เข้าใจเลยค่ะว่าบางทีก็อาจจะยุ่งจนลืม นอกจากค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว การที่ชื่อของน้องยังไม่อยู่ในทะเบียนบ้านที่อาศัยอยู่จริง อาจส่งผลกระทบต่อการรับสิทธิ

เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลมากค่ะ เพราะโรคหัดติดต่อกันง่ายมากจริงๆ ค่ะ สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือพยายามแยกเด็กป่วยออกจากน้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

ยินดีด้วยค่ะ! นี่คือสัญญาณที่ดีมากเลยค่ะ อึสีเขียวที่เห็นเรียกว่า "อุจจาระเปลี่ยนผ่าน" (Transitional Stool) ค่ะ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าน้องเริ่มได้รับน้ำนมและระบบย่อยอาหารเริ่มทำงาน

ห้ามเด็ดขาดเลยนะคะ! มหาหิงคุ์ที่ใช้ทาท้องทารกส่วนใหญ่มี "แอลกอฮอล์" เป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ "ใช้ภายนอกเท่านั้น" ค่ะ การนำไปให้ทารกรับประทาน

เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามกันเข้ามาเยอะที่สุดเลยค่ะ และข่าวดีคือมีหลายวิธีมากค่ะ! วิธีปล่อยให้ร้องไห้ (Cry It Out) เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ วิธีเท่านั้นค่ะ

เข้าใจความเหนื่อยล้าของคุณแม่เลยค่ะ ช่วงอายุ 4-6 เดือนเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญค่ะ แม้เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มสามารถนอนได้ยาวขึ้น แต่บางคนก็ยังคงต้องการพลังงานจากนมมื้อดึกอยู่ค่ะ

เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามกันเยอะมากเลยค่ะ แต่ตามคำแนะนำของกุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แล้ว "ไม่แนะนำ" ให้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหมอนหลุม

การนวดด้วยมือเปล่าก็ให้ประโยชน์เรื่องการสัมผัสได้ดีเยี่ยมแล้วค่ะ แต่การใช้ออยล์หรือโลชั่นสำหรับเด็กเล็กจะช่วยลดการเสียดสี ทำให้การนวดลื่นไหลและนุ่มนวลขึ้นค่ะ

จริงค่ะ! เป็นผลกระทบในระยะยาวที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญค่ะ การหายใจทางปากเป็นประจำจะทำให้ลิ้นอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ ซึ่งอาจไปดันฟันหน้า

เกี่ยวข้องกันโดยตรงเลยค่ะ! เวลาที่เป็นหวัดหรือภูมิแพ้ เยื่อบุในโพรงจมูกจะบวมและอักเสบ ทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะบางกว่าปกติค่ะ ประกอบกับการที่น้องอาจจะสั่งน้ำมูกแรงๆ

เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดเลยค่ะ! การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาค่ะ การร้องไห้ในช่วง 2-3 คืนแรกเป็นเรื่องปกติมาก และบางทีคืนที่ 3

เป็นคำถามที่สำคัญมากเลยค่ะ จุดสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าเป็นอาการไม่สบายท้องจากการมีลมในท้อง น้องมักจะบิดตัวร่วมกับอาการ "ร้องไห้เสียงแหลม", "หน้าแดง", "กำหมัดแน่น"

เป็นอาการยอดฮิตที่คุณแม่แทบทุกคนต้องเจอเลยค่ะ เป็นเพราะเต้านมกำลังขยายขนาดและเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตน้ำนมค่ะ การไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้น

ควรปรับเปลี่ยนเล็กน้อยค่ะ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องนอนหงายนานๆ หรือท่าที่มีความเสี่ยงจะล้มหรือกระแทกหน้าท้องค่ะ การออกกำลังกายเบาๆ

ถ้าอยากได้ผลที่ชัวร์และรวดเร็วที่สุด การรอผลจาก "การตรวจ NIPT" จะเหมาะมากค่ะ เพราะสามารถทำได้เร็วและมีความแม่นยำสูงมากค่ะ แต่ถ้าคุณแม่ไม่ได้

อาการปวดแปล๊บๆ หรือหน่วงๆ ที่ท้องน้อยหรือขาหนีบเวลาเปลี่ยนท่าทางกะทันหันนั้น ไม่เป็นอันตรายค่ะ เป็นอาการที่เกิดจาก เส้นเอ็นยึดมดลูก

เป็นการเตรียมตัวที่ดีมากเลยค่ะ! คุณแม่สามารถเริ่มฝึกได้เลยค่ะ การฝึกหายใจลึกๆ ยาวๆ (หายใจเข้าทางจมูกช้าๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออกทางปากยาวๆ)

สิวที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและแอนโดรเจนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน

เป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นมากเลยค่ะ! ตอนนี้ยอดมดลูกของคุณแม่จะอยู่สูงขึ้นมาประมาณเหนือสะดือแล้วค่ะ ส่วนเจ้าตัวเล็กข้างในก็กำลังหาท่าที่สบายที่สุด

ไม่ผิดปกติค่ะ คำว่า "เริ่มลดลง" เป็นเพียงแนวโน้มโดยเฉลี่ยเท่านั้นค่ะ คุณแม่แต่ละคนมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่แตกต่างกัน บางท่านอาจจะหายแพ้ท้อง

ปกติมากที่สุดเลยค่ะ! ในช่วงอายุครรภ์ 11 สัปดาห์นี้ ทารกในครรภ์ยังมีขนาดเล็กเท่ากับลูกปิงปองหรือลูกมะนาวเท่านั้น และมดลูกก็เพิ่งจะเริ่มขยาย

ไม่ผิดปกติเลยค่ะ และเป็นสัญญาณที่ดีมาก! แสดงว่าเต้านมของคุณแม่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการให้นมลูกอย่างเต็มที่แล้วค่ะ ร่างกายเริ่มผลิตน้ำนมเหลือง

อาการนี้เป็นผลโดยตรงจาก "ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)" ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วค่ะ ฮอร์โมนตัวนี้จะไปทำให้ประสาทการรับกลิ่นของคุณแม่ "ไวขึ้น"

น้ำเดิน หรือภาวะถุงน้ำคร่ำแตก อาจไม่ได้ไหลพรวดออกมาเยอะๆ เสมอไปครับ สำหรับบางคนอาจเป็นลักษณะค่อยๆ ไหลซึมออกมาทีละน้อยคล้ายปัสสาวะเล็ด หรือ

หากคุณแม่เป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว สามารถออกกำลังกายเบาๆ ต่อไปได้ เช่น เดิน โยคะสำหรับคนท้อง หรือว่ายน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนัก

เป็นคนละอย่างกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันค่ะ
ท้องแข็ง: คืออาการที่มดลูก "ตึง" ขึ้นมาเป็นก้อนแข็งๆ โดยที่อาจจะ "ไม่เจ็บปวด" ก็ได้ ซึ่งเกิดจาก

ไม่ผิดปกติเลยค่ะคุณแม่! ความต้องการทางเพศที่ลดลงในช่วงไตรมาสแรกเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากค่ะ เกิดจากทั้งความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, อาการแพ้ท้อง

เป็นความกังวลหลักของคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่านเป็นเรื่องปกติมากที่น้องจะดื่มนมจากแก้วได้น้อยกว่าการดูดจากขวดค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าเขา

เป็นเรื่องปกติมากค่ะที่คุณแม่จะกังวลเรื่องนี้ ความเครียดจากการปรับตัวส่งผลต่อความอยากอาหารโดยตรงค่ะ ในช่วงสัปดาห์แรกๆ น้องอาจจะทานได้น้อยลงหรือไม่ทานเลย

เข้าใจความกังวลของคุณแม่มากๆ เลยค่ะ ผลกระทบทางสังคมก็เป็นเรื่องสำคัญ เราสามารถช่วยเขาได้โดยการตัดเล็บให้สั้นเรียบอยู่เสมอเพื่อลดความอยากกัด

ยินดีด้วยนะคะ! นี่คือก้าวที่สำคัญมากเลยค่ะ การเลิกขวดนมมื้อดึกมักจะเป็นด่านสุดท้ายที่ยากที่สุดค่ะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นความเคยชินมากกว่าความหิวจริงๆ ค่ะ ลองค่อยๆ

เป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นหัวใจและทดสอบความอดทนของคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ ลองเปลี่ยนจากการ "จับบังคับ" เป็นการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนานดูนะคะ