
เจ็บแผลผ่าคลอด แบบไหนอันตราย? พร้อม 15 วิธีดูแลตัวเองให้แผลหายไว
คำถามที่พบบ่อย
สามารถอาบน้ำได้ตามปกติหลังผ่าคลอดหรือไม่ และต้องดูแลแผลอย่างไรเป็นพิเศษขณะอาบน้ำ?
ในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าคลอด แนะนำให้คุณแม่เช็ดตัวแทนการอาบน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงที่แผลจะเปียกและติดเชื้อ แต่ถ้าใช้พลาสเตอร์ชนิดกันน้ำปิดแผลไว้ คุณแม่สามารถอาบน้ำ สระผมได้ตามปกติ ให้สายน้ำไหลผ่านพลาสเตอร์ได้เลยโดยที่แผลไม่เปียก สิ่งสำคัญคืออย่าให้แผลอับชื้น และควรหลีกเลี่ยงการแช่อ่างอาบน้ำ หลังอาบน้ำซับบริเวณพลาสเตอร์ให้แห้งเบา ๆ และคอยสังเกตเสมอว่ามีน้ำซึมหรือไม่ ถ้าเห็นว่าแผลเปียกหรือน้ำเข้าไปใต้พลาสเตอร์ แนะนำให้เปลี่ยนพลาสเตอร์ใหม่ทันทีเพื่อป้องกันการอับชื้นค่ะ เมื่อถึงช่วงที่ตัดไหมแล้ว ให้แผลได้แห้งเองตามธรรมชาติ อย่าเผลอเกาหรือแกะสะเก็ด เพราะอาจทำให้แผลทิ้งรอยเข้มและหายช้าลงได้ โดยทั่วไปแผลผ่าคลอดจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์จึงเริ่มสมาน คุณแม่ค่อย ๆ ดูแลไปทีละขั้น แผลก็จะหายดีและปลอดภัยค่ะ
การใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอด ช่วยลดอาการเจ็บแผลผ่าคลอดได้จริงหรือไม่ และควรใช้อย่างไรให้ปลอดภัย?
การใช้ผ้ารัดหน้าท้องสามารถช่วยพยุงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ลดการกดทับจากผิวที่หย่อนคล้อย และช่วยให้แผลผ่าคลอดไม่ถูกดึงรั้งมากเกินไป อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลผ่าคลอดขณะขยับตัว ไอ จาม หรือทำกิจวัตรประจำวัน รวมถึงช่วงที่ต้องอุ้มและดูแลทารกแรกเกิด ทำให้คุณแม่รู้สึกสบายและเคลื่อนไหวได้มั่นใจขึ้น ควรสวมผ้ารัดหน้าท้องให้กระชับพอดี ไม่แน่นจนเกินไป เพราะการรัดที่แน่นมากอาจกดทับแผลและทำให้เจ็บยิ่งขึ้น หากรู้สึกเจ็บหรืออึดอัดผิดปกติ ควรถอดออกทันที และหากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้การใช้ผ้ารัดหน้าท้องยังช่วยลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้มดลูกหดตัวได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ
จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการเจ็บแผลผ่าคลอดที่เป็นอยู่ คืออาการเจ็บปกติหลังผ่าตัด หรือเป็นสัญญาณของแผลอักเสบติดเชื้อข้างใน?
โดยทั่วไปแผลผ่าคลอดชั้นนอกจะเริ่มสมานตัวภายในประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนเนื้อเยื่อด้านในจะใช้เวลาประมาณ 2 - 4 สัปดาห์จึงค่อย ๆ เข้ารูป อาการเจ็บแผลผ่าคลอดมักค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อแผลฟื้นตัว แต่ถ้าความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้น หรือมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น เวียนศีรษะ ความดันต่ำ น้ำคาวปลามีกลิ่นผิดปกติ มีเลือดออกทางช่องคลอด รู้สึกเจ็บเวลาปัสสาวะหรือขับถ่าย หรือแผลมีลักษณะบวมโป่งนูนออกมา อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบติดเชื้อภายใน ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยค่ะ
สรุป
- การผ่าคลอดเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องกรีดผ่านหลายชั้นเนื้อเยื่อ จึงทำให้แผลใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าแผลคลอดธรรมชาติ แผลผ่าคลอดจะเริ่มสมานตัวที่ผิวชั้นนอกภายใน 1 สัปดาห์แรก ส่วนผิวหนังชั้นในจะใช้เวลานานกว่า ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ ก่อนที่สีของแผลจะเปลี่ยนเป็นแดงคล้ำ และค่อย ๆ จางลงเป็นสีขาวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใน 6 เดือน
- อาการเจ็บแผลผ่าคลอดในช่วงพักฟื้นถือเป็นเรื่องปกติ โดยมักเกิดเวลาขยับตัว ไอ จาม หรือหัวเราะ แต่หากปวดเรื้อรังหรือมีอาการผิดปกติ เช่น แผลบวม แดง มีของเหลวซึม ไข้สูง หรือปวดท้องเฉียบพลัน ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยไว้อาจลุกลามกลายเป็นแผลผ่าคลอดอักเสบ และมีปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในมักเกิดจากการติดเชื้อ การที่แผลกระทบกระเทือน หรือสุขภาพร่างกายที่ฟื้นตัวยาก เช่น มีโรคประจำตัว และอาจส่งผลให้เกิดแผลภายในที่บริเวณมดลูก อาการหลังผ่าตัดคลอดที่ควรระวัง ได้แก่ ปวดท้องรุนแรง มีไข้ น้ำคาวปลามีกลิ่นแรง หรือมีก้อนนูนผิดปกติบริเวณท้อง
- หลังผ่าคลอดควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ งดอาหารหมักดองหรือแอลกอฮอล์ เพื่อเร่งการฟื้นตัว ดูแลแผลให้สะอาดและแห้ง หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนแผล ใส่ผ้ารัดหน้าท้องช่วยพยุงกล้ามเนื้อ และขยับตัวช้า ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายดี หากเจ็บแผลผ่าคลอดไม่ทุเลา หรือมีอาการผิดปกติ เช่น บวม แดง มีหนอง หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อประเมินอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เจ็บแผลผ่าคลอด เกิดจากอะไร
- เจ็บแผลผ่าคลอด ใช้เวลากี่วันถึงหายดี
- อาการเจ็บแผลผ่าคลอด อันตรายไหม
- แผลผ่าคลอดอักเสบ มีกี่แบบ
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร
- อาการหลังผ่าตัดคลอด เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
- 12 วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด บรรเทาปวด ป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบ และฟื้นตัวไว

เจ็บแผลผ่าคลอด เกิดจากอะไร
การผ่าคลอด เป็นวิธีที่แพทย์ช่วยให้ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัย โดยต้องกรีดผ่านผนังหน้าท้องและมดลูกค่ะ หลังผ่าคลอด คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอด โดยเฉพาะเวลาขยับตัว เปลี่ยนอิริยาบถ หรือแม้แต่ตอนเผลอไอและจาม อาการเจ็บแผลผ่าคลอดจี๊ด ๆ หรือเจ็บแปลบแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ สาเหตุที่ทำให้เจ็บก็เพราะการผ่าคลอดเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องกรีดผ่านหลายชั้นเนื้อเยื่อ ทำให้ร่างกายต้องใช้เวลาฟื้นตัวและสมานแผลมากกว่าการคลอดธรรมชาติ
โดยทั่วไป ความเจ็บปวดจะค่อย ๆ ทุเลาลงภายในประมาณ 3 วันแรก หลังจากนั้นอาการเจ็บจะค่อย ๆ ลดลงตามการฟื้นตัวของร่างกาย ส่วนความรู้สึกระบมหรือเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ บริเวณแผล อาจคงอยู่ประมาณ 3 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการสมานแผลของแต่ละคนค่ะ
นอกจากนี้ อาการเจ็บแผลผ่าคลอดอาจรุนแรงขึ้นในช่วงที่มดลูกเริ่มหดตัว เพราะนอกจากแผลผ่าตัดจะยังเจ็บอยู่แล้ว การหดตัวของมดลูกซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ช่วยให้มดลูกกลับสู่ขนาดปกติ อาจทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดหรือเกร็งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ให้นมลูกค่ะ
เจ็บแผลผ่าคลอด ใช้เวลากี่วันถึงหายดี
คุณแม่อาจสงสัยว่าแผลผ่าคลอดกี่วันหายสนิท โดยทั่วไปแล้ว แผลผ่าคลอดจะใช้เวลาสมานแผลนานกว่าแผลฝีเย็บจากการคลอดธรรมชาติค่ะ อาการปวดแผลของคุณแม่ที่ผ่าคลอดมักจะค่อย ๆ ดีขึ้น แผลบริเวณชั้นนอกจะเริ่มสมานกันดีในประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนผิวหนังด้านในจะใช้เวลาประมาณ 2 - 4 สัปดาหลังจากนั้น แผลจะค่อย ๆ ปิดสนิท และสีของแผลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำประมาณ 6 เดือน ก่อนจะจางลงเป็นสีขาวเรียบเนียนไปตามธรรมชาติจนหายดี
สำหรับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติ อาการปวดแผลฝีเย็บจะเป็นอยู่ประมาณ 3 - 5 วันแรก แต่ไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งโดยทั่วไปจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าคลอด
อาการเจ็บแผลผ่าคลอด อันตรายไหม
อาการหลังผ่าตัดคลอด ที่คุณแม่มักพบได้บ่อย คือ อาการเจ็บแผลผ่าคลอด โดยเฉพาะในช่วงพักฟื้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากแผลยังอยู่ในระหว่างการสมานตัว อาการเจ็บจี๊ดหรือเจ็บแปลบ ๆ อาจเกิดขึ้นได้เวลาเคลื่อนไหว เช่น ไอ ลุก นั่ง เปลี่ยนท่านอนหลังผ่าคลอด หรือแม้แต่ตอนหัวเราะ อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่มีอาการปวดต่อเนื่องหรือเจ็บแบบเรื้อรัง ไม่ควรละเลยนะคะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจดูแผลผ่าคลอดอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าการฟื้นตัวเป็นไปตามปกติ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนค่ะ
นอกจากนี้ คุณแม่ควรสังเกตอาการผิดปกติอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าคลอด โดยหากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ทันที
- แผลผ่าคลอดบวม แดง
- มีเลือดหรือของเหลวซึมจากแผล
- มีไข้ หนาวสั่น
- รู้สึกเจ็บแผลมากขึ้น หรือปวดท้องอย่างเฉียบพลัน
แผลผ่าคลอดอักเสบ มีกี่แบบ
หลังการผ่าคลอด คุณแม่อาจเคยได้ยินว่าแผลผ่าคลอดติดเชื้อ หรือ แผลอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้ารักษาไม่ทัน อาจทำให้แผลลุกลามหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นได้
ในทางการแพทย์ แผลติดเชื้อหลังผ่าตัดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามระดับความลึกของแผล ดังนี้ค่ะ
1. การติดเชื้อที่ชั้นผิวหนังด้านนอกและเนื้อเยื่อใต้ผิว (Superficial Incisional SSI)
เป็นการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าคลอดที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังด้านนอกและชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง โดยมักเกิดภายใน 30 วันหลังผ่าตัด
อาการที่อาจพบ ได้แก่
- มีหนองหรือสารคัดหลั่งจากแผล
- บริเวณแผลบวม แดง ร้อน หรือเจ็บเมื่อสัมผัส
2. การติดเชื้อที่ชั้นลึกของแผลผ่าตัด (Deep Incisional SSI)
การติดเชื้อชนิดนี้เกิดลึกลงไปกว่าชั้นผิวหนัง โดยมักเกิดที่ชั้นพังผืดหรือกล้ามเนื้อ ซึ่งหมายถึงแผลอักเสบข้างใน หรือการติดเชื้อที่อยู่ลึกภายในเนื้อเยื่อ ไม่ใช่เพียงแค่บริเวณผิวหนังภายนอก และอาจเกิดภายใน 30 - 90 วันหลังผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัดที่ได้รับ บางครั้งอาจพบเป็นฝีหรือมีการอักเสบที่เห็นได้จากการตรวจภายใน
อาการที่อาจสังเกตได้ ได้แก่
- มีหนองออกจากแผลบริเวณชั้นลึก
- ปวดลึกบริเวณแผล ปวดท้องอย่างรุนแรง
- มีไข้ และอาจรู้สึกวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
- น้ำคาวปลามีปริมาณมากกว่าปกติ มีกลิ่นเหม็น และอาจมีเลือดปน
- บริเวณแผลมีลักษณะนูนผิดปกติ หรือมีก้อนที่ท้องส่วนล่าง
- แผลปริ และตรวจพบการติดเชื้อ
3. การติดเชื้อที่อวัยวะหรือช่องภายในร่างกาย (Organ/Space SSI)
การติดเชื้อที่อวัยวะ หรือช่องภายในร่างกาย เป็นภาวะที่เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่อยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนัง และ ชั้นผังผืด หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งต่างจากการติดเชื้อที่เกิดเพียงบนผิวหรือรอยแผลภายนอก โดยมักเกิดบริเวณที่ถูกเปิดระหว่างการผ่าตัด
ลักษณะที่อาจพบ ได้แก่
- มีหนองไหลออกมา
- ตรวจพบเชื้อในของเหลวหรือเนื้อเยื่อจากอวัยวะภายใน
- มีฝีหรือสัญญาณการติดเชื้อในอวัยวะภายในจากผลตรวจทางการแพทย์

แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร
สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการผ่าคลอด อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อภายในมดลูก หรือการกระทบกระเทือนของแผลภายใน รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างหรือปัญหาสุขภาพที่ส่งผลให้แผลหายช้าและเกิดการอักเสบตามมา สาเหตุที่อาจทำให้แผลผ่าคลอดข้างในอักเสบ มีดังนี้
1. การติดเชื้อ
แผลผ่าคลอดด้านในอาจติดเชื้อจากแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อสแตฟฟีโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) เชื้ออีโคไล (Escherichia Coli หรือ E. Coli) หรือ เชื้อเอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus) ซึ่งเชื้อเหล่านี้อาจมาจากระบบทางเดินปัสสาวะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่การติดเชื้อที่อยู่ในร่างกายส่วนอื่นแล้วลุกลามมาถึงแผลผ่าตัดได้
2. สุขภาพร่างกายที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของแผล
หากคุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น โรคอ้วน การติดเชื้อ HIV หรือการสูบบุหรี่ ก็อาจทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และเพิ่มโอกาสในการเกิดการอักเสบ
3. แผลได้รับแรงกระแทกหรือกดทับ
คุณแม่ที่รีบขยับตัวเร็วเกินไป รวมถึงการยกของหนัก ออกแรงมาก หรือใส่เสื้อผ้ารัดแน่น อาจทำให้แผลด้านในเกิดการฉีกขาดหรืออักเสบได้ง่าย เพราะแผลยังบอบบางและต้องการเวลาในการสมานตัว
4. ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
- เคยผ่าคลอดมาก่อน
- มีการสูญเสียเลือดมากขณะคลอด
- การติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำหรือรกขณะรอคลอด
- การใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่อง
อาการหลังผ่าตัดคลอด เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน
แผลผ่าคลอดที่อักเสบภายใน แม้อาจมองไม่เห็นจากภายนอก แต่ร่างกายมักส่งสัญญาณบางอย่างเพื่อบอกให้เรารู้ตัว ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน อาการหลังผ่าตัดคลอดที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ หากคุณแม่สังเกตอาการได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และรับการดูแลได้ทันท่วงที
เมื่อเกิดภาวะแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ร่างกายมักแสดงอาการเตือนที่สามารถสังเกตได้ เช่น
- ปวดท้องอย่างรุนแรง รวมถึงช่วงขณะขับถ่าย ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะหรืออุจจาระ
- มีไข้ และอาจรู้สึกวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
- น้ำคาวปลามีปริมาณมากกว่าปกติ มีกลิ่นเหม็น และอาจมีเลือดปน
- บริเวณแผลมีลักษณะนูนผิดปกติ หรือมีก้อนที่ท้องส่วนล่าง
หากคุณแม่พบอาการติดเชื้อเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยทันที เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนค่ะ
12 วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด บรรเทาปวด ป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบ และฟื้นตัวไว
หลังการผ่าคลอด ร่างกายคุณแม่ต้องใช้เวลาและการดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อฟื้นตัว ทั้งจากบาดแผลภายนอกและการเปลี่ยนแปลงภายใน แม้อาการเจ็บตึงหรือไม่สบายตัวในช่วงแรกอาจเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ลดความเสี่ยงแผลผ่าคลอดอักเสบ และทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น มาดูวิธีง่าย ๆ ที่คุณแม่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้การพักฟื้นเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยค่ะ
1. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
ในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอด คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกแรงมากนะคะ เพราะแรงดึงหรือแรงยืดที่เกิดขึ้นอาจทำให้แผลตึง และบางครั้งเราอาจเผลอยกของหรือทำกิจกรรมที่กดทับบริเวณแผลโดยไม่รู้ตัว เมื่อแผลถูกกระตุ้นบ่อย ๆ ร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนมากขึ้นเพื่อป้องกันการฉีกขาด ซึ่งอาจทำให้แผลกลายเป็นคีลอยด์ (Keloid) หรือแผลเป็นนูนได้ คุณแม่ควรพักฟื้น ให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองเต็มที่ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างปลอดภัยค่ะ
2. ดูแลความสะอาดของแผลผ่าคลอด
การดูแลแผลผ่าคลอดให้สะอาดอย่างถูกวิธี เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการอักเสบ บวมแดง หรือเจ็บแผลได้ โดยคุณแม่สามารถดูแลแผลได้ง่าย ๆ เพียงหลีกเลี่ยงการแกะหรือรบกวนแผล และพยายามไม่ให้แผลเปียกน้ำก่อนแพทย์นัด
นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายดีและฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย หากไม่มั่นใจว่ากำลังดูแลแผลผ่าคลอดได้ถูกวิธี คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและดูแลเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าคลอดอักเสบซ้ำในอนาคตค่ะ
3. ใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอด
การใส่ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอดสามารถช่วยพยุงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ยังอ่อนแรงได้ดี เวลาคุณแม่ขยับตัว ลุก เดิน หรือเปลี่ยนท่า จะรู้สึกกระชับขึ้น เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น แผลผ่าตัดก็จะไม่ถูกดึงรั้งหรือกดทับจากผิวหนังที่ยังหย่อน ทำให้อาการเจ็บแผลบรรเทาลง นอกจากนี้ ผ้ารัดหน้าท้องยังช่วยให้คุณแม่เคลื่อนไหวได้สะดวกและมั่นใจขึ้นในช่วงพักฟื้นค่ะ
4. ขยับตัวอย่างช้า ๆ
ช่วงวันแรกหลังผ่าตัด แม้จะยังรู้สึกเจ็บและอ่อนแรง แต่คุณแม่สามารถเริ่มขยับตัวเล็กน้อยได้ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การลุกนั่ง ยืน หรือเดินช้า ๆ เพราะการเคลื่อนไหวเบา ๆ เหล่านี้จะช่วยให้แผลฟื้นตัวได้ดี ลดโอกาสเกิดพังผืดเกาะภายในช่องท้อง และยังลดความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตันหลังคลอดได้อีกด้วย
5. เปลี่ยนท่าให้นมลูกน้อย
หลังผ่าคลอด คุณแม่อาจยังลุกไม่สะดวก การให้นมในท่านอนตะแคงจึงเหมาะที่สุด จัดท่าให้ศีรษะลูกอยู่ในระดับเดียวกับเต้านม ท้องแม่แนบกับตัวลูก และให้คางลูกแนบกับเต้านม เพื่อให้ลูกงับลานหัวนมได้ดี และดูดนมได้เต็มที่
พอคุณแม่เริ่มขยับตัวได้คล่องขึ้น การให้นมในท่านั่งก็จะสะดวกมากขึ้น ท่าแนะนำคือ ท่าอุ้มลูกแบบลูกบอล (Football hold) โดยอุ้มลูกแนบตัว ให้ศีรษะอยู่ระดับเต้านม ใช้แขนรองหลังลูกไว้ แขนจะอยู่ในลักษณะคล้ายตอนอุ้มลูกบอล อาจวางหมอนรองแขนเพื่อเพิ่มความสบาย ท่านี้ช่วยให้ลูกไม่ทับแผลผ่าคลอด และคุณแม่ให้นมได้ถนัดขึ้น
ดังนั้น การเลือกท่าที่เหมาะสมในการให้นม เช่น ท่านอนตะแคง หรือ ท่าอุ้มลูกแบบฟุตบอล ไม่เพียงช่วยลดแรงกดทับแผลผ่าคลอด ทำให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้น แต่ยังช่วยให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมเต็มที่ เพื่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมองของลูกน้อยอีกด้วย
6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
ในช่วงเวลาที่ร่างกายกำลังฟื้นตัวหลังผ่าคลอด การดูแลโภชนาการให้ครบ 5 หมู่คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวช่วยหลักในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และฟื้นฟูพลังงานให้ร่างกาย พร้อมทั้งควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจกระทบต่อการผลิตน้ำนมและชะลอการฟื้นตัวได้
เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูคุณแม่ แต่ยังส่งต่อเป็น “น้ำนมคุณภาพ” ให้ลูกน้อยได้รับตั้งแต่หยดแรกของชีวิต นมแม่อุดมด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด โดยหนึ่งในนั้นคือ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและสมอง ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทรวดเร็ว แม่นยำ เสริมสมาธิ การจดจ่อ และการเรียนรู้ของลูกได้เต็มศักยภาพ วางรากฐานสำคัญให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจในทุกก้าว นอกจากนี้ยังมี จุลินทรีย์คุณภาพ บีแล็กทิส (B. lactis) ซึ่งเป็นโพรไบโอติกจากกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กที่ผ่าคลอดซึ่งอาจพลาดการได้รับจุลินทรีย์ดีจากช่องคลอดของคุณแม่ การได้รับ B. lactis จากนมแม่จึงเปรียบเสมือนการเติมเกราะป้องกันสุขภาพให้ลูกตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต
7. หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด
ในช่วงฟื้นฟูหลังคลอด คุณแม่ควรเลือกทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย และหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น อาหารหมักดอง อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ท้องอืดและรบกวนระบบย่อยอาหารได้
8. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
คุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัด ควรรอประมาณ 6 สัปดาห์ก่อนจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์นะคะ และอย่าลืมให้แพทย์ตรวจดูแผลทั้งภายนอกและภายในก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าแผลแห้งดี ไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวด เพราะถ้าแผลยังไม่สมานดี การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเจ็บได้
9. พักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อลูกนอนหลับ คุณแม่ก็ควรรีบนอนตามไปด้วยนะคะ เพราะหลังการผ่าตัดและการให้นมลูกตอนกลางคืน ร่างกายยังคงอ่อนล้าและต้องการพักผ่อนมากเป็นพิเศษ การนอนหลับอย่างเพียงพอไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แผลผ่าคลอดหายเร็วขึ้น และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เต็มที่ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะสุขภาพดีของคุณแม่คือรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ดูแลลูกน้อยได้อย่างดีที่สุดค่ะ
10. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป
หลังคลอด หลายคนอาจยังรู้สึกอ่อนล้า และไม่แน่ใจว่าจะเริ่มขยับตัวเมื่อไร โดยเฉพาะหลังผ่าคลอด แนะนำให้เริ่มเคลื่อนไหวเบา ๆ ช่วงสัปดาห์ที่ 3 เช่น ยืดเส้นหรือโยคะเบา ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อครบประมาณ 6 สัปดาห์ หากไม่มีข้อห้ามจากแพทย์ สามารถเริ่มเดินในระยะสั้น ๆ แบบช้า ๆ และสังเกตอาการตัวเอง เช่น มีเลือดออก ปวดท้อง หรือรู้สึกผิดปกติหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหา ค่อย ๆ เพิ่มระยะทางหรือความเร็วได้ตามลำดับ แล้วจึงขยับไปทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากขึ้น
11. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
คุณแม่ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกายอย่างเพียงพอ เพราะน้ำมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องการสมานแผลจากภายใน เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ เซลล์ผิวหนังจะสามารถเคลื่อนตัวจากขอบแผลเข้ามาปิดแผลได้ดีขึ้น ทำให้แผลหายเร็วและเจ็บน้อยลง ในทางกลับกัน หากคุณแม่ดื่มน้ำน้อยเกินไป ร่างกายจะขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้ง เซลล์บางส่วนอาจเสื่อมสภาพ และทำให้การฟื้นตัวของแผลช้าลงค่ะ
12. ตรวจหลังการผ่าคลอด
คุณแม่ควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อตรวจร่างกายในช่วง 12 สัปดาห์แรกหลังคลอด โดยควรเข้าพบครั้งแรกภายใน 3 สัปดาห์ และตรวจครั้งสุดท้ายไม่เกิน 12 สัปดาห์ การตรวจจะดูแลเรื่องแผลผ่าคลอด สุขภาพทั่วไป และวางแผนคุมกำเนิดหรือเตรียมพร้อมตั้งครรภ์ครั้งหน้า
หลังคลอด คุณแม่หลายท่านอาจทุ่มเททุกอย่างให้กับลูกน้อยจนละเลยการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายยังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูจากการผ่าตัด ซึ่งมักมี อาการหลังผ่าตัดคลอด ตามมา เช่น เจ็บแผลผ่าคลอด หรือรู้สึกตึงบริเวณแผล แม้จะเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะหากแผลผ่าคลอดไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งภายนอกและภายใน ส่งผลให้แผลเจ็บมากขึ้น หายช้าลงและอาจมีอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่ ดังนั้น คุณแม่จึงควรรักษาความสะอาดของแผลอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำในช่วงแรกตามแพทย์สั่ง งดกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วงแรก และหมั่นสังเกตอาการของตัวเอง หากมีอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง เจ็บมากขึ้น มีหนอง ไข้ หรือ เจ็บแผลผ่าคลอดไม่ทุเลา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสมโดยเร็ว การใส่ใจดูแลตัวเองควบคู่กับการดูแลลูก จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว พร้อมก้าวสู่บทบาทใหม่ด้วยความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด
อ้างอิง:
- 8 เคล็ดลับดูแลแผลผ่าคลอด แผลสวย คุณแม่หายไว ฟื้นตัวเร็ว , โรงพยาบาลวิมุต
- 6 คำแนะนำหลังคลอดบุตร , โรงพยาบาลพญาไท
- คำแนะนำการปฏิบัติตนก่อนและหลังผ่าตัดคลอดบุตร , โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
- การจัดการความปวดหลังผ่าตัดคลอดบุตร , วารสารศูนย์อนามัยที่ 9
- แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน สาเหตุและการดูแล , hellokhunmor
- What Really Happens to Your Body When You Have a C-Section , livestrong
- Postpartum Cramping: What's Normal (and What's Not) , thebump
- 10 ความเชื่อ...จริง และ ไม่จริง กับคุณแม่หลังคลอด , โรงพยาบาขอนแก่น ราม
- A week-by-week timeline for your C-section recovery , babycenter
- แผลผ่าคลอดปริ เกิดจากอะไร คุณแม่ควรดูแลแผลอย่างไร , hellokhunmor
- SURGICAL SITE INFECTIONS , สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
- Surgical Site Infection Event (SSI) , cdc
- คำถามยอดฮิตที่คุณแม่ผ่าคลอดอยากรู้ , โรงพยาบาลศิครินทร์
- การดูแลหลังคลอด แบบผ่าตัดทางหน้าท้อง , โรงพยาบาลสมิติเวช
- 13 คำถามยอดฮิตสำหรับคุณแม่หลังคลอด , โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ
- 5 อาหารที่ควรกิน ถ้าอยากฟื้นตัวเร็วขึ้น...หลังศัลยกรรม , โรงพยาบาลพญาไท
- แม่หลังคลอด ดูแลสุขภาพและแผลผ่าคลอดอย่างไร ช่วยให้หายไว , โรงพยาบาลเมดพาร์ค
อ้างอิง ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2568