของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดนานไหม หรือคลอดเองกับผ่าคลอดดีกว่ากัน เนื่องจากเทคโนโลยีการผ่าคลอดในปัจจุบัน มีความปลอดภัยสูงมาก 

 

การผ่าคลอด มีกี่แบบ

การผ่าคลอดนั้นสามารถแบ่งตามลักษณะของแผลออกเป็น 2 แบบได้แก่

1. การผ่าคลอดแนวขวาง หรือแนวบิกีนี่ที่มดลูกส่วนล่าง (Transverse)

เป็นการผ่าตัดคลอดโดยแพทย์จะทำการลงมีดผ่าตัดในแนวขวาง บนบริเวณมดลูกส่วนล่างที่เรียกว่า เส้นบิกีนี่ ซึ่งหมายถึงบริเวณเหนือหัวหน่าว โดยจะมีความยาวของแผลผ่าตัดประมาณ 12-15 ซม. เป็นรูปแบบการผ่าตัดคลอดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะบริเวณนี้มีเลือดมาเลี้ยงน้อย ทำให้เสียเลือดน้อยระหว่างการผ่าตัด และมีโอกาสเกิดอาการแผลแยกในครรภ์ต่อไปได้น้อย

 

2. การผ่าตัดในแนวตั้งที่มดลูกส่วนล่าง (Vertical Midline incision)

เป็นการผ่าตัดคลอดโดยที่แพทย์จะทำการลงมีดผ่าตัดเป็นแนวตรงที่มดลูกตอนบน จากบริเวณใต้สะดือลงมาถึงเหนือหัวหน่าวเพื่อทำการเอาทารกออกจากครรภ์ แม้จะเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่วิธีการนี้ไม่ได้รับความนิยมนักในปัจจุบัน เนื่องจากบริเวณที่ทำการผ่าตัดเป็นบริเวณที่เนื้อมดลูกหนา มีเลือดมาเลี้ยงมาก ทำให้เสียเลือดมากระหว่างผ่าตัด

 

การผ่าคลอด มีกี่แบบ ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที

 

3 ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าคลอด คุณแม่ควรรู้อะไรบ้าง

ก่อนจะเข้ารับการผ่าคลอด คุณแม่ต้องเตรียมตัวทำความพร้อมก่อนทำการผ่าตัดดังนี้

  1. คุณแม่ต้องเตรียมความพร้อมทางร่างกายก่อนการผ่าตัด โดยจะมีการตรวจเลือด หรือตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ เพื่อสำรวจความพร้อมของคุณแม่และลูกในครรภ์
  2. คุณแม่ต้องแจ้งประวัติที่จำเป็นต่อการรักษาให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประวัติการแพ้ยา ประวัติการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ
  3. คุณแม่ต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด 

 

คลอดเองหรือผ่าคลอดดีกว่ากัน

หากจะถามว่าการผ่าคลอด หรือคลอดธรรมชาติวิธีไหนที่ดีกว่ากัน ก็ต้องตอบตามตรงว่า การคลอดบุตรเป็นหนึ่งในกระบวนการตามธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นการคลอดธรรมชาติย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าการผ่าคลอดเป็นสิ่งไม่ดี สุดท้ายแล้วจะเลือกวิธีการคลอดบุตรแบบไหนนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะทางร่างกายของคุณแม่  และแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ ที่พิจารณาปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ในการคลอดบุตร และได้วางแผนการคลอดที่เหมาะสมกับสภาพความพร้อมต่าง ๆ ในแต่ละบุคคลไปนั่นเอง

 

กรณีไหนบ้างที่คุณแม่จำเป็นต้องผ่าคลอด

กรณีที่แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ตัดสินใจเลือกวิธีการคลอดบุตรด้วยการผ่าคลอดนั้น มักจะเกิดจากสาเหตุ และปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการคลอดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กรณีที่เกิดจากความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น ตำแหน่งศีรษะลูกในท้องผิดปกติ หมุนผิดตำแหน่ง ไม่กลับตัวลงมา ลูกในครรภ์ไม่แข็งแรงมีความเสี่ยงที่จะขาดออกซิเจนขณะเจ็บท้องคลอด เป็นต้น หรือความผิดปกติของคุณแม่ที่อาจทำให้เกิดอันตรายระหว่างการคลอดบุตรเช่น คุณแม่ไม่มีแรงเบ่ง รกเกาะต่ำขวางปากมดลูก รวมถึงกรณีที่คุณแม่มีโรคประจำตัวบางโรค  ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากคลอดธรรมชาติ เป็นต้น

 

คุณแม่ต้องรอให้เจ็บท้องก่อนไหมจึงผ่าคลอดได้

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณแม่สงสัย ว่าจำเป็นจะต้องให้เจ็บท้องก่อนไหมจึงจะสามารถทำการผ่าคลอดได้ คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์  หากคุณหมอได้ประเมิณ และวางแผนการคลอดบุตรด้วยการผ่าคลอดได้แล้ว ก็สามารถดำเนินการตามกำหนดการที่ได้นัดหมายไว้ได้เลย 

 

อาการผิดปกติหลังการผ่าคลอด ที่ควรพบแพทย์

นอกจากการเตรียมตัวก่อนคลอดที่คุณแม่ต้องปฏิบัติแล้ว หลังจากผ่าคลอดแล้วคุณแม่ก็ยังต้องสังเกตอาการของตัวเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการหรืออาการอื่นใดที่ผิดปกติ ขอแนะนำให้รีบพบแพทย์โดยทันที ตัวอย่างความผิดปกติเช่น

  1. มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียสเป็นเวลาเกิน 24 ชั่วโมง
  2. มีเลือดออกจากทางช่องคลอดเป็นจำนวนมาก
  3. มีก้อนเลือดขนาดใหญ่ออกจากช่องคลอด
  4. น้ำคาวปลาไม่ไหลในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด
  5. ปวดท้องน้อยในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังคลอด
  6. มีอาการบวมแดง มีน้ำเหลืองไหลซึม หรือเป็นหนองบริเวณแผลผ่าตัด

 

คลอดเองและผ่าคลอด อาการผิดปกติหลังการผ่าคลอด ที่ควรพบแพทย์

 

ข้อดี-ข้อเสียของการคลอดเองและผ่าคลอด

ข้อดีของการผ่าคลอด

  • สามารถวางแผนการคลอดบุตรล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกังวลว่าผ่าคลอดนานไหม เพราะใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน
  • ลดความกังวล และความเครียดของคุณแม่ พร้อมต่อการคลอดบุตรมากยิ่งขึ้น
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังคลอดบุตร
  • ไม่เจ็บปวดระหว่างการทำคลอด เพราะระหว่างการผ่าคลอด แพทย์จะทำการบล็อกหลัง หรือให้คุณแม่ดมยาสลบ
  • คุณแม่สามารถทำหมันได้เลยหากต้องการ ไม่ต้องมาผ่าตัด หรือทำหัตถการทำหมันในภายหลัง

 

ข้อเสียของการผ่าคลอด

  • คุณแม่มักจะเจ็บแผลผ่าคลอดเป็นเวลานาน
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกมาก หรือติดเชื้อ เป็นต้น
  • ลูกจะพลาดโอกาสในการได้รับภูมิคุ้มกันตั้งต้นจากการคลอด มีควาามเสี่ยงสูงต่อการเกิดภูมิแพ้ หรือป่วยได้ง่าย
  • มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการคลอดแบบธรรมชาติ
  • หลังคลอดจะมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยได้ง่าย

 

ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ

  • ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันตั้งต้นจากจุลินทรีย์สุขภาพที่อาศัยอยู่บริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้ลูกมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตามธรรมชาติ
  • ไม่มีการผ่าตัด เสียเลือดน้อยกว่าการผ่าคลอด ลดความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ภาวะเลือดออกภายใน หรือการติดเชื้อ 
  • ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ คุณแม่สามารถกลับบ้านได้ภายในเวลา 2 วันหลังจากการคลอด
  • คุณแม่สามารถให้นมลูกได้ทันที
  • ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรไม่แพง
  • โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในการเจ็บครรภ์ครั้งต่อไปอย่างเช่น แผลมดลูกปริแตก มีน้อยลง

 

ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ

  • ไม่สามารถกำหนดวันคลอดได้อย่างแน่นอน ไม่สามารถวางแผนเตรียมตัวล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
  • มีความเสี่ยงต่อการเกินภาวะกลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่อยู่หลังคลอด จากเนื้อเยื่ออุ้งเชิงเกรานของคุณแม่ที่อาจเกิดการหย่อนได้
  • หากการคลอดยาก ต้องมีการใช้หัตถการ หรืออุปกรณ์ในการช่วยคลอด 
  • ต้องเจ็บปวดครรภ์เป็นระยะเวลานานขณะคลอด
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดการฉีกขาด หรือขยายตัวของปากมดลูก และช่องคลอดได้

 

คุณแม่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกผ่าคลอดได้อย่างไร

เนื่องจากลูกผ่าคลอดนั้น จะพลาดโอกาสในการได้รับภูมิคุ้มกันตั้งต้น แตกต่างจากเด็กคลอดธรรมชาติที่จะได้รับจากจุลินทรีย์สุขภาพที่อาศัยอยู่ในบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าเด็กคลอดธรรมชาติ แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณแม่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับลูกผ่าคลอดได้ ด้วยการเสริมโภชนาการที่ถูกต้องด้วยนมแม่ เพราะในน้ำนมแม่มีจุลินทรีย์สุขภาพหลากสายพันธุ์ เช่น  B. lactis ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ิ นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารอาหารสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายกว่า 200 ชนิด รวมไปถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการสมอง เช่น ดีเอชเอ เออาร์เอ รวมถึง สฟิงโกไมอีลิน มีส่วนช่วยในการสร้างไมอีลิน ทำให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้ไวขึ้น และสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

ทำไมการผ่าคลอด ถึงได้รับความนิยมมาก

  1. การผ่าคลอด มีความปลอดภัยสูง เพราะการผ่าคลอดจะผ่านการหารือและวางแผนร่วมกับของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน นอกจากนี้ เทคโนโลยีในการผ่าคลอดในปัจจุบัน มีความปลอดภัยสูงมาก 
  2. หลายคนอาจสงสัยว่าการผ่าคลอด ใช้เวลากี่นาที ซึ่งการผ่าคลอด สามารถกำหนดเวลาได้ หลังจากพ้นสัปดาห์ที่ 38 แล้ว คุณแม่สามารถมองหาฤกษ์ผ่าคลอด  เพื่อนำมาปรึกษาคุณหมอเพื่อกำหนดวันคลอดได้อย่างปลอดภัย
  3. การผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดนานไหม การผ่าตัดคลอดใช้เวลาไม่นาน ราว ๆ 45 นาที – 1 ชั่วโมงเท่านั้น 
  4. ลดความเจ็บปวดขณะเบ่งคลอด คุณหมอจะทำการบล็อกหลัง หรือวาง  ยาสลบให้คุณแม่ก่อนทำการผ่าตัด 
  5. ลดการยืดหย่อนของเชิงกราน เนื่องจากการเบ่งคลอดตามธรรมชาติ จะมีผลต่อการยืดของเส้นเอ็นยึด กระบังลม และเชิงกราน 

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการผ่าคลอด

  1. หากท้องแรกมี การผ่าคลอด ท้องถัด ๆ ไป คุณหมอจะแนะนำให้ผ่าคลอดอีกครั้ง 
  2. การผ่าคลอด ทำได้ไม่เกิน 3 ครั้ง 
  3. ภายหลังการผ่าคลอด คุณแม่จะฟื้นตัวภายใน 12 ชั่วโมง และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 4 - 5 วัน 
  4. การดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว ต้องไม่โดนน้ำ ห้ามยกของหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้แผลปริแตก ติดเชื้อ หรืออักเส บ 
  5. แผลผ่าคลอด ใช้เวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ จึงจะปิดสนิทและหายดี
  6. แผลผ่าคลอด อาจทำให้ร่างกายของแม่ พร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ ช้ากว่าการคลอดธรรมชาติ

 

คุณแม่มือใหม่คงเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าคลอด และ การผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที รวมถึงขั้นตอนในการผ่าคลอดที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ รวมถึงประเภทของการคลอด นอกจากนี้ก่อนที่จะถึงกำหนดคลอดเจ้าตัวเล็ก คุณแม่มือใหม่อย่าลืมจัดกระเป๋าเตรียมของก่อนคลอด  ไปด้วยนะคะ เพื่อความสะดวกสบาย เมื่อต้องเตรียมตัวเดินทางไปคลอดเจ้าตัวเล็ก

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด

 

 

อ้างอิง

  • คำแนะนำเรื่อง การผ่าตัดคลอดเด็กออกทางหน้าท้อง, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  • Grönlund MM, et al. Clin Exp Allergy. 2007 Dec;37(12):1764-72
  • Floch MH, et. al. J Clin Gastroenterol. 2015 Nov-Dec;49 Suppl 1:S69-73

อ้างอิง ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2566
 

บทความแนะนำ

ผ่าคลอดโรงพยาบาลรัฐดีไหม แพงหรือเปล่า แล้วคุณแม่ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง

ผ่าคลอดโรงพยาบาลรัฐดีไหม แพงหรือเปล่า แล้วคุณแม่ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง

ผ่าคลอดโรงพยาบาลรัฐราคาเท่าไหร่ ผ่าคลอดใช้สิทธิบัตรทองได้ไหม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง คำถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการคลอดที่คุณแม่เตรียมคลอดธรรมชาติและผ่าคลอดอยากรู้

คนท้องกินโกโก้ได้ไหม คุณแม่ท้องกินโกโก้ส่งผลอะไรกับลูกในท้องบ้าง

คนท้องกินโกโก้ได้ไหม คุณแม่ท้องกินโกโก้ส่งผลอะไรกับลูกในท้องบ้าง

คนท้องกินโกโก้ได้ไหม กินโกโก้แล้วอันตรายกับลูกในครรภ์หรือเปล่า โดยเฉพาะคุณแม่ที่ชอบกินน้ำหวาน น้ำชง คนท้องกินโกโก้ได้ไหม ควรกินวันละกี่แก้ว ปริมาณเท่าไหร่ ไปดูกัน

เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน ช่วยบำรุงครรภ์ให้แข็งแรง คุณแม่ทำตามได้

เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน ช่วยบำรุงครรภ์ให้แข็งแรง คุณแม่ทำตามได้

รวมเมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน เมนูสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรง เมนูอาหารสําหรับคนท้อง 1-3 เดือน ทำเองได้เลยที่บ้าน

คนท้องกินแตงโมได้ไหม คุณแม่กินแตงโมอย่างไรให้ดีกับลูกในครรภ์

คนท้องกินแตงโมได้ไหม คุณแม่กินแตงโมอย่างไรให้ดีกับลูกในครรภ์

คนท้องกินแตงโมได้ไหม ในแตงโมมีสารอาหารอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ต้องกินเท่าไหร่ถึงพอดี ช่วยบำรุงครรภ์คุณแม่

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม มีผลต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยหรือไม่

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม มีผลต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยหรือไม่

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม คนท้องกินขนุนได้ไหม หากกินเยอะมากเกินไป อันตรายกับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์แค่ไหน ปริมาณเท่าไหร่ถึงเหมาะสมสำหรับแม่ตั้งครรภ์

คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินเยอะไป ส่งผลอะไรกับคุณแม่และลูกบ้าง

คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินเยอะไป ส่งผลอะไรกับคุณแม่และลูกบ้าง

คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม หากคุณแม่ในปริมาณที่เยอะเกินไป จะส่งผลเสียอะไรกับคุณแม่และลูกบ้าง กินน้ำมะพร้าวมาก เสี่ยงแท้งลูกจริงไหม ไปหาคำตอบกัน

คนท้องกินหน่อไม้ได้ไหม คุณแม่ต้องกินแบบไหนถึงจะปลอดภัยกับลูกในท้อง

คนท้องกินหน่อไม้ได้ไหม คุณแม่ต้องกินแบบไหนถึงจะปลอดภัยกับลูกในท้อง

คนท้องกินหน่อไม้ได้ไหม คุณแม่ท้องกินหน่อไม้เยอะ จะเป็นอันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า ไปดูสารอาหารสำคัญในหน่อไม้และประโยชน์ของหน่อไม้ที่คนท้องควรรู้กัน