ผ่าคลอดเจ็บไหม? เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมรับมือและฟื้นตัวเร็ว

ผ่าคลอดเจ็บไหม? เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมรับมือและฟื้นตัวเร็ว

ผ่าคลอดเจ็บไหม ? คำถามยอดฮิตที่คุณแม่มือใหม่มักจะกังวลใจกัน แม้การคลอดธรรมชาติจะเป็นวิธีการคลอดที่ดี แต่บางครั้งคุณหมอก็อาจแนะนำการคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อย ปัจจุบันการผ่าคลอดเป็นวิธีคลอดที่นิยม เพราะคุณแม่สามารถกำหนดฤกษ์วันเวลาคลอดที่พร้อมได้ ซึ่งช่วยให้วางแผนและเตรียมพร้อมต้อนรับลูกน้อยได้อย่างสบายใจ เพื่อให้คุณแม่คลายความกังวลและผ่าคลอดได้อย่างราบรื่น

ผ่าคลอดเจ็บไหม? เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมรับมือและฟื้นตัวเร็ว

คำถามที่พบบ่อย

เคยผ่าคลอดแล้ว ท้องต่อไปคลอดเองได้ไหม?

คุณแม่ที่เคยผ่าคลอดแล้วสามารถคลอดธรรมชาติในท้องต่อไปได้ หรือที่เรียกว่า VBAC (Vaginal Birth after Cesarean) ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและนิยมปฏิบัติกันทั่วโลก โดยแพทย์ส่วนใหญ่ รวมถึงสมาคมสูตินรีแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (ACOG) ก็แนะนำให้คุณแม่ที่เข้าเกณฑ์ลองคลอดด้วยวิธีนี้

แม้จะมีความเสี่ยง เช่น โอกาสที่มดลูกจะฉีกขาดซึ่งพบได้น้อยมาก (เพียง 1% หรือน้อยกว่านั้น) แต่การตัดสินใจว่าจะคลอดด้วยวิธีใด ยังคงต้องอยู่ในดุลยพินิจของสูตินรีแพทย์ ซึ่งจะเป็นผู้ประเมินความพร้อมและความเหมาะสมของคุณแม่เป็นรายบุคคล

การผ่าคลอดส่งผลต่อสุขภาพหรือภูมิคุ้มกันของลูกในระยะยาวหรือไม่ ?

การผ่าคลอดอาจส่งผลต่อสุขภาพและภูมิคุ้มกันของลูกในระยะยาวได้ โดยลูกที่ผ่าคลอดมีแนวโน้มที่จะมีระบบภูมิคุ้มกันแตกต่างไปจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ และอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่มีประวัติครอบครัวหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ที่ผ่าคลอดสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยได้ ด้วยการให้ นมแม่ ซึ่งมีสารอาหารสำคัญ เช่น แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) และจุลินทรีย์สุขภาพอย่าง บี แล็กทิส (B. lactis) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หากคุณแม่ยังมีความกังวลหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการดูแลลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม

ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ สามารถขอผ่าคลอดเองได้หรือไม่?

ในปัจจุบันการผ่าคลอดถือว่าเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง ทำให้ทั้งแพทย์และคุณแม่หลายท่านนิยมการผ่าคลอดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากเดิมที่ผ่าคลอดด้วยเหตุผลทางการแพทย์เป็นหลัก ตอนนี้ก็มีเหตุผลอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา เช่น เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด, สามารถกำหนดวันคลอดได้ หรือแม้แต่ความกังวลว่าช่องคลอดจะฉีกขาดหรือหลวมหลังคลอด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกวิธีคลอดเป็นหน้าที่ของสูตินรีแพทย์ ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างละเอียดก่อน

สรุป

  • การผ่าคลอด หรือที่เรียกว่า C-section (Cesarean Section) คือการที่คุณหมอจะผ่าตัดเพื่อนำลูกน้อยออกมา โดยจะผ่าบริเวณระหว่างผนังหน้าท้องส่วนล่างและมดลูกของคุณแม่ และการผ่าคลอดจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
  • การผ่าคลอด มีวิธีช่วยลดความเจ็บปวดอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือ การดมยาสลบ และ การบล็อกหลัง
  • การบล็อกหลังให้กับคุณแม่ ซึ่งเป็นการที่วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลังบริเวณหลังส่วนล่าง ทำให้ร่างกายช่วงล่างชาและไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการผ่าคลอด การบล็อกหลังจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้นมากในระหว่างการผ่าตัด และยังช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่าคลอดได้อีกด้วย
  • การดมยาสลบจะช่วยระงับความรู้สึกของคุณแม่ ทำให้หมดสติและไม่รู้สึกเจ็บปวดตลอดการผ่าตัดคลอด วิธีนี้จะช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลหรือเครียดระหว่างการผ่าคลอด

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

คลอดธรรมชาติ vs ผ่าคลอด ต่างกันอย่างไร

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนคงเริ่มกังวลกับวิธีคลอดใช่ไหมคะ? โดยเฉพาะคำถามยอดฮิตอย่าง "ผ่าคลอดเจ็บไหม" หรือควรจะเลือกคลอดด้วยวิธีไหนดีระหว่างคลอดธรรมชาติกับผ่าคลอด ซึ่งสูตินรีแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีคลอดที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณแม่แต่ละท่านค่ะ หากคุณแม่มีสุขภาพที่พร้อมสำหรับการคลอดทั้งสองแบบ การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ เราจึงได้สรุปข้อมูลสำคัญมาให้ดังนี้

  • ตารางเปรียบเทียบ คลอดธรรมชาติ VS ผ่าคลอค

วิธีการคลอด

คลอดธรรมชาติ

ผ่าคลอด

ข้อดี
  • เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง
  • ฟื้นตัวเร็วหลังคลอด
  • เจ็บแผลน้อยและเสียเลือดน้อย
  • แผลมีขนาดเล็ก
  • พร้อมให้นมลูกได้ทันที
  • ไม่มีผลกระทบต่อครรภ์ถัดไป
  • ลูกน้อยภูมิคุ้มกันแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย
  • พักฟื้นหลังคลอดที่โรงพยาบาล ไม่นานมาก
  • เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
  • มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ไม่รู้สึกเจ็บขณะคลอด
  • สามารถทำหมันได้เลย
  • กำหนดเวลาคลอดได้
ข้อเสีย
  • ไม่สามารถกำหนดวันคลอดได้
  • ใช้เวลาคลอดยาวนาน
  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน จนทำให้ต้องผ่าคลอดฉุกเฉิน
  • ฟื้นตัวช้าหลังคลอด
  • ไม่สามารถให้นมลูกได้ทันที
  • เสียเลือดมาก
  • เจ็บแผลผ่าคลอดนาน
  • เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากการให้ ยาสลบ หรือการบล็อกหลัง
  • ภูมิคุ้มกันที่ไม่สมบูรณ์
  • พักฟื้นหลังคลอดที่โรงพยาบาล 2-4 วัน

 

ค่าใช้จ่ายในการคลอด ทั้งการคลอดธรรมชาติและผ่าคลอด จะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงพยาบาล ทั้งของรัฐและเอกชน โดยทั่วไปแล้วการผ่าคลอดจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า คุณแม่สามารถสอบถามค่าใช้จ่ายโดยประมาณได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปฝากครรภ์ เพื่อจะได้วางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสมค่ะ

 

คลอดธรรมชาติ VS การผ่าคลอด ต่างกันอย่างไร

 

การคลอดธรรมชาติ คืออะไร

ว่าที่คุณแม่มือใหม่หลายคนคงสงสัยว่า การคลอดธรรมชาติ คืออะไร เป็นการคลอดแบบไหนใช่ไหมคะ สำหรับการคลอดธรรมชาติ (Natural birth หรือ Active Birth) คือการคลอดปกติที่คุณแม่ให้กำเนิดลูกน้อยด้วยตัวเองผ่านช่องคลอด เมื่ออายุครรภ์ครบ 37-42 สัปดาห์ โดยลูกน้อยจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวอยู่ในท่ากลับศีรษะเข้าสู่เชิงกรานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดค่ะ

คุณแม่หลายท่านอาจกังวลเรื่องความเจ็บปวดระหว่างคลอด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ความเจ็บจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการบีบตัวของมดลูกและร่างกายของคุณแม่ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะในปัจจุบันมีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ เช่น การฉีดยาลดปวด หรือการฉีดยาชาเฉพาะจุด และอีกหนึ่งวิธีที่นิยมคือ การบล็อกหลัง โดยวิสัญญีแพทย์ ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ตั้งแต่ระยะรอคลอด ไปจนถึงขั้นตอนการตัดฝีเย็บ ทำให้คุณแม่รู้สึกสบายตัวขึ้นและมีสมาธิกับการคลอดได้อย่างเต็มที่ค่ะ

 

การคลอดธรรมชาติ กี่วันแผลถึงหาย

หลังจากคลอดธรรมชาติ อาการปวดแผลตรงบริเวณฝีเย็บของคุณแม่จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปในไม่ช้าค่ะ โดยปกติแล้วอาการปวดจะน้อยลงภายใน 3-4 วัน และจะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ คุณแม่สามารถให้นมลูกน้อยได้ทันทีหลังคลอดนะคะ เพราะแผลฝีเย็บมีขนาดเล็กและไม่ส่งผลกระทบต่อการให้นม ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นกระตุ้นน้ำนมได้อย่างดีเลยค่ะ และระหว่างที่กลับมาบ้านอยู่ในช่วงพักฟื้นหากคุณแม่มีอาการผิดปกติหลังคลอด เช่น มีไข้ แผลฝีเย็บบวม แดง มีหนอง ปัสสาวะแสบขัด หรือน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น ควรรีบไปพบคุณหมอทันทีนะคะ

 

การผ่าคลอด คืออะไร

คุณแม่เคยสงสัยไหมคะว่า การผ่าคลอด คืออะไร? สำหรับการผ่าคลอด หรือที่เรียกว่า Cesarean Section (C-Section) พูดง่ายๆ ก็คือการที่คุณหมอผ่าตัดที่บริเวณระหว่างหน้าท้องและมดลูกเพื่อนำลูกน้อยออกมา แทนที่จะคลอดตามธรรมชาติทางช่องคลอดนั่นเองค่ะ  สมัยก่อนการผ่าคลอดอาจจะดูน่ากังวล แต่ในปัจจุบันวิธีนี้ถือว่าปลอดภัยและเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางการแพทย์หรือเหตุผลส่วนตัวของคุณแม่เองก็ตามค่ะ

โดยทั่วไปคุณหมอจะแนะนำให้ผ่าคลอดในสถานการณ์ที่การคลอดธรรมชาติอาจไม่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่หรือลูกน้อย เช่น ภาวะที่ทำให้คลอดธรรมชาติได้ยาก   ได้แก่

  • เชิงกรานของคุณแม่มีขนาดเล็ก
  • ลูกน้อยอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมสำหรับการคลอด
  • มีภาวะครรภ์แฝด
  • คุณแม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือรกเกาะต่ำ
  • มีภาวะฉุกเฉิน ที่ต้องรีบช่วยชีวิตลูกน้อย เช่น หัวใจของลูกเต้นผิดปกติ หรือลูกมีภาวะขาดอากาศ

 

นอกจากเหตุผลทางการแพทย์แล้ว คุณแม่หลายท่านก็ตัดสินใจผ่าคลอดด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง เช่น

  • ไม่ต้องการเจ็บปวด จากการคลอดธรรมชาติ
  • สามารถกำหนดวันคลอดได้ ทำให้วางแผนได้สะดวก
  • กังวลเรื่องความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อย่างเช่น ช่องคลอดฉีกขาดหรือหย่อนคล้อยหลังคลอด

 

ไม่ว่าจะเลือกการคลอดแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยและความสบายใจของคุณแม่และลูกน้อยนะคะ การพูดคุยกับคุณหมออย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีการคลอดลูกจะช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจได้ดีที่สุดค่ะ

 

แผลผ่าคลอด มีลักษณะอย่างไร

คุณแม่หลายท่านอาจจะกังวลเรื่องแผลผ่าคลอดใช่ไหมคะ? เรามาดูกันค่ะว่าแผลผ่าคลอดเป็นอย่างไร เพื่อจะได้คลายความกังวลลงได้บ้าง โดยปกติแล้ว แผลผ่าคลอดจะเป็นรอยผ่าที่หน้าท้องมีความยาวประมาณ 4-6 นิ้ว ซึ่งมี 2 ลักษณะหลักๆ คือ

  • แผลแนวนอน: จะอยู่บริเวณขอบกางเกงชั้นใน เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะแผลจะดูสวยงามกว่าและซ่อนได้ง่าย
  • แผลแนวตั้ง: จะอยู่ใต้สะดือลงมา มักใช้ในกรณีที่คุณหมอต้องรีบผ่าตัดเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

 

หลังจากผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ แผลภายนอกก็จะเริ่มสมานกัน ส่วนแผลภายในจะใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ในช่วงแรกแผลจะเป็นสีแดงอมม่วง แต่ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน แผลจะค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาวและเรียบเนียนไปเองค่ะ หากคุณแม่มีข้อสงสัยหรือกังวลเรื่องแผลผ่าคลอดสามารถปรึกษาคุณหมอได้เลยนะคะ

 

ผ่าคลอดได้ตอนกี่สัปดาห์ถึงจะปลอดภัยที่สุด

คุณแม่หลายคนคงสงสัยว่า ผ่าคลอดได้ตอนกี่สัปดาห์ ถึงจะปลอดภัยที่สุดใช่ไหมคะ?

โดยปกติแล้ว หากคุณแม่ไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ต้องผ่าคลอดฉุกเฉิน คุณหมอจะพิจารณาถึงความพร้อมและพัฒนาการที่สมบูรณ์ของลูกน้อย รวมถึงสุขภาพของคุณแม่เป็นหลักค่ะ ดังนั้น หากมีการวางแผนผ่าคลอดล่วงหน้า คุณหมอจะนัดวันผ่าคลอดในช่วงอายุครรภ์ 38 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าลูกน้อยมีการพัฒนาที่สมบูรณ์เต็มที่และพร้อมออกมาเจอโลกกว้างได้อย่างปลอดภัยที่สุดค่ะ

 

ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที

คุณแม่หลายคนคงสงสัยว่าการผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ใช่ไหมคะ? ปกติแล้วขั้นตอนการผ่าคลอดจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงค่ะ หลังจากที่ผ่าคลอดเสร็จ คุณแม่ยังต้องอยู่ในห้องผ่าตัดต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการหลังผ่าตัด หากคุณแม่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ คุณหมอถึงอนุญาตให้ย้ายกลับไปพักที่ห้องพักฟื้น เพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่ค่ะ

 

การผ่าคลอดเจ็บไหม ต้องบล็อกหลังหรือเปล่า

คุณแม่หลายท่านคงกังวลเรื่องความเจ็บปวดระหว่างผ่าคลอดและแผลหลังคลอดใช่ไหมคะ? ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เพราะปัจจุบันมีวิธีช่วยลดความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีที่นิยมใช้กันคือ การบล็อกหลัง (Spinal Anesthesia) ซึ่งเป็นการที่วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลังบริเวณหลังส่วนล่าง ทำให้ร่างกายช่วงล่างชาและไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการผ่าคลอด โดยจะมีวิสัญญีแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาค่ะ การบล็อกหลังจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้นมากในระหว่างการผ่าตัด และยังช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่าคลอดได้อีกด้วยค่ะ

 

การผ่าคลอดมีกี่แบบ

คุณแม่หลายท่านอาจจะเคยได้ยินแต่คำว่า "ผ่าคลอด" แต่รู้ไหมคะว่าจริงๆ แล้ว การผ่าคลอดมีหลายแบบเลยค่ะ ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่แต่ละคน ในที่นี้เราจะมาทำความรู้จักกับวิธีการผ่าคลอดที่นิยมใช้กันนะคะ

  1. การผ่าตัดคลอดแบบเปิดแผลแนวตั้ง (Lower midline incision): คุณหมอจะเปิดแผลเป็นแนวยาวจากใต้สะดือลงมา วิธีนี้ช่วยให้เข้าถึงช่องท้องได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องรีบทำคลอดเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
  2. การผ่าตัดคลอดแบบเปิดแผลแนวนอน (Pfannenstiel incision): คุณหมอจะเปิดแผลเป็นแนวขวางตามแนวบิกินี วิธีนี้ได้รับความนิยมมากเพราะแผลจะดูสวยงามกว่า และเจ็บปวดน้อยกว่าหลังการผ่าตัด แต่มีข้อเสียคืออาจจะใช้เวลาผ่าตัดนานกว่าแบบแนวตั้งเล็กน้อย
  3. การผ่าตัดคลอดแบบเปิดแผลแนวนอนสูงกว่าปกติ (Maylard incision): เป็นการเปิดแผลแนวนอนคล้ายกับแบบ Pfannenstiel แต่จะสูงกว่าและกว้างกว่าเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอมองเห็นช่องท้องได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

 

ไม่ว่าจะเป็นการผ่าคลอดแบบไหน คุณแม่ก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าคุณหมอจะเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุดสำหรับทั้งคุณแม่และลูกน้อยค่ะ

 

การเตรียมตัวผ่าคลอดที่คุณแม่ควรรู้

คุณแม่ที่กำลังจะผ่าคลอดไม่ต้องกังวลไปนะคะ เรามาดูกันว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ เมื่อคุณแม่เข้าพักที่โรงพยาบาลแล้ว คุณหมอและพยาบาลจะเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ค่ะ

  1. ประเมินสุขภาพ: พยาบาลจะเข้ามาซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ รวมถึงอาการต่างๆ ที่คุณแม่อาจมี
  2. เซ็นเอกสาร: คุณแม่จะได้รับเอกสารเพื่อลงนามยินยอมเข้ารับการรักษาและการผ่าตัด พร้อมทั้งคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับขั้นตอนและโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  3. ติดตามอาการ: พยาบาลจะเข้ามาตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจลูกน้อยในครรภ์ รวมถึงอาการของคุณแม่ เช่น ท้องแข็ง หรือน้ำเดิน เป็นระยะๆ ทุก 4 ชั่วโมง
  4. เจาะเลือด: เพื่อเตรียมเลือดสำรองไว้ในกรณีที่ต้องใช้ระหว่างการผ่าตัด
  5. เตรียมตัวก่อนวันผ่าตัด:
    • คุณแม่จะได้รับน้ำยาสำหรับอาบน้ำและสระผม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด
    • คืนก่อนวันผ่าตัด ต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน
  6. เช้าวันผ่าตัด:
    • พยาบาลจะโกนขนบริเวณหน้าท้องและฝีเย็บ และอาจมีการสวนอุจจาระด้วย
    • คุณแม่จะเปลี่ยนเป็นชุดผ่าตัด และต้องถอดเครื่องประดับ ฟันปลอม คอนแทคเลนส์ รวมถึงล้างยาทาเล็บออกทั้งหมด
    • จะมีการใส่สายสวนปัสสาวะและให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ซึ่งสายสวนปัสสาวะจะใส่ไว้จนถึงหลังผ่าตัดประมาณ 1 วันค่ะ

 

การเตรียมตัวทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่และลูกน้อยค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือไม่สบายใจตรงไหน สามารถสอบถามคุณหมอและพยาบาลได้ตลอดเลยนะคะ

 

รวมคำถามที่แม่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าคลอด

การผ่าคลอดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณแม่หลายคนเลือกใช้ แต่ก็มักจะมาพร้อมกับคำถามมากมายในใจ จึงได้รวบรวมทุกคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการผ่าคลอดมาไว้ให้คุณแม่ได้คลายความกังวลและเตรียมตัวอย่างมั่นใจค่ะ

วิธีช่วยลดความเจ็บปวด ก่อนคุณแม่ผ่าคลอด

คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บปวดระหว่างการผ่าคลอดเลยนะคะ เพราะปัจจุบันมีวิธีช่วยลดความเจ็บปวดอยู่ 2 วิธีหลักๆ ซึ่งคุณหมอจะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณแม่ค่ะ

1. การดมยาสลบ

วิธีนี้จะทำให้คุณแม่หลับไปตลอดการผ่าตัดเลยค่ะ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กลัวบรรยากาศในห้องผ่าตัดหรือรู้สึกวิตกกังวลมากๆ

ข้อดี: 

คุณแม่จะหลับสบาย ไม่ต้องกลัว ไม่เครียด และคุณหมอสามารถควบคุมการหายใจและระบบต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสีย:

  • อาจรู้สึกปวดแผลมากกว่าการบล็อกหลังเมื่อฤทธิ์ยาหมดลง
  • อาจมีอาการระคายคอหรือเจ็บคอจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
  • หลังฟื้นตัวอาจมีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือมึนงง
  • ในบางกรณี ยาสลบอาจส่งผลให้ลูกน้อยฟื้นตัวช้ากว่าปกติเล็กน้อย

 

2. การบล็อกหลัง

วิธีนี้วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ทำให้ร่างกายช่วงล่างตั้งแต่กลางลำตัวลงไปชา คุณแม่จะยังรู้สึกตัวอยู่ แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวดค่ะ

ข้อดี:

  • คุณแม่จะยังรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงลูกน้อยเป็นครั้งแรกทันทีหลังคลอด
  • ฤทธิ์ยาชาจะช่วยระงับความเจ็บปวดหลังผ่าคลอดได้ดีกว่าการดมยาสลบ

 

ข้อเสีย:

  • หลังผ่าคลอดอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สั่น หรือคันตามตัวได้
  • ช่วง 2-4 ชั่วโมงแรก อาจจะยังไม่สามารถขยับขาได้
  • ในช่วง 12 ชั่วโมงแรกหลังคลอด คุณแม่อาจรู้สึกปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเป็นเช่นนั้น คุณหมอจะเข้ามาดูแลด้วยการสวนปัสสาวะให้ค่ะ
  • ในบางรายอาจมีอาการปวดหลังเล็กน้อยในช่วงแรก

 

ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน คุณหมอจะเลือกสิ่งที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่และลูกน้อยเสมอค่ะ หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถปรึกษาคุณหมอได้เลยนะคะ  

 

ลูกนั่งบนท้องคุณแม่ที่มีรอยแผลผ่าคลอด

 

คุณแม่ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง

สงสัยใช่ไหมคะว่า คุณแม่ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง กันแน่ ? จริงๆ แล้วการผ่าคลอดสามารถทำได้หลายครั้งค่ะ แต่มีข้อควรรู้คือ หากคุณแม่ผ่าคลอดเกิน 3 ครั้งขึ้นไป ความเสี่ยงในการผ่าตัดจะเริ่มสูงขึ้นนะคะ เหตุผลก็คือ ทุกครั้งที่มีการผ่าตัด จะเกิดพังผืด ซึ่งเป็นเหมือนแผลเป็นภายในขึ้นมาค่ะ พังผืดเหล่านี้จะไปดึงรั้งอวัยวะภายในที่อยู่ใกล้กับมดลูกให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทำให้ในการผ่าตัดครั้งต่อๆ ไป คุณหมออาจมีความเสี่ยงที่จะผ่าไปโดนอวัยวะข้างเคียงได้ง่ายขึ้นค่ะ อวัยวะที่ต้องระวังเป็นพิเศษก็คือ กระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหารนั่นเองค่ะ

 

วิธีการดูแลแผลผ่าคลอดให้แผลสวยและหายเร็ว

คุณแม่ทุกคนคงอยากให้แผลผ่าคลอดหายเร็วและสวยใช่ไหมคะ? ไม่ต้องกังวลค่ะ เรามีวิธีดูแลแผลผ่าคลอดง่ายๆ ที่คุณแม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองมาฝากค่ะ

1. ดูแลแผลให้แห้งสะอาดเสมอ

ช่วง 7 วันแรกหลังผ่าคลอด พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำโดยตรงนะคะ คุณหมออาจจะใช้พลาสเตอร์กันน้ำปิดแผลไว้ให้ ซึ่งคุณแม่สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ระวังอย่าให้พลาสเตอร์เปียกจนน้ำซึมเข้าไปนะคะ ถ้าแผลเปียกควรรีบเปลี่ยนพลาสเตอร์ใหม่ทันทีค่ะ หลังจากตัดไหมเรียบร้อยแล้ว ควรปล่อยให้แผลแห้งเอง และอย่าแกะหรือเกาแผลเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทิ้งรอยแผลเป็นได้ค่ะ

2. เลี่ยงการยกของหนัก

ในช่วง 3 เดือนแรก แนะนำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกแรงเยอะๆ นะคะ เพราะการดึงรั้งแผลจะทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมามากเกินไป จนอาจทำให้เกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ค่ะ

3. ทานอาหารที่มีประโยชน์

คุณแม่ควรเน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มี โปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วต่างๆ เพราะโปรตีนเป็นตัวช่วยสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้นค่ะ ที่สำคัญควรเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ

4. ทาครีมบำรุงผิว

เมื่อแผลแห้งสนิทดีแล้ว คุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอก่อนเริ่มทาครีมบำรุงผิวหรือยาทาลดรอยแผลเป็นนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่เอง หากแพทย์แนะนำให้ทาครีม  การทาครีมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงและนุ่มขึ้นค่ะ การดูแลตัวเองหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ ถ้าคุณแม่ใส่ใจดูแลแผลตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ แผลก็จะหายเร็วและสวยงามแน่นอนค่ะ

 

หลังจากได้ทำความรู้จักกับการผ่าคลอดและการเตรียมตัวกันไปแล้ว คุณแม่หลายท่านอาจจะยังกังวลว่าลูกน้อยที่คลอดด้วยวิธีผ่าคลอดจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนเด็กที่คลอดธรรมชาติหรือไม่ใช่ไหมคะ? คุณแม่สบายใจได้เลยค่ะ ด้วยการให้นมแม่ ที่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและระบบภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยที่ผ่าคลอดโดยนมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิดที่สนับสนุนการเจริญเติบโตของลูกน้อยทั้งทางร่างกายและสมอง โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญอย่าง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ของลูกเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงมีจุลินทรีย์สุขภาพอย่างเช่น บี แล็กทิส (B. lactis) ซึ่งเป็นโพรไบโอติกที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรงตั้งแต่แรกเกิดอีกด้วยค่ะ

หากคุณแม่มีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังคลอดหรือการให้นมบุตร สามารถปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญได้เสมอเลยนะคะ

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่