เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ อาหารเสริมธัญพืชมีข้อดีคือมักจะมีการเสริมธาตุเหล็กเข้าไป ซึ่งจำเป็นมากสำหรับเด็กวัยนี้ค่ะ และยังช่วยให้เนื้อดิปเนียนขึ้นด้วย แต่ถ้าคุณแม่ไม่มี

ได้แน่นอนค่ะ! คุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนผักได้ตามความชอบของน้องเลยค่ะ อาจจะลองเปลี่ยนเป็นมันเทศนึ่งบดซึ่งมีรสหวานคล้ายกัน หรือจะเป็นบรอกโคลี

เป็นคำถามที่สำคัญมากเลยค่ะที่คุณแม่ใส่ใจเรื่องนี้! ตามคำแนะนำในปัจจุบัน เด็กอายุ 1 ขวบสามารถทานไข่ทั้งฟองและนมวัวได้แล้วค่ะ แต่เนื่องจากทั้งสองอย่างเป็นอาหาร

ได้เลยค่ะ! เป็นวิธีที่ดีมากเลยค่ะ การนึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันมาก คือได้คัสตาร์ดเนื้อเนียนนุ่มเหมือนกันค่ะ อาจจะใช้เวลาใกล้เคียงกันคือประมาณ 30-45 นาที

เป็นคำถามที่คุณแม่หลายท่านสงสัยค่ะ! ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แล้ว เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปสามารถเริ่มทานโยเกิร์ตได้แล้วค่ะ โดยควรเลือกเป็น "โยเกิร์ตรสธรรมชาติ" ชนิดไขมันเต็ม

เปลี่ยนแน่นอนค่ะ!

อย่างแรกเลยคือไม่ต้องตกใจนะคะ "เกณฑ์" คือค่าเฉลี่ย เด็กแต่ละคนก็เติบโตไม่เท่ากันค่ะ ถ้าต่างกันไม่มากก็ถือว่าปกติ แต่ถ้าต่างกันเยอะ คุณหมอจะ

ไม่จำเป็นเลยค่ะ! คุณแม่หลายคนมีอาการน้ำเดินหรือน้ำคร่ำแตกก่อนที่จะเริ่มเจ็บท้องคลอดจริงๆ เสียอีกค่ะ ซึ่งหลังจากน้ำคร่ำแตกแล้ว ส่วนใหญ่ร่างกาย

กินได้และดีมากเลยค่ะ! ทั้งข้าวกล้องและข้าวไรซ์เบอร์รีจัดอยู่ในกลุ่ม "คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน" เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่ามีกากใยสูง ทำให้ร่างกาย

ได้สบายมากเลยค่ะ! คุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบเลยค่ะ อาจจะลองเปลี่ยนเป็นไก่ฉีก, ทูน่าในน้ำแร่บด, หรือหมูสับรวนสุกก็ได้ค่ะ หรือถ้าอยากให้เป็นเมนู

เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่ลูกจะคึกตอนกลางคืนค่ะ! เพราะตอนกลางวันที่คุณแม่เดินไปมา ขยับตัวอยู่ตลอด มันเหมือนการแกว่งเปลกล่อมให้น้องหลับ แต่พอตก

ไม่ได้ช่วยโดยตรงค่ะ! เครื่องปรุงลดโซเดียมจะเน้นช่วยเรื่องควบคุมความดันโลหิตมากกว่า แต่สำหรับเบาหวาน สิ่งที่เราต้องโฟกัสคือ "ปริมาณคาร์โบไฮเดรต

อันตรายเหมือนกันค่ะ แต่จะคนละแบบ ถ้า "แตกโพละ" หรือน้ำเดิน ความเสี่ยงคือสายสะดืออาจจะไหลย้อยลงมาได้ซึ่งอันตรายมาก แต่ถ้าเป็นแบบ "รั่วซึม" ไป

เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมาก แต่ในทางการแพทย์สมัยใหม่ไม่แนะนำให้ใช้รถหัดเดินแล้วค่ะ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง และที่สำคัญคือ

คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ พัฒนาการของเด็กแต่ละคนมีจังหวะเป็นของตัวเองค่ะ การที่น้องยิ้มโต้ตอบได้ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้ว เสียงหัวเราะมักจะตามมาหลัง

คุณแม่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ! เข้าใจเลยว่าเราอยากเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาแค่ไหน เด็กแต่ละคนมี "ปุ่มหัวเราะ" ที่ไม่เหมือนกันค่ะ บางคนอาจจะชอบเสียงแปลกๆ

เป็นเรื่องปกติมากเลยค่ะ! เหมือนกับผู้ใหญ่เราที่ไม่ได้รู้สึกตลกกับมุกเดิมๆ ทุกครั้ง ทารกก็เช่นกันค่ะ อารมณ์ของเขาก็มีขึ้นมีลง บางครั้งเขาอาจจะกำลังเหนื่อย

เป็นพัฒนาการที่ถูกต้องและน่าเอ็นดูมากค่ะ! ในวัยนี้เขาเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทุกส่วน การอมหรือกัดหนังสือคือการสำรวจโลกของเขาค่ะ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด

เข้าใจเลยค่ะว่าเป็นสัญชาตญาณที่อยากจะช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการ "รออย่างอดทน" ค่ะ พยายามสบตาเขา

เป็นข้อควรระวังที่ถูกต้องเลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้เอาหูฟังไปครอบที่หน้าท้องโดยตรงนะคะ เพราะน้ำคร่ำเป็นตัวนำเสียงที่ดีอยู่แล้ว อาจทำให้เสียงดังเกินไปสำหรับลูก

คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ การที่ลูกไม่ดิ้นตอบสนองทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเป็นเรื่องปกติมากค่ะ บางครั้งเขาอาจจะกำลังหลับอยู่ หรืออาจจะแค่กำลังตั้งใจฟังเงียบๆ

เป็นพัฒนาการที่ถูกต้องและน่ารักมากสำหรับวัยนี้ค่ะ ในทฤษฎีของเพียเจต์เรียกว่า "ความคิดที่เชื่อว่าสิ่งไม่มีชีวิตมีความรู้สึก" (Animistic Thinking) ซึ่งเป็นลักษณะ

เป็นสถานการณ์คลาสสิกที่คุณพ่อคุณแม่เจอประจำเลยค่ะ! เพียเจต์อธิบายว่าเด็กในวัยนี้ (ขั้น Preoperational) ยังไม่สามารถเข้าใจหลัก "การอนุรักษ์" (Conservation)

เป็นสัญญาณที่ดีมากเลยค่ะ! การที่ลูกอยากฟังเรื่องเดิมซ้ำๆ แสดงว่าเขากำลังสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และกำลังเรียนรู้ที่จะจดจำคำศัพท์และลำดับเรื่องราว

เป็นหนึ่งในเกมที่คลาสสิกที่สุดเลยค่ะ! ตามทฤษฎีของเพียเจต์แล้ว เด็กในวัยนี้ (ขั้น Sensorimotor) กำลังพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า "การคงอยู่ของวัตถุ" (Object Permanence)

เป็นผลงานของฮอร์โมนคนท้องล้วนๆ เลยค่ะ! พยายามทำความเข้าใจว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและหาเวลาพักผ่อนทำในสิ่งที่ชอบจะช่วยได้ค่ะ การพูด

ยังไม่ผิดปกติค่ะ! และเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะใน "คุณแม่ท้องแรก" ค่ะ การที่คุณแม่จะเริ่มรู้สึกถึงการดิ้นครั้งแรก (Quickening) นั้น