
แผลผ่าคลอดกี่วันหาย พร้อม 10 วิธีดูแลรอยแผลผ่าคลอดให้เนียนสวย
คำถามที่พบบ่อย
อาการชาหรือไม่รู้สึกบริเวณแผลผ่าคลอด เป็นเรื่องปกติไหม และจะหายเมื่อไหร่?
เป็นเรื่องปกติและพบได้บ่อยมาก อาการชาเกิดจากเส้นประสาทเล็กๆ บริเวณผิวหนังถูกตัดขาดระหว่างการผ่าตัด โดยส่วนใหญ่ความรู้สึกจะค่อยๆ กลับมาภายใน 6 เดือนขึ้นไป แต่คุณแม่บางท่านอาจยังรู้สึกชาหรือรู้สึกแปลบๆ ไปอีกนานกว่านั้น ซึ่งไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามหากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์
การเย็บแผลด้วยไหมละลายกับแม็ก (Stapler) ดูแลต่างกันไหม?
การดูแลพื้นฐานเหมือนกันคือต้องรักษาความสะอาดและให้แผลแห้งอยู่เสมอ ข้อแตกต่างคือ แผลที่เย็บด้วยแม็กจะช่วยลดเวลาในการเย็บแผล รวมถึงลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ โดยห้ามโดนน้ำใน 24 ชั่วโมงแรก และต้องกลับไปให้แพทย์เอาตัวแม็กออกหลังแผลติดสนิท ส่วนแผลที่เย็บด้วยไหมละลายและปิดทับด้วยกาวทางการแพทย์ มักไม่ต้องตัดไหมและสามารถโดนน้ำได้เร็วกว่าเล็กน้อย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเป็นหลัก
หลังแผลหายแล้ว สามารถออกกำลังกายท่าไหนได้บ้างเพื่อลดหน้าท้อง?
หลังจาก 6-8 สัปดาห์และได้รับการตรวจหลังคลอดว่าแผลหายดีแล้ว สามารถเริ่มออกกำลังกายเบาๆ ได้ ควรเริ่มจากการเดิน, โยคะเบาๆ, หรือพิลาทิสสำหรับคุณแม่หลังคลอด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว ควรหลีกเลี่ยงท่าที่เน้นการเกร็งหน้าท้องโดยตรง เช่น ซิทอัพ หรือ ครันช์ ในช่วง 3-6 เดือนแรก และควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย
สรุป
- แผลผ่าคลอดชั้นนอกจะเริ่มสมานกันหลังจากคุณแม่ผ่าคลอดได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนแผลผ่าคลอดชั้นในจะเริ่มสมานหลังจากคุณแม่คลอดลูกได้ 2-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้นอีก 6 เดือน แผลของคุณแม่จะค่อย ๆ ปิดสนิทและเป็นปกติขึ้น
- แผลผ่าคลอดควรได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยทำให้แผลหายไว ปิดสนิท และเรียบเนียน โดยระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ ไม่ยกของหนัก และหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด อาทิ อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ หมักดอง หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดโอกาสไม่ให้แผลผ่าคลอดเกิดการติดเชื้อ
- หากคุณแม่รู้สึกปวดบริเวณแผล มีอาการบวมแดง อักเสบ มีหนองหรือมีกลิ่น หรือแผลปริ ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเกิดการติดเชื้อแผลผ่าคลอดได้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- แผลผ่าคลอดกี่วันหาย เจาะไทม์ไลน์การฟื้นตัวของคุณแม่
- แม่ผ่าคลอด ควรหลีกเลี่ยงอาหารแบบไหนบ้าง
- สัญญาณเตือน “แผลผ่าคลอดติดเชื้อ” ที่ต้องรีบพบแพทย์
- 10 วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไวและแผลสวยเนียน
- รอยแผลผ่าคลอดสวย มีลักษณะอย่างไร
- รู้จักประเภทแผลเป็น รอยนูน (Hypertrophic) vs คีลอยด์ (Keloid)
แผลผ่าคลอดกี่วันหาย เจาะไทม์ไลน์การฟื้นตัวของคุณแม่
แผลผ่าคลอดกี่วันหาย คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เตรียมตัวผ่าคลอดคงอยากทราบระยะเวลาในการฟื้นตัวหลังผ่าคลอด ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่ารอยผ่าคลอดจะหายดี ซึ่งหัวใจหลักขึ้นอยู่กับวิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด รวมถึงปัจจัยที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้แผลผ่าคลอดของคุณแม่หายช้า และสามารถกลับมาเลี้ยงลูกได้เร็วที่สุดค่ะ
แผลผ่าคลอดกี่วันหาย? รอยผ่าคลอดจะหายดีเมื่อไหร่?
โดยทั่วไปประมาณ 7 วันหรือสัปดาห์แรกหลังคลอด ผิวหนังด้านนอกบริเวณแผลผ่าคลอดจะเริ่มสมานกัน ส่วนผิวหนังชั้นในอาจจะต้องใช้เวลาสักนิด แต่คุณแม่อย่าเพิ่งร้อนใจค่ะ เพราะประมาณ 2-4 สัปดาห์จะเริ่มสมานกันมากขึ้นจนเกือบเป็นปกติและอาจต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน รอยแผลที่เป็นสีคล้ำจะเริ่มจางลง จนกระทั่งผิวกลับมาเรียบเนียนตามเดิม
หลังผ่าคลอด คุณแม่ควรทำอะไรบ้าง
หลังผ่าคลอดคุณแม่อาจยังรู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอด และอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูก ดังนั้นวิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดที่เหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูร่างกายคุณแม่ให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม และทำให้รอยแผลผ่าคลอดหายเป็นปกติมากที่สุดด้วย
- ในสัปดาห์แรกหลังคลอด คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลผ่าคลอดโดนน้ำ เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อหรืออักเสบได้ จึงควรใช้พลาสเตอร์ปิดแผลที่ช่วยกันน้ำ หรือไม่อาบน้ำหลังคลอด แต่ใช้การเช็ดตัวแทน รวมถึงห้ามเกา หรือแกะแผลด้วยนะคะ
- หลังตัดไหมเรียบร้อยแล้ว คุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดแผลผ่าคลอดด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดวันละ 2-3 ครั้ง และเมื่อแผลแห้งดีขึ้นแล้ว การทาครีมบำรุงผิวบริเวณแผลผ่าคลอดตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยให้รอยแผลนุ่มขึ้นและสีจางลงได้
- คุณแม่สามารถขยับตัวเบาๆ ได้ตั้งแต่ช่วงแรกหลังคลอด เพื่อป้องกันพังผืดของแผลผ่าคลอดด้านใน และช่วยให้ฟื้นตัวไวขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอด เพื่อช่วยไม่ให้แผลฉีกขาด หรือเป็นรอยแผลเป็นนูน ที่เรียกว่าคีลอยด์
ปัจจัยที่ทำให้แผลผ่าคลอดของคุณแม่หายช้า
การติดเชื้อหรืออักเสบของรอยแผลผ่าคลอดอาจทำให้แผลหายช้าได้ คุณแม่จึงควรระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงที่แผลยังไม่แห้งดี ซึ่งโดยทั่วไปคุณหมอจะนัดตรวจแผลหลังผ่าคลอดอยู่แล้วว่าแผลปิดสนิทดีหรือยัง เมื่อคุณหมอตรวจว่าแผลสมานดีแล้วจึงค่อยอาบน้ำได้ตามปกติค่ะ โดยอย่าลืมทาครีมบำรุงผิวตามแพทย์แนะนำ และไม่ควรทำกิจกรรมที่อาจไปกระทบกระเทือนแผลในช่วง 3 เดือนแรกด้วยนะคะ และคุณแม่อาจใส่ผ้ารัดพยุงท้องเพื่อช่วยให้เจ็บปวดน้อยลงขณะเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเลี้ยงลูกน้อยได้อีกด้วย
แม่ผ่าคลอด ควรหลีกเลี่ยงอาหารแบบไหนบ้าง
คุณแม่ผ่าคลอดควรรับประทานอาหารที่สดสะอาด เป็นอาหารย่อยง่าย และมีสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นสารอาหารโปรตีนและวิตามินซี เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่ให้กลับมาแข็งแรง รอยแผลผ่าคลอดหายเร็วขึ้น และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบหรือแผลหายช้าได้ ดังนี้
- อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
- อาหารหมักดอง
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และน้ำอัดลม
- อาหารรสจัด
การรับประทานอาหารของคุณแม่หลังผ่าคลอดเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่เพียงช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น แต่ยังส่งต่อคุณค่ามหาศาลสู่ลูกน้อยผ่าน น้ำนมแม่ ซึ่งมีสารอาหารกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) สารอาหารสำคัญที่มีบทบาทต่อการพัฒนาสมองในช่วงขวบปีแรก ช่วยให้เซลล์ประสาทสื่อสารกันได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เสริมสมาธิและความพร้อมในการเรียนรู้ของลูกในอนาคต อีกทั้งยังมี บีแล็คทิส (B. lactis) หนึ่งในโพรไบโอติกสำคัญที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงสุขภาพระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะเด็กผ่าคลอด ซึ่งพลาดโอกาสได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดของคุณแม่ที่เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันด่านแรกของลูกน้อย
สัญญาณเตือน “แผลผ่าคลอดติดเชื้อ” ที่ต้องรีบพบแพทย์
หากคุณแม่หลังผ่าคลอดมีอาการเจ็บปวดบริเวณแผลเป็นอย่างมาก และอาการไม่ดีขึ้นเมื่อผ่านไปหลายวัน รวมถึงมีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่แผลผ่าคลอด หรือมีภาวะไข้ร่วมด้วย คุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเป็นลักษณะของแผลผ่าคลอดติดเชื้อได้ และควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยแผลผ่าคลอดติดเชื้อมีข้อสังเกตง่ายๆ ดังนี้
- คุณแม่มีไข้หลังผ่าคลอด
- ลักษณะรอยแผลผ่าคลอดมีสีแดง บวม รวมถึงอาจมีหนอง
- มีของเหลวสีแดงจางไหลออกจากแผลผ่าคลอด อาจเกิดแผลพังผืดแยกจากกัน
- มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง

10 วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไวและแผลสวยเนียน
แผลผ่าคลอดจะหายเป็นปกติเรียบเนียนสวยได้ หากคุณแม่ดูแลอย่างถูกวิธี ซึ่งโดยธรรมชาติแผลผ่าคลอดบริเวณผิวหนังชั้นนอกจะสมานตัวภายใน 1 สัปดาห์ และผิวหนังชั้นในจะสมานตัวสนิทมากขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยเรารวบรวม 10 วิธีที่คุณแม่สามารถทำตามในการดูแลแผลผ่าคลอดได้ง่ายๆ ดังนี้
1. แผลผ่าคลอด 7 วันแรกห้ามโดนน้ำ
ในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าคลอด คุณแม่ควรระวังไม่ให้แผลผ่าคลอดโดนน้ำ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ ซึ่งคุณแม่อาจใช้พลาสเตอร์ปิดแผลแบบกันน้ำช่วยป้องกันไม่ให้โดนน้ำ และแนะนำให้คุณแม่หลังผ่าคลอดเช็ดตัวแทนการอาบน้ำ เพื่อช่วยลดโอกาสที่แผลจะโดนน้ำและติดเชื้อได้ง่ายค่ะ
2. ดูแลแผลให้แห้งเสมอ
หากแผลผ่าคลอดถูกปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่ก็สามารถอาบน้ำตามปกติได้นะคะ แต่ไม่ควรแช่น้ำเด็ดขาด และถ้าพบว่าแผลเริ่มเปียกน้ำให้รีบซับน้ำให้แห้งอย่างเบามือ รวมถึงเปลี่ยนพลาสเตอร์ใหม่โดยทันทีเพื่อป้องกันความอับชื้นบริเวณแผล
3. ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดแผล
หลังจากคุณหมอตรวจแผลหลังคลอดและพบว่าแผลสมานกันสนิทแล้ว คุณแม่สามารถอาบน้ำได้โดยที่ไม่ติดพลาสเตอร์ปิดแผล โดยควรทำความสะอาดแผลหลังจากอาบน้ำด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเบาๆ แล้วซับให้แห้งสนิททุกครั้ง ซึ่งคุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดแผลผ่าคลอดวันละ 2-3 ครั้ง
4. งดการแคะ แกะ เกาหลังตัดไหม
เมื่อคุณแม่ตัดไหมผ่าคลอดเรียบร้อยแล้ว พยายามไม่เกาหรือแกะแผล เพราะอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ หากคุณแม่รู้สึกคันมาก อาจขอคำแนะนำจากคุณหมอเพื่อช่วยลดความคันอย่างถูกวิธีและปลอดภัยจากการติดเชื้อของแผลผ่าคลอดได้
5. หลีกเลี่ยงการออกแรงเยอะเกินไป
คุณแม่หลังผ่าคลอดในช่วง 3 เดือนแรก ไม่ควรยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่ออกแรงเยอะหรือเกร็งหน้าท้องจนเกินไป เพราะอาจทำให้แผลผ่าคลอดตึงจนทำให้แผลฉีกขาด ซึ่งนำไปสู่การเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้อีกด้วย
6. ใช้ผ้ารัดพยุงท้องช่วยพยุงกล้ามเนื้อบริเวณท้อง
การใช้ผ้ารัดพยุงท้อง สามารถช่วยลดความเจ็บปวดให้คุณแม่ขณะเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายได้ และยังช่วยลดการกดทับจากผิวหนังที่หย่อนคล้อย ทำให้แผลผ่าคลอดลดความดึงรั้งลงได้
7.รับประทานอาหารที่สะอาด
คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่สะอาด มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นสารอาหารโปรตีน เพื่อช่วยซ่อมแซมร่างกายให้เป็นปกติ รวมถึงช่วยให้แผลผ่าคลอดหายไวมากขึ้นด้วยค่ะ
8.ทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
การทาครีมบำรุงผิวบริเวณแผลผ่าคลอดตามที่แพทย์แนะนำ จะทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ช่วยให้รอยแผลจางลงและนุ่มขึ้นได้ แต่เนื่องจากผิวหนังบริเวณแผลผ่าคลอดของคุณแม่มีความบอบบาง และอาจเกิดโอกาสติดเชื้อหรืออักเสบได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นะคะ
9.ขยับตัวหลังคลอด
คุณแม่สามารถขยับตัวช้าๆ ได้ตั้งแต่วันแรกหลังผ่าคลอด โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของคุณหมอ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้แผลด้านในเกิดพังผืดยึดกับอวัยวะต่าง ๆ และช่วยให้แผลฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย
10.การพักผ่อนที่ดีและมีคุณภาพ
การพักผ่อนอย่างมีคุณภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และทำให้แผลหายไวมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูกด้วยนะคะ
รอยแผลผ่าคลอดสวย มีลักษณะอย่างไร
แผลผ่าคลอดโดยส่วนใหญ่จะเป็นรอยแผลแนวนอนขนานตามขอบกางเกงชั้นใน โดยมีความยาวประมาณ 4-6 นิ้ว ซึ่งคุณหมอจะนิยมผ่าตามแนวขวางนี้มากที่สุด เพราะแผลจะมีทั้งความสวยงามและความแข็งแรงกว่า แต่บางครั้งคุณหมอก็อาจพิจารณาผ่าคลอดแนวตั้งได้ เนื่องจากกรณีที่ทารกในครรภ์อยู่ในท่าที่ผิดปกติ หรือเป็นการคลอดแบบเร่งด่วน หรือคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหลังผ่าคลอด เมื่อคุณแม่กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว สามารถดูแลรอยแผลผ่าคลอดให้ถูกวิธีอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามคำแนะนำของคุณหมอ โดยเน้นรักษาความสะอาดไม่ให้แผลติดเชื้อ และอาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นบริเวณแผลตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมาซ่อมแซมผิวหนังมากเกินจำเป็นจนอาจเป็นแผลเป็นนูนที่เรียกว่า คีลอยด์ นั่นเอง
รู้จักประเภทแผลเป็น รอยนูน (Hypertrophic) vs คีลอยด์ (Keloid)
คุณแม่คงอยากทราบว่ารอยแผลผ่าคลอดแบบไหนที่เรียกว่า รอยนูน (Hypertrophic) หรือแบบไหนเรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) ซึ่งแผลเป็น 2 ประเภทนี้ จะมีข้อแตกต่างกันที่สังเกตได้จาก
- รอยนูน (Hypertrophic) จะมีแผลเป็นโตนูนไม่เกินจากขอบเขตของรอยแผลเดิม
- คีลอยด์ (Keloid) จะมีแผลเป็นโตนูนเกินจากขอบเขตของรอยแผลเดิมค่อนข้างมาก
โดยวิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ รวมถึงการรักษาหากเกิดแผลผ่าคลอดนูนแล้ว ทําอย่างไรถึงหายและให้แผลผ่าคลอดกลับมาสวยเป็นปกติเร็วที่สุด มีข้อมูลที่ควรรู้ดังนี้ค่ะ
หลังผ่าคลอดจะเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ไหม
คุณแม่หลังผ่าคลอดควรระมัดระวังการติดเชื้อและอักเสบ ที่อาจเกิดจากการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เสี่ยงต่อรอยแผลฉีกขาด เช่น การยกของหนัก การแกะ เกาแผล ซึ่งคุณแม่ควรศึกษาวิธีดูแลรอยแผลผ่าคลอดให้ถูกวิธี และอาจขอคำแนะนำจากคุณหมอที่ตรวจแผลหลังคลอดร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแผลผ่าคลอดเริ่มสมานกันดีขึ้นแล้ว การดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นรอยนูนหรือคีลอยด์ สามารถทำได้ด้วยการใช้แผ่นซิลิโคนแปะที่แผล หรือทาครีมบำรุงผิว ตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้แผลชุ่มชื้น อ่อนนุ่มลง และรอยจางลงได้อีกด้วย

รอยแผลผ่าคลอดที่โตนูน มีอะไรบ้าง
รอยแผลเป็นที่โตนูน จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. แผลผ่าคลอดที่เป็นคีลอยด์ หรือนูนใหญ่
เป็นลักษณะของรอยแผลเป็นประเภทหนึ่ง ที่มีแผลนูนขนาดใหญ่เกินจากรอยแผลผ่าคลอดค่อนข้างมาก อาจมีสีคล้ำ แดง และมีอาการคัน หรือตึงรั้งร่วมด้วย ซึ่งทำให้แผลไม่สวยงาม แต่ไม่ได้เกิดอันตรายใด ๆ
2. แผลผ่าคลอดที่เป็นนูนเกิน (Hypertrophic Scar)
เป็นลักษณะของรอยแผลเป็นที่นูนแดง แต่ไม่เกินจากรอยแผลมากนัก ซึ่งจะมีอาการคัน รอยแผลเป็นสีแดง และนูนเล็กน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากบริเวณรอยแผลมีลักษณะตึงมาก โดยทั่วไปภายหลัง 6 เดือน รอยแผลเป็นนูนแดงจะค่อย ๆ ดีขึ้น และกลับสู่ปกติเมื่อครบ 1 ปี หลังผ่าคลอด
ไม่อยากให้รอยแผลผ่าคลอดนูน ทำยังไงได้บ้าง
การดูแลไม่ให้เกิดรอยแผลผ่าคลอดนูน คุณแม่สามารถทำได้หลายวิธีที่เหมาะสม โดยการใส่ผ้ารัดพยุงท้องเพื่อช่วยพยุงกล้ามเนื้อเวลาที่คุณแม่เดิน หรือเคลื่อนไหว ทำให้แผลผ่าคลอดไม่ถูกดึงรั้ง หรือกดทับจากผิวหนังที่หย่อนคล้อย รวมถึงหลีกเลี่ยงการออกแรงยกของหนักเพื่อป้องกันแผลฉีกขาด และหมั่นใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นบริเวณแผลผ่าคลอดตามแพทย์แนะนำ ทั้งหมดนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลผ่าคลอดนูน หรือคีลอยด์ได้
ครีมทาแผลผ่าคลอดแบบไหน ที่คุณแม่ทาได้
เมื่อแผลเริ่มแห้งและปิดสนิทดีแล้ว คุณแม่สามารถหาครีมทารอยแผลผ่าคลอดได้ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นลดการอักเสบ รวมถึงช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นนูนหรือแผลเป็นคีลอยด์ได้
อยากให้แผลสวย เลเซอร์ลดรอยแผลได้ไหม
แผลเป็นประเภทรอยนูน หรือคีลอยด์ สามารถรักษาได้หลากหลายวิธี ซึ่งการใช้เลเซอร์ในการรักษารอยแผลเป็นจากการผ่าคลอด ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เห็นผล โดยใช้เลเซอร์บางชนิด ซึ่งจะช่วยสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการผลัดเซลล์บริเวณรอยแผลเป็น ทำให้สีจางลง ผิวเรียบเนียนมากขึ้น ลดความนูนของแผลเป็น เพื่อให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวของคุณแม่กลับมาเรียบเนียนสวยงาม เพิ่มความมั่นใจให้กับคุณแม่อีกครั้ง
การดูแลรอยผ่าคลอดอย่างถูกวิธี ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรศึกษา เพื่อช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับรอยแผลผ่าคลอด และหากคุณแม่ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ และระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงแรกหลังคลอด หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่จะส่งผลต่อการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง ใช้ครีมบำรุงตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกต้องตามหลักโภชนาการ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนให้รอยแผลผ่าคลอดฟื้นตัวไว และกลับสู่ภาวะปกติเรียบเนียนสวยดังเดิมได้ค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด
อ้างอิง:
- รู้สึกชาบริเวณที่ผ่าตรงหน้าท้อง(ผ่าคลอด) รู้สึกแปล๊บๆข้างในเล็กน้อย ปกติไหม, Pobpad
- 8 เคล็ดลับดูแลแผลผ่าคลอด แผลสวย คุณแม่หายไว ฟื้นตัวเร็ว, โรงพยาบาลวิมุต
- เทคนิคการเย็บปิดแผลผ่าตัด, ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ
- ผ่าคลอด สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรู้, โรงพยาบาลสมิติเวช
- ภาวะติดเชื้อหลังคลอด ( Puerperal infection), คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- เตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าคลอด, Pobpad
- ทางเลือกการรักษาแผลเป็นนูน เพื่อผิวที่มั่นใจยิ่งขึ้น, โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์
- แผลเป็น, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- การเย็บแผล มีกี่แบบ? บาดแผลแบบไหนที่ต้องเย็บ, อินทัชเมดิแคร์
- ไหมละลาย ประโยชน์และวิธีดูแลแผลที่ใช้ไหมละลาย, Pobpad
- เลเซอร์รอยแผล ตัวช่วยกำจัดรอยแผลเป็น เห็นผลเร็ว ปลอดภัย ก่อนทำควรรู้อะไรบ้าง ?, V Square Vlinic
อ้างอิง ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2568