การเตรียมกิจกรรมพิเศษ เช่น การเล่นเกมส์ การเล่าเรื่อง การร้องเพลง หรือการถ่ายรูป การตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม หรือการเตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆให้กันและกัน ล้วนช่วยเพิ่มความน่าจดจำและสร้างความสุขให

สารอาหารสำคัญอื่นๆ ได้แก่ DHA, ARA, โอเมก้า 3 และ 6, โคลีน, ธาตุเหล็ก, วิตามิน B12, และโปรตีน การได้รับสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างการพัฒนาสมองอย่างครอบคลุม

บทความเน้นถึงกิจกรรมง่ายๆ อย่างการเป่าลูกราสเบอร์รี่ กอด นวด และเกมเสริมพัฒนาการ ซึ่งสร้างความสุขและความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก

สำหรับปีนักษัตรอื่นๆ ควรศึกษาข้อมูลฤกษ์คลอดที่เกี่ยวข้องกับปีนักษัตรนั้นๆ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ เพื่อให้ได้ฤกษ์ที่เหมาะสม ควรคำนึงถึงความเชื่อและความเหมาะสมของครอบครัวเป็นสำคัญ

ช่วยได้จริงในเด็กหลายๆ คนเลยค่ะ! เพราะมันช่วยตอบสนองความต้องการในการดูดเพื่อผ่อนคลายของเขา และยังมีงานวิจัยบอกว่าอาจจะช่วยลดความเสี่ยงของ

สำหรับการคลอดเองตามธรรมชาติ การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การทำสมาธิ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

เห็นแล้วใจหายแว๊บเลยใช่ไหมคะ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นอันตรายค่ะ! เพราะช่องคอและช่องจมูกของเบบี๋ยังเชื่อมต่อกันอยู่ เวลาที่เขากินนมเยอะไปหรือ

เพราะการดูดเป็นวิธี "ปลอบประโลม" ที่ดีที่สุดที่เขารู้จักมาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ! แต่ถ้าคุณแม่เหนื่อยกับการต้องเป็นจุกหลอกให้ลูกตลอดคืน ลองเริ่ม

นอกจากการเลือกฤกษ์คลอดแล้ว ยังมีวิธีเสริมดวงชะตาของเด็กได้อีกหลายวิธี เช่น การทำบุญ การบริจาคทาน การตั้งชื่อที่ดี การดูแลเอาใจใส่ และการให้การศึกษาที่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมพัฒนาการและโชคช

นอกจากการทำบุญ ยังสามารถเสริมสิริมงคลได้ด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ สร้างกุศลต่างๆ และการดูแลจิตใจให้สงบ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างพลังบวกและความมั่นใจให้คุณแม่

ใช่ค่ะ นอกเหนือจากฤกษ์ที่กล่าวถึงในบทความแล้ว ยังมีฤกษ์คลอดอื่นๆ อีกมากมายที่คนไทยนิยมใช้ เช่น ฤกษ์มหาอุจ, ฤกษ์อุจจาวิลาส หรือฤกษ์ที่คำนวณจากวันเกิดของพ่อแม่ เป็นต้น

จริงสุดๆ เลยค่ะ! Wonder Week คือช่วงที่สมองของน้องกำลัง "ก้าวกระโดด" ทางพัฒนาการค่ะ เช่น กำลังจะพลิกคว่่ำ หรือกำลังจะคลาน ช่วงนี้สมองจะตื่น

การดูแลสุขภาพของแม่และเด็กมีความสำคัญมากกว่าการเลือกฤกษ์ผ่าคลอด การเลือกฤกษ์ควรเป็นส่วนเสริม ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การคลอดปลอดภัย

จริงมากๆ และสำคัญสุดๆ เลยค่ะ! เพราะในน้ำลายของผู้ใหญ่มีเชื้อโรคมากมายที่อาจจะเป็นอันตรายกับเบบี๋ที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงได้ค่ะ โดยเฉพาะ

ที่คุณแม่เห็นเรียกว่า "การส่องไฟ" หรือ Phototherapy ค่ะ ไม่ต้องกังวลเลยนะคะ น้องไม่เจ็บหรือไม่ร้อนเลยค่ะ แสงไฟชนิดพิเศษนี้จะช่วยเปลี่ยนสาร

ยังไม่หายทันทีนะคะคุณแม่! หลังจากค่าสารเหลืองลดลงจนปลอดภัยและได้กลับบ้านแล้ว สีเหลืองที่ผิวและตาของน้องจะ "ค่อยๆ จางลง" ค่ะ อาจจะต้องใช้เวลา

อาจจะผิดปกติเล็กน้อยค่ะ โดยทั่วไปสะดือที่ใกล้จะหลุดควรจะแห้งและไม่มีกลิ่นค่ะ ถ้าเริ่มมีกลิ่นเหม็น หรือมีหนองซึมออกมา หรือผิวหนังรอบๆ สะดือ

ไม่จำเป็นต้องห่อทุกครั้งค่ะคุณแม่! ให้เน้นห่อตัวในช่วงเวลาที่อยากให้น้องนอนยาวๆ เช่น ตอนนอนกลางคืน หรือช่วงนอนกลางวันที่น้องดูหลับยาก

เข้าใจเลยค่ะว่าเจอปัญหานี้กันเยอะ! ถ้าใช้ผ้าอ้อมห่อแล้วยังหลุดอยู่ ลองหา "ถุงนอนสำเร็จรูป" หรือ "Swaddle Sack" ที่มีลักษณะเป็นถุงซิปหรือ

มีวิธีเช็กง่ายๆ เลยค่ะ! หลังจากห่อตัวน้องเรียบร้อยแล้ว ให้คุณแม่ลองสอดนิ้ว 2-3 นิ้วเข้าไปที่บริเวณหน้าอกระหว่างตัวน้องกับผ้าห่อตัวดูค่ะ

เป็นความเชื่อที่คุณย่าคุณยายบอกต่อกันมาเยอะมากเลยค่ะ! แต่ในทางการแพทย์ปัจจุบันไม่แนะนำอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะแสงแดดบ้านเราไม่ได้เข้มข้นพอที่จะ

แนะนำให้ใช้ของเด็กโดยเฉพาะไปก่อนในช่วง 6 เดือนแรกค่ะ!

เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ต้องคอยสังเกตเลยค่ะ! การที่กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาบ่อยๆ สามารถไประคายเคืองกะบังลมและทำให้เกิดการสะอึกที่ถี่กว่าปกติได้

ไม่ได้เด็ดขาดเลยค่ะคุณแม่! สำหรับเบบี๋ที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรให้ดื่มน้ำเปล่าเลยนะคะ เพราะไตของน้องยังทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจรบกวนการ

เตรียมไว้สัก 1-2 ขวดเล็กๆ พร้อมจุกนมสำหรับเด็กแรกเกิดก็ไม่เสียหายค่ะ! ถึงแม้เราจะตั้งใจเข้าเต้า 100% แต่ก็อาจมีสถานการณ์ฉุกเฉินที่เราจำเป็น

เป็นแค่ "เรอเปียกๆ" ค่ะคุณแม่ ไม่ต้องตกใจนะคะ! มันเกิดจากตอนที่ลมดันออกมาแล้วมีน้ำนมที่ยังอยู่ส่วนบนของกระเพาะติดออกมาด้วยนิดหน่อย ซึ่งต่าง

เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่กินนม น้องจะกลืนลมเข้าไปในปริมาณที่เท่ากันค่ะ! ถ้าครั้งไหนน้องดูดนมอย่างใจเย็น ไม่หิวจัด และเข้าเต้าได้ดี ลมก็จะเข้าไป

ผู้ใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการลดความเครียด เพิ่มความผ่อนคลาย มีโอกาสได้พักผ่อนจากภาระงาน และได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข สร้างความทรงจำดีๆร่วมกัน และเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น

เริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่เป็น 'กระจก' สะท้อนความคิดบวกให้ลูกเห็นก่อนเลยค่ะ ลองชวนเขามองหาสิ่งดีๆ แม้ในวันที่ไม่เป็นใจ เช่น "วันนี้ฝนตกรถติด แต่เราได้ฟังเพลงในรถด้วยกันนานขึ้นนะ"

เพื่อช่วยให้ลูกได้ฝึกและพัฒนาทักษะการเคี้ยว การใช้ลิ้น และการกลืนอย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการปรับตัวจากการกินอาหารเหลวอย่าง

ลองหา 'เวลาหัวเราะ' ร่วมกันทุกวันสิคะ อาจจะเป็นการเล่นบอร์ดเกม ดูหนังตลก หรือทำอาหารเมนูง่ายๆ ด้วยกัน การมีกิจกรรมสนุกๆ ที่ไม่ต้องคาดหวังผลเลิศเลอ จะช่วยลดความตึงเครียดได้ดีมากค่ะ

ยังคงจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะเมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือนขึ้นไป สารอาหารบางอย่างในนมแม่โดยเฉพาะธาตุเหล็กอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่